ตอนที่111 ดูแลกว้างไปแล้ว   1/    
已经是第一章了
ตอนที่111 ดูแลกว้างไปแล้ว
ต๭นที่111 ดูแลกว้างไปแล้ว เพ็ญนีติ์กัดริมฝีปาก ปุริมดูแลกว้างเกินไปแล้วจริงๆ แต่ว่า บัตรประชาชนอยู่ในมือเขา เธอจึงจำต้องยอม “นภนต์อยากจะเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง จะเปิดในนามชื่อของฉัน เขาอยากจะสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยตัวเขาเองโดยไม่ต้องอาศัยตระกูลศาสตร์พงษ์” “ผมจะบอกให้นะเพ็ญนีติ์ ว่าไม่ได้” เธอเพิ่งพูดจบ ปุริมก็รีบปฏิเสธขึ้นมาทันที และปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย “นั่นมันเรื่องของฉัน ปุริม ฉันอยู่กับคุณแล้วฉันก็ไม่สมควรมีความอิสระภาพเลยหรือไง? แค่โอกาสได้เลือกในสิ่งที่อยากทำก็ไม่มีใช่ไหม?” เธอโกรธมาก เพราะอะไรทำไมต้องกลายเป็นลูกไ่ก่ในกำมือเขา “เพ็ญนีติ์ ผมบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้ คุณอย่าคิดที่จะเอาบัตรประชาชนจากผมไปให้นภนต์ ไม่อย่างนั้น เขาจะทำร้ายคุณ ผมไม่กลัวคุณมีเจอปัญหา แต่ผมไม่อยากให้อ้อยกับส้มต้องมาเจอปัญหาไปกับคุณ” ได้ ทำเพื่อลูกอีกแล้ว เธอฟังจนรำคาญ “ลูกๆเปลี่ยนนามสกุลเป็นพลสังข์แล้วไม่ใช่หรือ? จะส่งผลกระทบถึงพวกเขาได้ยังไงอีก?” ตอนนี้ สามคนที่อยู่ในรถล้วนมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านแล้ว มีเธอคนเดียวที่ไม่มี ระหว่างเธอกับเขามีความสัมพันธ์กันเพียงสัญญาฉบับนั้น ถ้าสัญญาสิ้นสุด โดยที่ไม่ต้องอย่าร้างกันเขากับเธอก็สามารถแยกทางกันไปตามทางของตน “ไม่ว่ายังไง ผมบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้ ผมไม่อยากพูดซ้ำซาก จะถึงแล้ว เตรียมตัวลงรถ” เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอารมณ์ไม่ได้ ทำให้เพ็ญนีติ์งงจนคิ้วขมวด เมื่อมองดูรอบนอก ก็จะถึงสุสานแล้วจริงๆ จึงรีบเรียกอ้อยกับส้ม จัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วลงจากรถไปด้วยกัน ที่นี่ เธอเคยมาแล้วหลายครั้ง เมื่อตอนคุณปู่เสียชีวิต และยังมีตอนที่คุณปู่เพิ่งจากไปแล้วหลายวันเธอก็จะหาเวลาไปพวกลูกๆมาดูคุณปู่ ดังนั้น อ้อยกับส้มถึงจะยังเป็นเด็กแต่ก็คุ้นเคยที่นี่ “คุณพ่อ หนูมาแล้วค่ะ” “อืม พ่อก็มาล่ะ” “ไป ไปหาคุณปู่ด้วยกัน เดี๋ยงถึงแล้ว ต้องโค้งคำนับเคารพคุณปู่นะคะ” “พอเถอะค่ะคุณพ่อ คุณพ่อพูดตั้งแต่เช้าตั้งหลายรอบแล้วนะคะ เมื่อก่อนตอนที่คุณแม่พาพวกเรามา คุณแม่ไม่เคยสั่งพวกเราเลย แต่หนูกับอ้อยก็รู้จักโค้งคำนับทำความเคารพคุณปู่ค่ะ คุณแม่บอกว่าคุณปู่ใจดีมาก ถ้าไม่ใช่เพราะคุณปู่ ก็คงไม่มีพวกเราสองคน” เด็กน้อยพูดอย่างไร้เดียงสา แต่คำพูดนี้ก็ไม่ผิดสักนิด เป็นความจริง ที่ตอนนั้นถ้าเพ็ญนีติ์ไม่ใช่เป็นเพราะคุณปู่แล้วเดินเข้าคอนโดของปุริม ถ้าไม่ใช่เพราะในตอนนั้นเขาเมา ทุกอย่างก็คงไม่เกิดขึ้น ปุริมมองดูเพ็ญนีติ์ แล้วก็ไม่พูดอะไรจูงมืออ้อยกับส้มไป “ต่อไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจะไม่ได้มีเพียงคุณแม่ที่คอยปกป้องลูกยังมีคุณพ่อที่จะปกป้องลูกด้วยเหมือนกัน จะไม่มีใครกล้ามารังแกลูกๆอีกนะครับ” “จะไม่มีใครมารังแกพวกเราแล้วจริงๆหรือคะคุณพ่อ?” “ไม่มีครับ” น่าจะไม่มีใครกล้า นอกจากไม่รู้ว่าอ้อยกับส้มนามสกุลพลสังข์ “คุณพ่อคะ งั้นถ้าคุณพ่อรังแกพวกเราจะทำยังไงคะ?” ปุริมไม่รู้จะตอบคำถามนี้ยังไง และคงมีแค่ลูกเขาสองคนนี้แหละที่กล้าถามแบบนี้ “เป็นไปไม่ได้ครับ พวกหนูทั้งสองเป็นลูกแท้ๆของพ่อ พ่อจะรังแกพวกหนูได้ยังไงกัน?” “งั้นก็ห้ามรังแกคุณแม่ด้วยนะคะ” “รับทราบครับ เราไปกันเถอะครับ” ดูพวกเขาสองคนซิ ไม่ว่าจะตอนไหนคุณแม่ของพวกเขาก็สำคัญกว่าเขา ถึงแล้ว สุสานของคุณปู่สะอาดสง่า ถึงปุริมจะไม่ค่อยได้มา แต่ก็ได้สั่งกำชับคนดูแลสุสานมาดูแลทำความสะอาดเป็นระยะ ดังนั้น ที่นี่ก็เลยสอาด ตรงหน้าสุสาน เป็นรูปคุณปู่ที่ยิ้มเบิกบาน อ้อยกับส้มเพิ่งมาถึงก็ไม่มีความหวาดกลัวต่างก็จุมพิตหน้าผากคุณปู่บนรูป “คุณปู่ทวดคะ พวกเราต้องเรียกท่านคุณปู่ทวดใช่ไหมคะ คุณพ่อบอกมาแบบนี้ค่ะ ดังนั้น พวกเราก็จะเรียกท่านแบบนี้แล้วนะคะ พวกเรามาเยี่ยมแล้วนะคะ” เสียงอ่อนหวานดังก้องกังวานบริเวณสุสาน เพ็ญนีติ์ยืนอยู่ข้างหลังฟังลูกน้อยพูด ในใจรู้สึกคิดถึงกับคุณปู่มาก ในตอนนั้นเธอตกหลุมรักแล้วจริงๆ เธอบอกคุณปู่แล้วว่าเธอกับปุริมร่วมมือกันหลอกท่าน แต่ท่านก็ไม่โกรธ กลับตั้งใจหาโอกาสจับคู่เธอกับปุริมจริงๆจังๆ แต่เธอรู้แต่แรกแล้วว่าในใจปุริมไม่มีเธอ โค้งคำนับทำความเคารพ ทุกคนโค้งคำนับสามครั้ง เมื่อเสร็จสิ้นแล้ว แต่พวกลูกๆก็ยังมีความตั้งใจอย่างมาก อยากจะคุยกับคุณปู่ในใจ เธอได้ให้คุณปู่สมความปราถนาแล้วที่ได้ทำให้คุณปู่ได้เจอหลานรักด้วยตาตัวเอง คุณปู่ไปอยู่ในภพหน้าก็จะต้องมีความสุขเป็นแน่ ดอกเบญจมาสช่อใหญ่วางอยู่ตรงหน้าสุสาน ร่วมกันทำความเคารพอีกครั้งแล้วจึงจากไป บางที อาจเป็นเพราะบรรยากาศที่ค่อนข้างเงียบ พวกเด็กๆต่างไม่กล้าพูดเล่นกัน มองไปบนถนนคับแคบ ปรากฎให้เห็นเงาร่างของคนคนหนึ่ง ยืนอยู่บนเพดานหินสีเขียวด้วยบรรยากาศมือมน จนทำให้เพ็ญนีติ์ตกใจ จ้องมองไปเห็น ร่างผู้หญิงคนหนึ่งปรากฎอยู่ตรงหน้า ผมยาวสรวย สวมชุดกระโปรงสีม่วงขาวดูอ่อนวัย แต่ใบหน้ากลับมีความละม้ายคล้ายปุริมหรือจิณณะ “ชนิศา เป็นเธอใช่ไหม” เธอถามขึ้น ด้วยความรู้สึกที่ตอบสนอง ผู้หญิงหัวเราะ แล้วเอื้อมมือลวงเข้าไปในกระเป๋าใบเล็ก หยิบซิการ์ออกมาอย่างสง่างาม ดูเหมือนจะไม่กังวลว่าพวกเราสี่คนจะเดินผ่านเธอไป ยังลวงหยิบไฟแช็คขึ้นมาอย่างเชื่องช้าจุดซิการ์แล้วค่อยๆสูบคำหนึ่ง เธอยิ้มเม้มริมฝีปากมองมายังเพ็ญนีติ์ แล้วพ่นควันบุหรี่ออกมา ในขณะที่ควันขมงอยู่ก็หัวเราะถามขึ้นว่า “เธอก็คือเพ็ญนีติ์” เพ็ญนีติ์พยักหัว ยิ่งดูก็ยิ่งคิดไม่ออกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร สวยมาก สวยงดงามจริงๆ โดยเฉพาะเส้นผมที่ยาวสรวย เหมาะกับชุดกระโปรงของเธอมาก ในทันใดนั้นเพ็ญนีติ์ก็มีความรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาแน่ เธอเหมือนเป็นเทพธิดา แต่ เทพธิดาไม่สูบบุหรี่เด็ดขาด “ยินดีที่ได้เจอ ฉันไม่ใช่ชนิศา ฉันคือเมนิลา ฉันมาหาคุณพ่อ” มือข้างหนึ่งยื่นมาตรงหน้าเพ็ญนีติ์ ขาวเรียวยาว เหมือนมือที่ใช้เล่นเปียโนโดยเฉพาะ ในขณะนั้น เพ็ญนีติ์นิ่งอึ้ง เธอเรียกคุณปู่ว่าพ่อ และยังหน้าตาคล้ายปุริมกับจิณณะ ถ้างั้น เธอรู้แล้วว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร...... ตกตะลึง นอกจากตกตลึงแล้วก็ยังตกตลึง เพ็ญนีติ์คิดไม่ถึงว่าเมนิลาจะดูแลตัวเองได้เยาว์วัยขนาดนี้ ถ้าเธอไม่ได้เห็นกับตา เธอไม่เชื่อแน่ว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นแม่ของปุริม มองจากภายนอก มากสุดเธอก็ดูอายุแค่สามสิบต้นๆมากกว่าตนไม่กี่ปี แต่สายตาคนเราบางทีก็ดูผิดได้เหมือนกัน “ทำไม จับมือหน่อยก็ไม่ได้หรือ?” เมนิลาหัาเราะ มือของเธอยังยื่นอยู่ตรงหน้าเพ็ญนีติ์ รอให้เพ็ญนีติ์มาจับ เพ็ญนีติ์รีบตื่นจากภวังค์ ยื่นมือไปจับมือเมนิลา ในขณะเดียวกัน เพ็ญนีติ์รู้สึกตามัว แล้วมือเธอก็ถูกกำไว้ ไม่ใช่เมนิลากำไว้ แต่เป็นมือของผู้ชายคนหนึ่ง มือของเขาสวมด้วยแหวนทอง นั่นคือสิ่งที่เธอคุ้นเคย คือปุริม มือของเขาค่อยๆประสาน ทันใดนั้นมือเล็กใหญ่สิบนิ้วก็ประสานเข้าด้วยกัน “เพ็ญนีติ์ ไปกันเถอะเด็กๆอยากกินไอติมแล้ว” “แต่....” เพ็ญนีติ์มองไปยังมือเรียวงามของผู้หญิงที่ยังยื่นค้างอยู่ในอากาศ รู้สึกได้ว่าเมนิลาเก้อ เป็นแม่ลูกกันแท้ๆ แต่ทำไมถึง..... เพ็ญนีติ์ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ เมื่อมือโดนกระชาก ร่างกายก็ปลิวเดินตามปุริมจากไป เขาพาเธอเดินผ่านเมนิลาอย่างเฉยเมย อ้อยกับส้มก็เดินตามไปข้างหน้า แต่สายตาก็ยังจ้องมองเมนิลา ผู้หญิงคนนี้มีความละม้ายคล้ายปุริมทำให้เด็กทั้งสองก็สงสัย แต่ว่าในความรู้สึกของพวกเขาผู้หญิงคนนี้เป็นคนแปลกหน้า เพราะพ่อของเขาเองก็ยังไม่สนใจ “อ้อย ส้ม รอแปบหนึ่ง” ในขณะที่เด็กทั้งสองกำลังจะเดินผ่านเมนิลาไป เมนิลายิ้มแล้ววางมือที่ยื่นค้างไว้ตั้งนาน สีหน้าปกติ ไม่มีความเสียใจใดๆกับสิ่งที่เมื่อกี้ปุริมเย็นชาและเฉยเมย ไม่มี ไม่มีเลยจริงๆ กลับยังยิ้มแย้มอย่างมีเมตตา “คุณ ......คุณรู้จักพวกเรา?” อ้อยชี้ที่จมูกตนเอง อย่างงงงัน “แน่นอน ฉันเป็นคุณย่าของพวกเธอนะ” มองเห็นพวกเด็กๆยืนอยู่ เมนิลาเดินมาตรงหน้าเด็กทั้งสอง แล้วโน้มตัวคุกเข่าอยู่ตรงหน้าพวกเธอ “สวยมาก บอกย่าสิ คนไหนชื่ออ้อย? คนไหนชื่อส้ม?” เด็กถึงสองมองกันอย่างสงสัย แล้วหันไปพูดขึ้นพร้อมกันว่า “คุณพ่อคะ ท่านเป็นคุณย่าของพวกเราหรือเปล่าคะ?” เด็กๆยังไม่รู้จักปิดบังความรู้สึก มีความสงสัยก็จะถามออกมาอย่างไร้เดียงสา “ไม่......” ปุริมพูดยังไม่ทันจบ กลับคิดไม่ถึงว่าเมนิลาจะแย้งพูดขึ้นว่า “ฉันใช่ คุณพ่อของพวกเธอกับย่ามีเรื่องเข้าใจผิดกัน ดังนั้น ตอนนี้เขาไม่สนใจย่า ย่าน่าสงสารไหม ลูกแท้ๆของย่าก็ไม่สนใจย่า อ้อย ส้ม เชื่อย่านะ ย่ารักพวกเธอและรักพ่อของพวกเธอมากนะ” “แต่......” อ้อยกระพริบตา ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงต่อ “แต่ว่ายังไง? พูดสิ ย่าฟังอยู่” เมนิลายังยิ้มอ่อนหวาน อาจเป็นเพราะได้มองใกล้ๆ ในที่สุดเพ็ญนีติ์ก็มองเห็นเรี่ยวรอยตรงคอเธอ กาลเวลาไม่เคยคอยใคร ต่อให้ดูแลยังไงก็ไม่สามารถลบเรือนเรี่ยวรอยที่กาลเวลาหลงไหลไว้ให้ “แต่ท่านก็ไม่เหมือนย่านี่ ท่านไม่ค่อยต่างจากคุณแม่เลย” เมนิลา “หัวเราะ” ยื่นมือไปลูบหัวอ้อย “นั่นเป็นเพราะว่าย่าไปทำศัลยกรรม ดังนั้นจึง....” “อ้อย ส้ม เราไปกันเถอะ” ปุริมคลายมือที่จับเพ็ญนีติ์ไว้แล้วตรงมาตรงหน้าเด็กทั้งสอง จับมือแล้วเดินจากไป “ปุริม จะขี้เหนียวไปหน่อยไหม ก็แค่เด็กห้าขวบสองคน ยังเป็นลูกผู้ชายอยู่หรือเปล่า?” 
已经是最新一章了
加载中