ตอนที่ 32 วิธีใช้หนังสือหยิน
1/
ตอนที่ 32 วิธีใช้หนังสือหยิน
วิวาห์ร้าย แต่งกับผี
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 32 วิธีใช้หนังสือหยิน
ตอนที่ 32 วิธีใช้หนังสือหยิน แม้เวลาจะผ่านไปนานแล้ว แต่ฉันก็ยังคงจำได้อย่างชัดเจน หนังสือปกหนังสือดำเล่มนั้นที่แม้ฉันจะพยายามเปิดดูสักกี่ครั้งก็ไม่มีตัวหนังสือเลยสักตัวเดียว “จำได้สิ จำได้อยู่แล้ว ถ้านายไม่พูดถึงมันขึ้นมา ฉันคงคิดว่านายกำลังแกล้งฉันอยู่นะเนี่ย” แต่เทียนปูหยู่ไม่ได้มีความสนใจกับการพร่ำพูดของฉันสักเท่าไหร่ แต่กลับเดินหน้าต่อไปอย่างนั้น ที่นี่เป็นที่ๆปิดสนิทมิดชิด รอบด้านไม่มีแสงเล็ดลอดเข้ามาเลยแม้แต่น้อย แต่กลับไม่รู้สึกมืดเลย เรียกว่าเป็นความสลัวก็ว่าได้ แม้ว่าจะหาแสงสว่างไม่ได้ แต่ฉันกลับไม่รู้สึกแปลกใจ เพราะหลังจากช่วงเวลาที่เสาะหาจางเจียเย่นจนพบแล้วนั้น ฉันจึงไม่เชื่อในพระเจ้าอีกต่อไป มองผ่านความมืดสลัวตรงหน้านั้น ฉันมองเห็นรูปปั้นขนาดใหญ่สามรูปอยู่เบื้องหน้า ครึ่งหนึ่งของรูปปั้นที่มีขนาดเล็กถูกบดบังอยู่ในความมืด มีเพียงรูปปั้นที่ขนาดใหญ่ที่สุดตรงตำแหน่งกลางเท่านั้นที่สามารถเห็นได้อย่างเด่นชัดที่สุด บนหัวของรูปปั้นสวมหมวกที่เต็มไปด้วยหมุดปลายแหลมคม ลักษณ์ใบหน้าดูน่าเกลียดน่ากลัว หินแกะสลักถูกเก็บรายละเอียดทุกอย่างรอยยับบนใบหน้า แม้แต่เขี้ยวแหลมคมนั้นก็ดูเหมือนจริงมาก เขายืนอยู่ในท่าทางที่ดูแปลกประหลาด ขาข้างหนึ่งถูกยกขึ้นมา เหมือนกำลังทำพิธีกรรมอะไรบ้างอย่างอยู่ ในตอนนี้ฉันสังเกตเห็นว่าในมือของเขาถือหนังสือปกหนังสีดำเอาไว้เล่มใหญ่ และเมื่อสังเกตดูหนังสือเล่มนั้นดีๆ ชัดเจนเลยว่า มันเหมือนกันกับหนังสือเล่มที่ฉันวางไว้ที่ห้องพักนั่นเอง เทียนปูหยู่เหมือนจะมองบางสิ่งบางอย่างออก พลันยิ้มออกมา : “ดูท่าทางแล้วเจ้าเองก็ไม่ได้โง่ขนาดนั้นนี่นา” พูดจบเขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่กลับเดินไปตรงกลางห้องโถง เผชิญหน้ากับรูปปั้นแกะสลักร่างใหญ่นั่นพร้อมเตรียมนั่งขัดสมาธิ จนกระทั่งเขานั่งลงบนพื้น ฉันถึงสังเกตเห็นว่าจู่ๆก็มีพรมรองนั่งปรากฎอยู่ตรงใต้ก้นของเขา พรมรองนั่งลอยสูงจากพื้นขึ้นมาราวสิบเซนติเมตร เหมือนถูกยึดติดเอาไว้ไร่ซึ่งการเคลื่อนไหว ผ้าคลุมยาวสีขาวของเทียนปูหยู่ลอยพ้นพื้นดินราวกับมีชีวิต เหมือนว่ากลัวพื้นดินจะทำให้มันสกปรก ฉันได้แต่ยืนมองเทียนปูหยู่ที่นั่งหันหน้าเข้าหารูปปั้นอยู่อย่างนั้น พร้อมกวักมือเรียกฉันเพื่อให้เข้าไปหาทั้งที่หันหลังและหลับตาอยู่ ฉันเดินเข้าไปหาอย่างว่าง่าย ในขณะที่เดินอยู่ฉันก็เงยหน้าขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ มองไปที่รูปปั้นใหญ่ยักษ์นั้นด้วยใบหน้าที่เปรี่ยมศรัทธา และสิ่งที่ทำให้ฉันประหลาดใจก็คือ ถึงแม้ฉันจะพอรู้สึกตัวว่ากำลังมุ่งเดินไปข้างหน้า แต่ฉันกลับไม่สามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้ ฉันรับรู้ได้ว่าจิตสำนึกของฉันกำลังยืนอยู่ด้านหลังตัวฉัน เพื่อจ้องมองดูตัวเองเดินไปข้างหน้าทีละก้าว ในใจของฉันตอนนี้ปรากฎภาพแผ่นหลังของตัวเองขึ้นมา ฉันเหมือนตกอยู่ภายใต้การควบคุม ไปหยุดอยู่ด้านหลังซึ่งไม่ไกลจากเทียนปูหยู่ เมื่อเตรียมจะนั่งลงไป ก็ปรากฎเป็นพรมรองนั่งขึ้นมาเหมือนกันไม่มีผิด แล้วฉันก็ทำทุกอย่างตามเทียนปูหยู่ เหมือนดั่งผู้ศรัทธาและพระสงฆ์กำลังนั่งสวดมนต์นั่งสมาธิต่อหน้าพระพุทธรูปอย่างไรอย่างนั้น และจิตสำนึกของฉันก็ยังคงนั่งมองทุกอย่างที่เกิดขึ้นจากด้านหลังโดยไม่พูดอะไรสักคำ ฉันหลับตาลงอย่างไร้การควบคุม ภายในใจล้วนมีแต่ภาพของรูปปั้นตรงหน้าเท่านั้น ในที่สุด เมื่อสมองของฉันเริ่มกลับมารับรู้อะไรได้บ้างแล้ว ฉันก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในห้องโถงอะไรนั่นแล้ว แต่กลับอยู่ในสวนที่เต็มไปด้วยต้นไม้เหี่ยวเฉา มันเหมือนกับว่าเป็นสวนของผู้มีฐานะในโบราญกาล ต้นไม้ได้ตายไปหมดแล้วทั้งสวน เหลือไว้เพียงกิ่งก้านที่เหี่ยวแห่ง ยื่นออกมาอย่างน่าเกลียด ทุกอย่างดูไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ ดูเหมือนเสียงๆหนึ่งอันเยือกเย็นที่ส่งมาจากคอมพิวเตอร์ เสียงนั้นหยาบกร้าน เปรียบดั่งเสียงของชายแก่ซึ่งอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง “นั่นอยู่ตรงนั้น อย่าขยับ” ไม่รู้ทำไม ฉันถึงไม่คัดค้านกับคำพูดประโยคนี้ เขาบอกฉันว่าอย่าขยับ ฉันก็นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่ขยับไปไหน มานึกขึ้นได้ภายหลังและฉันค่อยๆตระหนักได้ว่าก่อนหน้านี้ตัวเองได้ถูกควบคุมอยู่ มิฉะนั้นแล้วตามนิสัยส่วนตัวของฉัน ฉันไม่มีทางยอมฟังคำสั่งโดยง่ายดายเป็นแน่ และแน่นอน ณ เวลานี้ฉันเชื่อฟัง แม้ร่างกายจะยอมสงบนิ่งตามคำสั่ง แต่สายตาของฉันก็ยังคงจับจ้องไปยังบานประตูนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น สงสัยว่าจะมีอะไรโผล่ออกมาจากประตูบานนั้น พูดความจริง ตอนนี้ฉันไม่รู้สึกถึงความหวาดกลัวใดๆ เพราะฉันรู้ว่า เทียนปูหยู่สามารถพาฉันมาถึงที่นี่ได้ และเขาคงไม่คิดทำร้ายฉันหรอก ยิ่งไปกว่านั้น ที่อยู่ในท้องฉันตอนนี้คือลูกแท้ๆของเขาเอง! ทันใดนั้น ชั่วพริบตา ก็มีตาแก่คนหนึ่งเดินออกมาจากความมืดมิดอย่างช้าๆ เมื่อมองเห็นลักษณะของเขาอย่างชัดเจนแล้ว ฉันก็ตกตะลึงจนถึงกับต้องอ้าปากค้าง นี่ นี่ นี่มัน......ชัดเจนเลยว่าท่านผู้นี้คือตาแก่ในรูปปั้นแกะสลักนั่น เขามีชีวิตขึ้นมาอย่างนั้นเหรอ! เหมือนว่าตาแก่ผู้นั้นจะดูออกว่าฉันคิดอะไรอยู่ ปากที่มีเขี้ยวยื่นออกมานั้นเผยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับยกมือขึ้นมาจับเคราของตัวเอง “ตาแก่ หนังสือของคุณล่ะ......” เมื่อพูดจบฉันก็รู้สึกผิดเล็กน้อย รู้สึกว่าการที่ตัวเองใช้คำว่า “ตาแก่” กับผู้อาวุโสแบบนี้ เขาต้องโกรธแน่ๆเลย แต่ทว่าผิดคาด นอกจากตาแก่คนนี้จะไม่ได้มีอาการโกรธเคืองใดๆ แต่เขากลับเงยหน้าขึ้นมาพร้อมระเบิดหัวเราะออกมา : “ฮ่าฮ่าฮ่า ภรรยาของเทียนปูหยู่ ช่างไม่เหมือนใครจริงๆ” ฉันรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ทำได้เพียงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเท่านั้น : “จริงสิท่านผู้อาวุโส หนังสือที่อยู่ในมือของท่านล่ะ” รอบนี้ฉันต้องแอบย้ำกับตัวเองอยู่ตั้งนาน ก่อนจะยอมฝืนใจแก้คำพูดนั้นออกไป “เจ้าสังเกตเห็นจนได้นะ เจ้าไม่ใช่หญิงสาวธรรมดาทั่วไปจริงๆ” ฉันจึงแขวะกลับไปอย่างอดใจไม่ได้ : “ถ้าตาไม่ได้บอดก็ต้องมองเห็นอยู่แล้วสิ แล้วจะมองออกได้อย่างไรว่าข้าไม่ธรรมดา......” ฉันมองไปยังใบหน้ายิ้มแย้มนั้นของตาแก่ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ใบหน้านั้นไม่ได้ดูน่าเกลียดน่ากลัวอีกแล้ว และฉันก็รู้สึกว่าเขี้ยวบนปากของเขากลับกลายเป็นสิ่งปกติ แต่ว่า ยังไม่ทันให้ฉันได้คิดจนจบ ตาแก่ก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา ประกบนิ้วชี้และนิ้วกลางเข้าชิดกัน จากนั้นก็วนนิ้วทั้งสองตรงหน้าอกตัวเองรอบหนึ่ง แล้วเสกมาที่ฉันทีหนึ่ง สติของฉันเริ่มค่อยๆเบลอ เปลือกตาก็เริ่มหนัก และแล้วก็หลับตาลงโดยไม่รู้สึกตัว แม้ว่าจะหลับตาอยู่ แต่ทุกอย่างในเบื้องหน้ากลับไม่ได้เป็นเพียงความมืดมิด กลับกัน ในพื้นที่กว้างขวางไร้ขอบเขตนี้กลับมีหนังสือปรากฎอยู่ หนังสือปกหนังสีดำเล่มนั้นลอยอยู่ตรงหน้าฉัน แล้วมันก็เริ่มเปลี่ยนหน้าเอง ฉันได้แต่นึกในใจ ว่าไม่มีตัวอักษรใดๆในหนังสือเล่มนี้อยู่ ถึงจะเปิดขึ้นมาให้ฉันดู ฉันก็ไม่สามารถรวบรวมข้อมูลอะไรได้อยู่ดี! แต่เห็นได้ชัดเลยว่า ครั้งนี้มันแตกต่างออกไป หนังสือปกหนังดำเปิดไปที่หน้าแรก แผ่นกระดาษสีดำที่เดิมทีไร้ซึ่งตัวอักษร และในระหว่างที่ฉันกำลังเกิดข้อสงสัยในตัวมันอยู่ ก็มีแสงสีทองสว่างวาบออกมาจากหนังสือเล่มนั้น แสงสว่างสีทองนี้เปรียบเสมือนปากกาด้ามหนึ่ง ที่เริ่มขีดขีดเขียนเขียนลงบนกระดาษสีดำนั่น ตัวอักษรสีทองที่มีพื้นหลังเป็นสีดำช่างดูสะดุดตายิ่งนัก ฉันจดจ่อตัวอักษรสีทองที่บรรจงแต่งแต้มไปบนกระดาษ แต่ฉันกลับไม่รู้จักตัวอักษรพวกนั้นเลยสักนิด ฉันวนกลับมารู้สึกไร้เรี่ยวแรงอีกครั้ง ถึงแม้จะมีตัวอักษรขึ้นมาแล้ว แต่ฉันกลับไม่รู้จักมันเลย แล้วมันต่างกันตรงไหนล่ะ...... เสียงตาแก่นั่นเริ่มดังขึ้นในหูอีกครั้ง ยังคงเริ่มต้นมมาด้วยเสียงหัวเราะดังๆ : “ฮ่าฮ่าฮ่า......เจ้าได้หนังสือไปแล้ว แต่จะควรใช้อย่างไรดีนั้น เจ้าก็ไปถามสามีของเจ้าเอาเถิด......” ขณะเดียวกัน เสียงของตาแก่ก็เหมือนจะไกลออกไปเรื่อยๆ จนเมื่อฉันลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง พบว่าตาแก่นั่นได้หายไปจากบริเวณนี้แล้ว ฉันกำหนังสือไว้ในมือ พยายามลุกขึ้นอย่างสุดกำลัง รู้สึกได้ว่าขาเริ่มชานิดๆ ในตอนนั้นเองพื้นดินที่อยู่ใต้ขาของฉันก็พลิกตัวเองอย่างรวดเร็ว เหมือนเกิดทรายดูดที่ค่อยๆกลืนกินฉันเข้าไปทีละน้อยๆ ฉันหลับตาลงทันควัน และบีบจมูกตัวเองไว้แน่น อีกมือก็ยังคงกอดหนังสือปกหนังดำเล่มนั้นเอาไว้ไม่คลาย คิดกับตัวเองในใจว่า หนังสือเล่มนี้สามารถนำไปช่วยชีวิตคนได้ ถึงแม้ว่าฉันจะต้องตาย ฉันก็จะขอกอดมันไว้แน่นๆ จะไม่ปล่อยมือเด็ดขาด! ฉันได้เพียงแต่รอคอยความตายอย่างตื่นเต้น แต่เวลาล่วงเลยไปนานพอสมควร ฉันกลับลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งราวกับว่ามันเป็นแค่ฝันไป คราวนี้ ฉันก็กลับมาอยู่ในห้องโถงที่เทียนปูหยู่อยู่ และยังคงนั่งอยู่บนเบาะที่ลอยได้นั้นเหมือนเดิม ทันใดนั้นก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ อ้าแขนทั้งสองข้างดูอย่างร้อนรน และพบว่าหนังสือได้หายไปแล้ว! หนังสือของฉันล่ะ! “ฉัน......ฉันกำหนังสือไว้กับมือตัวเองแท้ๆ......” เทียนปูหยู่ได้ยินแบบนั้นแล้วจึงลุกขึ้นมาจากพรมรองนั่ง และพรมผืนนั้นก็ค่อยๆลอยกลับลงอยู่พื้น ค่อยๆเลือนลางไปกับพื้นดิน และหายไปในที่สุด เทียนปูหยู่ใช้มือทั้งสองข้างพยุงให้ฉันลุกยืนขึ้น มุมปากกระตุกเล็กน้อย ฉันเข้าใจแล้ว นี่คือการอมยิ้มของเขา “อืม ดูท่าแล้ว สุดท้ายเขาก็มอบของให้เจ้าแล้ว” เขา? เทียนปูหยู่หมายถึงรูปปั้นแกะสลักตรงหน้านี้น่ะเหรอ? ฉันเงยหน้ามองไปยังรูปปั้นอันใหญ่ยักษ์บนหัว และสิ่งที่ทำให้ฉันประหลาดใจก็คือ รูปปั้นแกะสลักตรงหน้าดูแตกต่างไปจากที่ฉันเห็นในตอนแรก ในส่วนของใบหน้าเขาไม่มีความเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด แต่ทว่ามือที่เคยกำหนังสือเล่มใหญ่ไว้กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ขาที่ยกขึ้นมาในตอนแรกก็กลับวางลงมาตามปกติ โดยรวมแล้วก็ดูคล้ายตาแก่นั่นขึ้นมาทันที มือที่เคยกำหนังสือไว้ บัดนี้ฝ่ามือได้ผายออกมา ข้อมืองอเล็กน้อย เหมือนกำลังยื่นมือมาทักทายฉันอยู่ ฉันแสร้งทำเป็นหันหลัง หันไปพูดกับเทียนปูหยู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มมีเลศนัย : “ตาแก่นั่นนิสัยไม่เลวนะ!” เพียงแต่...... พอคิดถึงเรื่องที่ตัวเองยังไม่สามารถทำความเข้าใจวิธีใช้งานหนังสือปกหนังดำเล่มนั้นได้ อารมณของฉันก็ดิ่งลงมาทันที เมื่อเห็นฉันเริ่มคอตก เทียนปูหยู่ก็พอจะเดาเหตุการณ์ออก ยกมือข้างนึงมาพาดตรงบ่าของฉันเพื่อปลอบโยน : “ไม่มีผู้ใดสามารถล่วงรู้ความลับของหนังสือหยินได้อย่างง่ายดายหรอก แต่เจ้าเองก็ได้รับการยอมรับจากเขาแล้ว นั่นก็พิสูจน์ได้ว่าเจ้ามีความสามารถมากพอ อย่ากังวลไปเลย” หนังสือหยิน? ที่แท้หนังสือปกหนังสือดำเล่มนั้นมีชื่อเรียกว่าหนังสือหยิน “มีพลังมหาศาลถูกซ่อนเอาไว้ในหนังสือหยิน มันรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกๆความสงสัยที่เจ้ามีเจ้าจะสามารถหาคำตอบได้ในหนังสือเล่มนี้อย่างแน่นอน และแน่นอน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตา” คำพูดของเทียนปูหยู่ทำให้ฉันรู้สึกสับสนขึ้นมา มุมหนึ่งก็บอกว่าสามารถหาคำตอบได้ อีกมุมก็กลับบอกว่าต้องรอโชคชะตา หากว่าโชคชะตายังมาไม่ถึง และต่อให้คำตอบจะปรากฎอยู่ตรงหน้า ฉันก็ไม่สามารถเข้าใจมันได้อยู่ดีอย่างนั้นเหรอ? เมื่อมาคิดมาถึงจุดนี้ ก็ดูเหมือนว่าฉันจะเข้าใจยางสิ่งบางอย่างขึ้นมาบ้างแล้ว ว่าตัวอักษรที่สองที่สลักไปบนกระดาษดำนั้น ที่ฉันไม่สามารถอ่านมันให้เข้าใจได้ก็เพราะว่าโชคชะตายังมาไม่ถึงสินะ ถ้าอย่างนั้นฉันคงทำได้เพียงแค่หาทางขึ้นไปบนสวรรค์ ภาวนาให้สามารถหาวิธีกำจัดจ้าวซิ้วจากหนังสือหยิน และจะเป็นการดีมากหากว่ามันจะเป็นอักษรจีนที่อ่านแล้วเข้าใจ และฉันสามารถอ่านมันออกได้อย่างงายดาย! “อย่ารีบร้อนไป หนังสืออยู่ที่บ้านพักของเจ้า” ในขณะเดียวกัน ฉงันก็ได้ยินเสียงๆหนึ่งแว่วเข้ามาในหู......
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 32 วิธีใช้หนังสือหยิน
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A