ตอนที่40 ไม่สามารถพบพี่ใหญ่ได้รู้สึกไม่มีความสุข   1/    
已经是第一章了
ตอนที่40 ไม่สามารถพบพี่ใหญ่ได้รู้สึกไม่มีความสุข
ต๭นที่40 ไม่สามารถพบพี่ใหญ่ได้รู้สึกไม่มีความสุข ยังคิดถึงเรื่องของธัชชัยอยู่ ก็เหมือนกับว่าคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้กะทันหัน ตกใจมาก: ทำไมถึงคิดถึงแต่ธัชชัย? รู้อยู่แก่ใจว่าสามรของตัวเองคือวรพลธัชชัยยังไงเขาก็คือน้องชายของสามีตัวเอง หยุดคิดอะไรเหลวไหลแบบนี้ได้แล้ว! พูดถึงวรพล ตั้งแต่วันประชุมผู้ถือหุ้นในวันนั้นที่ได้เจอหน้าเขา วัจสาก็รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้มีความสามารถเอามากๆ พูดถึงว่าถ้าหากไม่มีเหตุการณ์ไฟไหม้ในครั้งนั้น ก็คงเปรียบเทียบได้กับธัชชัย ไม่น้อยหน้าไปกว่าธัชชัยแน่นอน ตอนนี้ก็หวังอยู่อย่างเดียวว่าเขาจะรีบดีขึ้นสักที ผ่านไปนานแล้วเห็นวัจสาไม่ตอบสักที วราลีจึงโบกมือไปมาตรงหน้าของวัจสา “หนูสาจ๊ะ กำลังคิดอะไรอยู่เหรอ?” วัจสาเห็นวราลีชั่วพริบตาเดียวก็หลุดออกมาจากห้วงความคิดของตัวเอง “คะ ไม่มีอะไรค่ะ คุณน้าพูดถึงตรงไหนนะคะ?” “ให้หนูนัดคุณชายรองมาที่บ้านในวันหยุดนี้ ยิ่งเร็วยิ่งดี เพื่อจะได้ไม่ให้เรื่องมันยื้ดเยื้ออกไปนานเกินไปอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ดีเกิดขึ้น” วัจสาขมวดคิ้ว “ให้หนูนัดเหรอ? ไม่มีทาง” เธอยิ่งไม่อยากมีความสัมพันธ์อะไรกับผู้ชายคนนี้ ไม่ทำให้ตัวเองต้องอับอายขายขี้หน้าอย่างแน่นอน คิดถึงเรื่องเงินสองแสนในครั้งที่แล้ว ก็กระดากใจจะแย่ เงินหนึ่งพันล้านในครั้งนี้ ผู้คนชายนั้นจะคิดอะไรกับตัวเธออีก? ไม่ใช่ว่าจะทำเรื่องบ้าๆ กับเธอนะ! นี่เป็นสิ่งที่วัจสากลัวที่สุด “ทำไมถึงไม่ได้ล่ะ?” วราลีขมวดคิ้ว ไม่เคยเห็นอารมณ์ที่ผิดปกติแบบนี้ของวัจสามาก่อน ในเวลาคับขัน วัจสาก็คิดหาทางออกได้อย่างฉับพลัน “คุณน้าไปเชิญด้วยตัวเอง มันจะไม่ใช่การแสดงความบริสุทธิ์ใจมากกว่าหรือคะ?” คิดไม่ถึงว่าวราลีจะถอนหายใจออกมา “ถ้าหากว่าน้าเจอเขาได้ก็ดีสิ ครั้งที่แล้วไปเยี่ยมเยียนถึงบริษัทโฮสติ้ง รอจนสองชั่วโมงก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา แม้กระทั่งไปที่บ้านตระกูลศรีทองก็ลองมาแล้ว ถูกพ่อบ้านภูษิตขวางทางเอาไว้อีก บอกว่าคุณชายรองเหนื่อยมาก อยู่บ้านไม่อยากรับแขก ตอนนี้ความหวังของน้าก็ฝากไว้ที่จัวของหนูสาแล้วนะ” วัจสากระพริบตาปริบๆ เธออยู่บ้านตระกูลศรีทองมานานหลานวัน ทว่าไม่เคยเห็นวราลีไปที่นั่นเลยสักครั้ง ก็ไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือเรื่องโกหกกันแน่ หรือว่าตัวเองขี้เกียจไปเชิญ “คุณน้าคะ ท่านก็มองตำแหน่งของหนูที่บ้านของตระกูลศรีทองสูงเกินไป ความจริงแล้วฉันก็แค่เป็นคนภายนอกที่อยู่ที่นั่นก็เท่านั้นเอง พวกเขาคนของตระกูลศรีทอง ก็คือคนในครอบครัวเดียวกัน นี่เรียกได้ว่าเป็นคนต่ำต้อยคำพูดย่อมไม่มีน้ำหนัก ธัชชัยย่อมไม่ฟังคำพูดของหนูแน่นอน” วัจสารู้สึกว่าตัวเองพูดความจริงออกไปแล้ว ก็ยังมีคนไม่เชื่ออีก วราลีรีบแย่งปยุตพูด “เป็นไปไม่ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นครั้งที่แล้วคุณธัชชัยเขาจะมารับหนูที่บ้านตระกูลขุนทดด้วยตัวเองได้อย่างไร? ยังมีอีกหนูก็เป็นพี่สะใภ้ของธัชชัยอีกด้วย เขารักและเคารพวรพลขนาดนั้น ก็ต้องเคารพหนูที่เป็นพี่สะใภ้ของเขาด้วยเช่นกัน ขอเพียงแค่หนูเอ่ยปาก เขาย่อมเห็นแก่หน้าหนูอย่างแน่นอน” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่แหลมปรี๊ดทำให้วัจสาปวดหัว เธออยู่ในตระกูลศรีทองอยากจะเจอวรพลครั้งหนึ่งก็ยังยาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าธัชชัยจะเคารพเธอ ธัชชัยไม่ทให้เธออับอายขายขี้หน้าก็พอแล้ว เห็นวัจสาไม่พูดไม่จา วราลีขมวดคิ้วมุ่น น้ำเสียงไม่หวานซับซ้อนเหมือนเมื่อครู่ “วัจสา หนูต้องคิดหน่อยนะว่าถ้าหากว่าปีนั้นหนูไม่มีน้า ก็ไม่รู้ว่าหนูจะไปซุกหัวนอนที่ไหนแล้ว ไหนจะความสง่าน่าเกรงขามในวันนี้อีก ตอนนี้น้าขอหนูแค่ประโยคเดียว คำขอร้องนี้หนูจะไม่ตอบตกลงเลยเหรอ?” คำพูดนี้ของวราลีทำให้วัจสารู้สึกว่าหากไม่ช่วยก็จะกลายเป็นคนที่เนรคุณ เธอถอนหายใจออมาเบาๆ พยักหน้าตอบรับเบาๆ เธอไม่อยากโวยวายจนทำให้ตัวเองดูแย่ อีกอย่างที่วราลีพูดมาก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ถ้าไม่ใช่ปยุต ปีนั้นในตอนที่ตัวเองอายุยังน้อยขนาดนั้นไม่แน่ว่าอาจจะตายไปแล้ว อีกอย่างเธอก็ไม่อยากจะอยู่ที่บ้านตระกูลขุนทดนานเกินไป เสียงของผู้หญิงคนนี้ไม่ว่าจะแบบไหนก็ทำให้เธอปวดหัวได้ทั้งนั้น ตอนที่เธอกลับมาถึงบ้านตระกูลศรีทอง ก็ปาไปบ่ายสามแล้ว วัจสานั่งอยู่ในห้องอ่านหนังสือ เขียนหัวข้อวิทยานิพนธ์อยู่ครู่หนึ่ง และวางแผนโครงสร้างสักหน่อย เผลอแปบเดียวก็ห้าโมงครึ่งแล้ว วัจสารู้สึกว่าสมองของเธอเริ่มคิดไม่ออกขึ้นมาสักหน่อยแล้ว จึงหยุดลง ถึงถือโอกาสนี้ไปช่วยป้าอ้อยเตรียมยาและอาหารให้กับวรพลด้วย อาศัยโอกาสในตอนที่ธัชชัยยังไม่กลับมา เข้าไปทักทายวรพลสักครั้ง น่าเสียดาย ตอนที่เธอปฏิเสธป้าอ้อย ในตอนที่ตัวเธอยกยาและอาหารขึ้นไปที่ห้องรักษาตัวบนชั้นสอง ก็ถูกปฏิเสธอยู่ตรงประตูเหมือนกัน คุณหมอภาคินยกยาและอาหารเข้าไปแล้ว กลับขวางวัจสาเอาไว้ตรงหน้าประตู ห้ามให้เข้าไปเหมือนเดิม เธอในเวลานี้ แม้แต่คนใช้ก็ยังเทียบไม่ได้ เพราะว่าเธอดูเหมือนว่าจะเป็นเพียงแค่คนนอกเท่านั้นจริงๆ ป้าอ้อยต้มซุปพุทราเข้มข้นบำรุงร่างกายอยู่ในครัว ให้ร่างกายของวัจสาอบอุ่นและก็เพื่อนให้เลือดประจำเดือนไหลได้อย่างราบรื่น และวัจสาที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหารในเวลานี้กำลังมองขนมทอดงามันม่วงที่ตัวเองทำอย่างใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สถานการณ์แบบนี้ในตอนนี้ทำให้เธอไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากกับอย่างไรดี ตัวเธอเองไม่ได้เป็นเพียงของขวัญชิ้นหนึ่งเท่านั้น แต่ยังไม่เป็นที่ชื่นชอบอีกด้วย ใครก็พูดฉีกหน้าของขวัญได้ตามใจชอบทั้งนั้น ยังคิดอยากจะพูดแบบนี้กับธัชชัย ทว่าทั้งตัวของเธอก็ไม่ได้มีแรงขนาดนั้น จิตวิญญาณสักนิดก็ไม่มี ป้าอ้อยรีบเอาซุปพุทราแดงออกมา เห็นสีหน้าของเธอดูเคร่งเครียด อดไม่ได้ที่จะถามว่า “คุณผู้หญิง คุณเป็นอะไรไป ยังปวดอยู่เหรอ?” วัจสาส่ายหัว เจ็บปวดภายในใจมากกว่า “ไม่ได้เป็นไรค่ะ ป้ารีบไปเรียกพ่อบ้านภูษิตมากินข้าวเถอะ” ป้าอ้อยก็เก็บความสงสัยนี้ไว้แล้วเดินออกไป ตอนที่ธัชชัยกลับมาถึงบ้านตระกูลศรีทอง ก็เห็นหญิงงามราวภาพวาดในสมัยโบราณ เหมือนกับความงามในครั้งแรกที่เจอวัจสา ทว่าก่อนหน้านี้วัจสาก็โกรธน้อยกว่าตอนแรก ทำให้คนรู้สึกว่าเศร้าขึ้นมานิดหน่อย วัจสาที่ยังตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองยังไม่ทันได้เห็นว่าเขากลับมาแล้ว จนกระทั่งธัชชัยไอขึ้นมาสองทีแล้วพูดว่า “โจ๊กเย็นหมดละ” วัจสาเงยหน้าขึ้น น้ำสีดำที่อยู่ในบึงก็ปะทะขึ้นมา สายตาก็เบิกกว้างขึ้นทันที พอคิดถึงคำขอร้องของวราลี ในใจก็รู้สึกร้อนรนไม่เป็นสุข ครั้งที่แล้วเงินเพื่อการกุศลสองแสนบาทเขาก็ทิ้งเอาไว้ให้แค่เงาดำ วัจสาแทบไม่อยากเอ่ยปากเรื่องนี้ออกมาเลย ธัชชัยเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงพูดประโยคอย่างนั้นออกไปกะทันหัน เพียงแค่เห็นท่าทางที่ท้อแท้ของเธอ ก็คิดว่าเธอคงไม่สบายใจ จึงคิดอยากให้เธอกินโจ๊กลงไป ร่างกายของเธอเหมือนว่าจะไม่สบาย คราวนี้คงจะปวดมากอยู่ใช่ไหม? ทว่าเห็นวัจสาไม่สนใจตัวเอง เขาเองก็ไม่พูดออกมาแล้ว เพียงแต่เหลือบตาไปมองเธออย่างเย็นชา และมองไปยังข้างบนตึก เรื่องที่ธัชชัยทำเป็นประจำทุกครั้งที่กลับมาตระกูลศรีทอง เรื่องแรกก็คือทำความสะอาดร่างกาย จากนั้นก็เข้าไปเยี่ยมวรพลในห้องรักษาตัว วัจสาก็ค่อยๆ เข้าใจถึงความเคยชินนี้ของเขาด้วย ธัชชัยเมื่อครู่นี้หมายความว่าเรียกเธอให้กินโจ๊กใช่ไหม? เธอยื่นมืออกไป หยิบเอาช้อนที่ทำจากดินเผาตักซุปพุททราแดงมากิน กลิ่นหอมอ่อนๆ ของพุททราโชยเข้าจมูก ซุปร้อนๆ วัจาสจึงเป่าสักหน่อย ค่อยเอาเข้าปาก เพราะว่ามีเรื่องกลุ้มใจ ดังนั้นกินเข้าไปก็เหมือนกับกำลังเคี้ยวเทียนไขไม่มีรสชาตอแม้แต่น้อย เธอเงยหน้าไปมอง ไม่รู้ว่าตอนไหน ธัชชัยก็เดินไปถึงห้องรักษาตัวของวรพลแล้ว เงาร่าสูงใหญ่และบึกบึน ดูสง่าและสุขุม ผู้ชายคนนี้ ตัวเธอเองควรจะเผชิญหน้ากับเขาอย่างไรดี? จนธัชชัยออกมาจากห้องรักษา ลงมาด้านล่างไปยังโต๊ะอาหารวัจสาก็ยังใจลอยอยู่เหมือนเดิม เหมือนกับว่ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจ “วัจสาค่ำนี้เธอกินของอย่างนี้เหรอ สุขภาพยังไม่ดีขึ้นไม่ใช่เหรอ? ช่วงนี้ไม่ใช่ว่าควรจะต้มซุปกระดูกให้เธอเหรอ?” ธัชชัยเห็นเธอรูปร่างเริ่มผอมซูบลงแล้ว เขายังไม่ชินกับท่าทางที่ผอมจนป่วยง่ายๆ แบบนี้ เพราะว่าคำพูดที่เป็นห่วงของธัชชัยในครั้งนี้ทำให้ป้าอดรู้สึกดีใจอย่างมาก ถึงแม้ว่าตัวเองจะไม่สามารถรู้ถึงตื้นลึกหนาบางของสองคนนี้ ความรู้สึกที่ตัวเองมีต่อวัจสาก็เปลี่ยนไปแล้ว ทว่าทั้งหมดนี้มันก็ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เธอนึกถึงวรพลที่เธอเพิ่งไปเยี่ยมเขามา แอบเช็ดน้ำตาที่ซึมออกมา “ประจำเดือนคุณผู้หญิงมาได้สองสามวันแล้ว จะต้องกินของอ่อนๆ เค็มไปมันไปไม่ค่อยดี ดังนั้นซุปพุทราแดงช่วยบำรุงเลือด ดีมากสำหรับผู้หญิง” ธัชชัยขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “แต่ว่าเหมือนเธอจะไม่ค่อยชอบกินของแบบนั้นนะ ผ่านไปนานแล้วยังไม่แตะถ้วยเลยแม้แต่น้อย” ในน้ำเสียงนั้นมีการตำหนิป้าอ้อยอยู่บ้าง แต่ว่าป้าอ้อยไม่ได้ใส่ใจ “คุณผู้หญิงในไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตั้งแต่ตอนบ่าย เหมือนกับคนมีเรื่องหนักอกหนักใจ อีกอย่างเมื่อตอนเย็นส่งอาหารให้คุณชายใหญ่ ก็ถูกหมอภาคินขวางเอาไว้ตรงประตูอีก จะต้องเสียใจมากแน่นอน” ป้าอ้อยคิดอยู่ครู่หนึ่ง เหมือนว่าจะมีเพียงเหตุผลนี้เท่านั้น “นี่ยังดูไม่ออกอีกเหรอ เธออยากเจอพี่ชายฉันขนาดนี้เลยเหรอ? ไม่ได้เจอหนึ่งวันเหมือนห่างกันสามฤดูใบไม้ร่วง” ถึงแม้น้ำเสียงของคำพูดธัชชัยจะดูเย็นชา ทว่าป้าอ้อยกลับฟังออกว่ามีรสชาติของความหึงหวงอยู่บ้าง ป้าอ้อยไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมธัชชัยถึงไม่บอกฐานะที่แท้จริงกับวัจสาไป? นี่ก็ผ่านมานานแล้ว ก็ควรจะดูการปฏิบัติตัวของวัจสาออกแล้ว เธอเองก็รู้สึกว่าดีมาก ดูจากคราวที่แล้ว วัจสาก็ดูแลคุณชายใหญ่ด้วยความจริงใจ มองดูคุณชายรองคนนี้คอยข่มเหงรังแกคุณผู้หญิงอยู่ตลออด ป้าอ้อยรู้สึกว่ามันไม่คุ้มค่าแทนคุณผู้หญิงแล้ว ก็รักและสงสารเธอไม่น้อย ธัชชัยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร ก้าวเท้าเดินไปไม่นานก็ถึงด้างล่างตึก ยืนอยู่หน้าโต๊ะอาหารด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความทุกข์ใจ “เธอ เธออยากเจอพี่ชายฉันมากใช่ไหม?” น้ำเสียงที่แข็งกระด้างนี้ก็คือการซักถามด้วยน้ำเสียงตำหนิ วัจสาฟังน้ำเสียงที่มีความโกรธแฝงอยู่ด้วย ก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา พริบตาเดียวก็เงยหน้าขึ้นมา ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “ใช่ ฉันอยากเจอวรพลมาก” ธัชชัยก็เหมือนกับจะคิดอะไรขึ้นมาได้ ค่อยๆ ชำเลืองตาลูกท้อของเขา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่มีความหมายลึกซึ้ง “แต่ว่า ร่างกายของพี่ชายฉันไม่ดีเอาซะเลย คงจะให้ความสุขระหว่างชายหญิงกับเธอไม่ได้หรอกนะ” วัจสาเงียบไปครู่หนึ่ง อยากจะเปิดสมองของผู้ชายคนนี้ออกมาดูจริงๆ อยากจะรู้ว่าข้างในนั้นมันมีแต่ตัวสเปิร์มหรืออย่างไร วันๆ ก็คิดแต่เรื่องสกปรก ปกติไม่มีมารยาทกับเธอที่เป็นพี่สะใภ้ก็ไม่เป็นอะไร แต่ตอนนี้ก็ใช้ความคิดอย่างนี้มามองเธออีก เห็นเธอเป็นตัวอะไร? วัจสาตระหนักได้ว่าไม่สามารถให้ผู้ชายชั่วร้ายคนนี้มากดดันเธอตลอดไปได้ ตัวเธอเองก็ต้องเรียนรู้วิธีตอบโต้บ้าง หากเอาแต่เงียบยิ่งทำให้เขากำเริบเสิบสานไปเรื่อยๆ เพราะเหตุนี้วัจสาจึงคิดวางแผน ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ไม่ทราบว่าคุณน้องชายสามีรู้ได้อย่างไร สามีของฉันทำไม่ได้เหรอ? คุณยังไม่ได้เห็นกับตาซะหน่อย” เธออดกลั้นความกระดากอายเอาไว้ เธอไม่เคยพูดคำพูดแบบนี้มาก่อน คำพูดเปิดเผยแบบนี้ ทำให้อายเหลือเกิน ทว่าใบหน้าของเธอยังร้อนผะผ่าวขึ้นมาจนแบบที่ไม่สามารถควบคุมได้ “ฉันกับพี่ชายของคุณ ก็เข้ากันได้ดีมาก” ดูผู้หญิงคนนี้พูดจาเปิดเผยออกมาให้เสร็จ ธัชชัยอดเอารอยยิ้มที่มีความหมายเอาไว้ในใจ คิดไม่ถึงว่าเธอจะกล้าโต้แย้งกับตัวเอง กูรู้ว่าคำพูดแบบนี้ล้วนถูกฝืนพูดออกมา คนที่จะนอนร่วมเตียงกับเธอเป็นตัวเขาเองต่างหาก คนที่จะมีสิทธิออกความคิดเห็นควรเป็นเขาสิ? ดังนั้น ถ้าจะเข้ากันได้ ก็ต้องเข้ากันได้กับเขาธัชชัยใช่หรือไม่? “อ๋อ? ดูท่าทางความสัมพันธ์คุณกับพี่ชายฉันจะไม่เลวเลยนะ เข้ากันได้ดีจริงๆ เหรอ?” ธัชชัยเลิกคิ้วสูง มุมปากแสยะรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความความชั่วร้ายแอบแฝงเอาไว้ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ถึงแม้ว่าเขาจะชอบล้อเล่นกับชีวิตของเธอ ก็เหมือนกับรสชาติในชีวิตอย่างหนึ่ง เธอเป็นผู้หญิงที่เฉลียวฉลาด และก็ชอบแยกเขี้ยวยิงฟันใส่เขาอีก ช่างน่ารักเสียจริง
已经是最新一章了
加载中