ตอนที่ 47 ตักอาหารให้กับเขา   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 47 ตักอาหารให้กับเขา
ต๭นที่ 47 ตักอาหารให้กับเขา เห็นวัจสาออกมาจากห้องครัว สีหน้าของธัชชัยจึงดีขึ้นมาบาง แต่ว่าเวลาที่เผชิญหน้ากับเธอ สีหน้ายังคงต้องเย็นชาอยู่ ราวกับตำหนิเธอที่ทิ้งเขาไว้อยู่ตรงนี้ “ไปไหนมา?” น้ำเสียงเย็นชาทำเอาคนตกใจกันหมด วัจสายังไม่ทันจะได้เอ่ยปากตอบรับ ภาวิณีก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน เธอวางกับข้าวเมนูสุดท้ายเอาไว้บนโต๊ะ ยิ้มแย้พูดอย่างอ่อนโยน “ธัชชัย ต้องขอโทษด้วยนะ เป็นความผิดฉันเองที่ลากวัจสาไปช่วยงานในครัว” “ฉันไม่ได้ถามเธอ” สายตาของธัชชัยจับจ้องอยู่ที่ตัววัจสาเพียงคนเดียว ภาวิณีถูกเขาตอบโต้มาแบบนี้ชั่วขณะนั้นก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าก็ยิ้มออกมาอย่างเจื่อนๆ แล้วชั่วพริบตาเดียวบรรยากาศที่หน้าอึดอัดแบบนี้ก็ได้ปกคลุมไปทั่วโต๊ะอาหาร ถ้าหากจะพูดถึงคนที่มีความดีใจสักหน่อย ก็คงเป็นรสรินที่มองภาวิณีที่ถูกธัชชัยตอบโต้มาแบบนั้น วราลีพยายามอยากที่จะให้ภาวิณีได้สมหวังในความรัก แต่ก็ไม่อยากคิดว่าคนอื่นชอบหรือไม่ชอบลูกสาวของเธอกันแน่ ตอนนี้มองดูแล้ว ธัชชัยไม่ได้ชอบลูกสาวของเธอเลย แบบนี้ทำให้จิตใจของเธอเริ่มปลงขึ้นมาบ้างเล็กน้อย วัจสาเห็นสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าแล้ว ก็ไม่อยากจะก่อเรื่องวุ่นวายให้บรรยากาศมันน่าอึดอัดแบบนี้ ถึงอย่างไรสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ คนที่ถูกด่าเป็นวัจสาเพียงคนเดียว จึงรีบทำเรื่องนี้ให้มันจบลงด้วยดี “เมื่อกี้นี้ฉันไปที่ห้องครัวมา มีเรื่องอะไรถึงต้องเรียกหาฉัน?” “ป้อนฉันหน่อย” น้ำเสียงของเค้าฟังดูธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษ เหมือนกับว่าเรื่องนี้พูดเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว วัจสาเข้าใจแล้วก็อยากจะพูดว่าฉันเป็นแม่คุณเหรอ ตัวเองไม่มีมือหรือไง? กินข้าวนี่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องยากอะไรขนาดนั้นยังจะให้คนป้อนอีก อีกอย่างที่นี่ก็เป็นบ้านตระกูลขุนทด ไม่ใช่บ้านของตัวเองนะคุณชายรอง ให้เธอที่เป็นพี่สะใภ้มาดูแลคุณที่เป็นน้องของสามีเหรอ? เธอกดคมอารมณ์โกรธเอาไว้ “ในถ้วยนั่นก็มีซุปแล้วไม่ใช่เหรอ?” วราลีย่อมต้องมองออกแน่นอน ธัชชัยไม่แยแสซุปหูฉลามรังนกถ้วยนั้นที่เธอตักให้เขา แตะก็ยังไม่ได้แตะ ธัชัชยคนนี้ช่างหยิ่งยโสจริงๆ แต่ว่าใครใช้ให้เขาเป็นแทพเจ้าแห่งโชคลาภล่ะ? วันขอเพียงให้พูดเกลี้ยกล่อมให้เขาให้เขาเอาเงินหนึ่งันล้านออกมานั่นถึงจะทำให้บริษัทชีวาเลียร์ก้าวหน้าได้อีกระดับหนึ่ง วราลีย่อมสนใจปัญหาที่ว่าใครจะตักอาหารให้กับเขา ขอเพียงให้เขามีความสุขก็พอ ก็เลยรีบช่วยพูดโน้มน้าวใจขึ้นมา “วัจสาจ๊ะ เธอก็ช่วยตักอาหารให้คุณชายรองหน่อยสิ เขาชอบกินอะไรพวกเราไม่ค่อยรู้ชัดเจนเท่าไหร่” ความหมายที่พูดมาก็คือมีเพียงวัจสาเท่านั้นที่รู้ว่าเขาชอบกินอะไร วัจสาตกใจ คิดไม่ถึงว่าวราลีจะพูดออกมาอย่างใจกว้างขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าควรจะให้ลูกสาวของตัวเองไปดูแลธัชชัยหรอกเหรอ? แต่ว่าในเมื่อพวกเขาพูดออกมาแบบนี้แล้ว วัจสาก็ไม่รู้ว่าจะเอาอารมณ์ที่อึดอัดแบบนี้ไปไว้ไหน เพื่อหลีกเลี่ยงคุณน้าทั้งสองว่าเธอไม่รู้จักบุญคุณอีก รู้ดีว่าวันนี้เป็นโอกาสที่สำคัญก็ยังไม่ยอมช่วยเหลือกันอีก ดังนั้นจึงค่อยๆ ขยับเข้าไปข้างๆ ธัชชัย เขาเหมือนจะไม่ชอบซุปที่มีน้ำมันเยอะ ก็เลยเปลี่ยนถ้วยให้ใหม่และตักซุปบีทรูทเป็นออร์เดิร์ฟให้กับเขา ก่อนเมนูอาหารจริงๆ กับข้าวที่ทำอย่างประณีตทุกอย่าง เธอตักอาหารให้ธัชชัยแทบจะหมดทุกอย่างไปหนึ่งรอบ ในใจก็แขวะออกมาว่า: จะกินได้แค่ไหนกันเชียว คิดไม่ถึงว่าธัชชัยจะกินเข้าไปทุกอย่าง เธอตักอาหารทุกอย่างให้ เขาก็กินจนเกลี้ยง เหมือนกับว่าหิวมานานอย่างไรอย่างนั้น คนในบนโต๊ะอาหารต่างก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวกันอย่างเงียบๆ ไม่กล้ามองสองคนนี้ที่ดูเหมือนสามีภรรยากำลังดูแลกันอยู่ คนที่อดทนไม่ได้ที่สุดก็คือรสริน ถ้าหากว่าข้างๆ กายของธัชชัยเปลี่ยนเป็นเธอ นั่นก็จะสมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว วิธีคิดของภาวิณีนั้นกลับไม่เหมือนกับรสรินที่เป็นน้องสาวเลยแม้แต่น้อย เธอไม่ได้อิจฉาริษยาและไม่ได้เพ้อฝัน เธอกำลังสังเกตว่าธัชชัยชอบกินอาหารจานไหนมากที่สุด หรือพูดอีกอย่างว่าอาหารประเภทไหนที่วัจสาตักให้ธัชชัยสองรอบ ธัชชัยกินอิ่มจนพุงกาง เห็นวัจสายังไม่ได้กินอะไร กระแอมสองทีแล้วพูดว่า “พอแล้ว เธอกินข้าวเถอะ ของฉันแค่นี้ก็พอแล้ว” เรียกให้ผู้หญิงคนนี้มาตักอาหารให้ ก็เพื่อทำโทษเล็กๆ น้อย ใครใช้ให้เธอคิดเองเออเองล่ะ ไม่นึกเลยว่าจะทิ้งเขาเอาไว้กับพวกจิตใจเหี้ยมโหดพวกนี้ได้ลงคอ จริงๆ แล้วเขาก็ไม่กลัวเกรงสิ่งใด แต่ว่าพอไม่เห็นวัจสาแล้วจิดใจของเขามันกระวนกระวายใจไม่น้อย ก็แค่อยากจะยืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ระบายอารมณ์ก็เท่านั้นเอง วัจสาได้ยินว่าไม่ต้องตักอาหารแล้ว ในใจก็รู้สึกผ่อนคลายลงไปไม่น้อย ในชั่วพริบตาเดียวก็หันตัวกลับไปกินของที่ตัวเองอยากจะกิน ถูกธัชชัยใช้เป็นเวลานาน เธอก็หิวจนไส้จะขาดอยู่แล้ว กินจนพอประมาณแล้ว ปยุตจึงเปล่งเสียงใสออกมาจากลำคอ ถือแก้วไวน์มาแก้วหนึ่ง “คุณชายรอง ชoแก้วสักหน่อยเป็นไง?” ธัชชัยหยิบเอาทิชชู่ขึ้นมาเช็ดปากให้สะอาด และหยิบเอาแก้วไวน์ที่มีราคาแพงอย่างมากขึ้นมา “ขอขอบคุณตระกูลขุนทดที่ตอนรับเป็นอย่างดี” เขารู้ว่าเจ้าสุนักจิ้งจอกตัวนี้อยากจะพูดถึง ‘เรื่องธุรกิจ’ แล้ว “จริงๆ แล้ววันนี้ที่เชิญคุฯชายรองมา เป็นเพราะว่ามีเรื่องที่อยากจะปรึกษาหารือกับท่านสักหน่อย” “พูดมาเถอะ” “เรื่องมันเป็นอย่างนี้นะ รัฐบาลในช่วงนี้มีโครงการใหญ่โครงการหนึ่งใช่ไหม? มีการเปิดประมูลแผนโครงการถนานนายูงจนถึงถนนเกษตร ถ้าหากว่าประสบความสำเร็จ ผลกำไรค่าตอบแทนไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ตอนนี้เงินลงทุมีปัญหานิดหน่อย ไม่ทราบว่าคุณชายรองสนใจโครงการนี้ไหม?” ปยุตพยายามใช้ผลกำไรจำนวนมากมาดึงดูดใจของธัชชัย ในสายตาของคนที่ทำธุรกิจ มีเพียงผลกำไรเท่านั้นที่สำคัญที่สุด ธัชชัยยิ้มบางๆ ในดวงตากลับฉายแววไม่มีความสนใจเลยแม้แต่น้อย “ในมุมมองของผม โครงการนี้มันไม่คุ้มค่า” ปยุตตลึงงันเล็กน้อย “จะพูดอย่างไรดีล่ะ?” “อันดับแรกเลย คุณต้องใช้เงินไปไกล่เกลี่ยกับผลกระทบที่มีอยู่มากมาย พูดอีกอย่าง ถ้าหากว่าคุณอยากจะหาเงิน ก็จำเป็นต้องลงมือหาข้อมูลในด้านต่างๆ และโครงการนี้ไม่ได้เป็นเพียงปัจจุบันนี้ แต่ยังเป็นการสร้างความสุขให้กับชาวบ้านต่อไป ถ้าหากว่าคุณผลิตสินค้าด้อยคุณภาพจากวัสดุที่ไม่ดีก่อให้เกิดอันตรายได้ เรื่องนี้ คุณจะรับผิดชอบไหวเหรอ? กลัวว่าวันข้างหน้าจะตายเอาได้นะ พวกชาวบ้านน่ะไม่ปล่อยแม้แต่ซากกระดูกของพวกคุณตระกูลขุนทดเอาไว้แน่” ปยุตคิดไม่ถึงว่าธัชชัยจะสามารถพูดคำพูดคุณธรรมที่เข้มงวดขนาดนี้ออกมา เขาไม่ใช่ว่าจะสนใจผลกำไรมากที่สุดเหรอ? นึกไม่ถึงว่าจะให้ความสำคัญกับชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านด้วย? สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ ปัญหาที่เกี่ยวกับพวกชาวบ้านเป็นบรรทัดฐานของธัชชัย เขาจะไม่ทำร้ายชาวบ้านผู้บริสุทธิ์เพื่อแลกกับผลกำไรของตัวเอง วัจสาเองก็คิดไม่ถึงว่าผู้ชายคนนี้จะสามารถพูดคำพูดแบบนี้ออกมาได้ มักจะรู้สึกว่าเหตุการณ์ในวันนี้ช่างเหมือนกับวรพลในการประชุมผู้ถือหุ้น ช่างสมกับที่เป็นพี่น้องกันจริงๆ “ถึงจะเป็นอย่างที่พูดมาก็เถอะ แต่ฉันก็ได้ปรึกษาเรื่องการก่อสร้างกับท่านเมทนีแล้ว เขาน่าเชื่อถือไม่น้อย ไม่เกิดเรื่องแน่นอน และก็ยังมีผลกำไรเป็นกอบเป็นกำด้วย” ปยุตยังยืนหยัดที่จะประนีประนอมอยู่ ธัชชัยหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาช้าๆ สีแดงของเลือดที่อยู่ในนิ้วมือเรียวยาวเสริมส่งให้ดูสวยงามมีเสน่ห์อย่างมาก “ท่านเมทนีคนนี้ ตำแหน่งก็ใกล้จะรักษาเอาไว้ไม่ได้แล้ว คุณยังฟังเขาพูดอีกเหรอ? หรือว่าเขาเรียกให้คุณเอาเงินออกมาเงินจ่ายออกไปก่อนเหรอ?” ในใจของปยุตก็ตกใจขึ้นมา ธัชชัยไม่แปลกเลยที่เป็นเจ้าของผู้นำของธุรกิจของตลาดเอส สำหรับเขาแล้วไม่มีข้อมูลอะไรที่เขาจะไม่รู้ เห็นสีหน้าท่าทางของปยุต ธัชชัยก็รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นไม่ผิด “ผู้ที่ถูกเลือกให้เป็นเป็นผู้บัญชาการทหารและผ่านกองทัพเมื่อเขายังเด็กคนหนึ่ง สิ่งที่เขาเกลียดที่สุดก็คือคนที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมเพทุบายพวกนี้” สุดท้ายก็ถูกธัชชัยโยนลงไปในถังน้ำเย็นเยือก ความหวังสุดท้ายของปยุตที่มีอยู้นิดเดียวก็พลันพังทลาย วัจสาไม่ได้ตั้งใจฟังพวกเขาพูดคุยกัน เพียงแต่มองเห็นขนมกีวี่บนโต๊ะอาหารโดยกะทันหัน ในขณะนั้นก็ชูขึ้นมา เธออยากจะพิสูจน์ให้พวกเขาดู: ธัชชัยชอบกินกีวี่ที่สุด จึงแกล้งทำเป็นไม่สนใจและแอบคีบมันเอาไปวางไว้ในจานอาหารของธัชชัย ธัชชัยใช้ช้อนตกขึ้นมา กินมันเข้าไป แววตาวัจสาเป็นประกาย กลัวว่าทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้จะมองไม่เห็น จึงคีบไปอีกก้อน ก้อนที่สามธัชชัยก็กิน! ธัชชัยใช้หางตาเหลือไปมองเธอที่กำลังตื่นเต้น ภายในใจก็อยากจะหัวเราะขึ้นมาโดยพลัน ไร้เดียงสาเกินไปไหม? แต่ก็น่ารักดี มุมปากของภาวิณีก็ยกยิ้มขึ้นมาตลอด มองเห็นสีหน้าที่ดูไม่ได้ของรสรินแล้วก็เกือบจะหัวเราะออกมาแทบแย่ ดูสิ น้องสาวสุดที่รัก ไม่ใช่เขาไม่ชอบกินกีวี่ แต่เขาไม่ชอบเธอต่างหาก คนก่อเรื่องวุ่นวายไม่หยุดเป็นสิ่งที่หน้าอับอายที่สุด ภาวิณียังได้รู้อีกว่าคนอย่างธัชชัยไม่ชอบอยู่ในกรอบ รสรินกัดริมฝีปาก เกือบจะกัดจนเลือดไหนออกมา วัจสาผู้หญิงคนนี้ ไม่เพียงแต่เอาของๆ เธอไปให้หมากิน ยังเธอยังแสดงการเชื่อฟังต่อธัชชัยอีกด้วย! แบบนี้มันหมายความว่าอะไร? วัจสาไม่รู้ว่าการที่เธออยากจะพิสูจน์ว่าเธอไม่ได้พูดโกหกนั้นได้ทำให้ในสายตาของคนอื่นได้เปลี่ยนไปแล้ว “แหล่งข่าวของคุณชายรอง ผมย่อมต้องได้รับมาแล้ว แต่ว่าไม่รู้ว่าผู้ที่ถูกเลือกนั้นเป็นท่านไหนกัน? ผมจะได้สานความสัมพันธ์ที่ดีด้วย ถึงแม้จะไม่ได้มองทางด้านการเงิน ผมก็จะคิดหาวิธีติดต่อพูดคุยกับท่านนั้น แต่ว่า เดมทีแล้วผมอยากจะเชิญให้คุณชายรองมาร่วมหุ้นกับบริษัทชีวาเลียร์ของพวกเรา ก็เพื่อจะได้มีแรงของเงินทุกเพิ่มมากขึ้น อัตราของการประมูลได้ของพวกเราก็ทำได้สูงมาก คุณชายรองอยากจะทำเรื่องที่เป็นประโยชน์กับพวกชาวบ้านไหมล่ะ?” ปยุตยังคิดอยากจะลากธัชชัยให้ร่วมหุ้นให้ได้ ธัชชัยคอยชำเลืองมองข้างๆ เห็นวัจสาที่อารมณ์ดีมากเป็นพิเศษมุมปากยกยิ้ม “เรื่องการเข้าร่วมหุ้นน่ะทำได้ง่าย ต้องขอบคุณตระกูลขุนทดเรื่องการอบรมสั่งสอนเลี้ยงดู ตระกูลศรีทองของพวกเราจึงได้ภรรยาที่ดีอย่างวัจสา เป็นเรื่องที่ทำตามคำสัญญาของพ่อของกระผม ท่านเป็นคนที่พูดได้ทำได้จริง” วัจสาที่กำลังเตรียมจะดื่มซุปเข้าไป ยังดีที่ไม่สำลักตาย ทำไมตัวเองเหมือนนอนอยู่บนหอกอย่างนี้ล่ะ? ธัชชัยพูดเรื่องธุรกิจอยู่ดีๆ ทำไมถึงต้องดึงเธอเข้าไปด้วยล่ะ? เธออึดอัดใจเล็กน้อย ทำเหมือนตัวเธอเป็นสินค้าทางธุรกิจอย่างไรอย่างนั้น “เฮอะ เฮอะ” ปยุตย่อมรู้ว่าธัชชัยในตอนนี้กำลังพูดฉีกหน้าเขาอยู่ เป็นเพราะว่าลูกสาวคนที่สามของตัวเองไม่ยอมแต่งงาน ก็เลยส่งหลานสาวไปแทน พูดตามตรงก็คือรังเกียจคุณชายใหญ่ที่ถูกไฟคอก คำพูดที่ว่าพูดได้ทำได้ของธัชชัย ทำเอาเขาอับอายจนเหงื่อแตก ทั้งสองพูดคุยกันสักครู่ ก็พบว่าเริ่มดึกแล้ว ถึงเวลาที่ต้องกลับแล้ว ภาวิณีอยากจะให้วัจสาค้างอยู่ที่นี่สักคืน และอยากจะขุดค้นความชอบของธัชชัยให้มากกว่านี้ ที่เรียกว่ารู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ในเรื่องของความรักมันก็เป็นแบบนี้ เรื่องที่จะค้างอยู่ที่บ้านตระกูลขุนทดวัจสาไม่เคยคิดเอาไว้ แต่ว่าถูกภาวิณีเตือนแบบนี้ ใจเธอก็กระตุกวาบ ก็ไม่รู้ว่ากุญแจที่ห้องพักแขกนั้นเปลี่ยนเสร็จเรียบร้อยหรือยัง ถ้าหากว่าคืนนี้ธัชชัยเข้ามาทำอะไรเธออีก เธอไม่ดีเตลิดไปทั่วอีกเหรอ? ไม่สู้ค้างอยู่ที่บ้านตระกูลขุนทดสักคืนไม่ดีกว่าเหรอทั้งยังปลอดภัยกว่าด้วย ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ชอบที่นี่ แต่ห้องของตัวเองกุญแจสามารถล็อคอยู่ก็เพียงพอแล้ว “ได้สิ ฉันค้างอยู่ที่นี่สักคืนก็ได้” วัจสากลัวธัชชัยมาทำอะไรมิดีมิร้ายกับเธออย่างแท้จริง แต่ว่ามีคนที่หน้าตาเริ่มดูไม่ได้สุดขีดแล้ว หากคนในตระกูลศรีทองมาเห็นก็ดูออกว่าผู้หญิงคนนี้ต้องการที่จะหนีเขา ธัชชัยเป็นคนยังไง? มีเพียงเขาที่สามารถผลักไสคนอื่นได้ คนอื่นเขาไม่อนุญาตให้ผลักใสเขา! ดวงตาของเขาเผยความเย็นชาขึ้นมา ในดวงตาของเขาเหมือนปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งแผ่นหนา เหมือนกับว่าจะทำให้คนกลายเป็นน้ำแข็งให้ได้ “วัจสา พี่ชายของฉันกำลังรอเธออยู่ที่บ้าน เธอค้างอยู่ที่นี่คงไม่สะดวกขนาดนั้นมั้ง?” “วรพลช่วงนี้ไม่ใช่อยู่ในห้องรักษาตัวเหรอ? อีกอย่างฉันก็ไม่สามารถเข้าไปดูแลเขาได้ กลับไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ฉันก็จะค้างอยู่ที่นี่สักคืนแหละ” วัจสาพูดอย่างหนักแน่น 
已经是最新一章了
加载中