ตอนที่ 33 กลับสู่ความเป็นจริง   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 33 กลับสู่ความเป็นจริง
ตอนที่ 33 กลับสู่ความเป็นจริง “เฉินน่อ เฉินน่อ ตื่นขึ้นมาได้แล้ว......” ฉันรู้สึกตัวขึ้นมาในภายหลัง นี่มันคือเสียงของซูหลิน! ฉันที่ได้ยินเสียงของซูหลินราวกับว่าตัวเองถูกดึงจากโลกอมนุษย์กลับมาสู่โลกแห่งความจริง ใช่ ฉันจะมาเสียเวลาอยู่ที่นี่ไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว และแน่นอนว่า ฉันคงมีชีวิตอยู่ภายใต้การปกป้องจากเทียนปูหยู่แบบนี้ตลอดไปไม่ได้หรอก ฉันหันหน้ากลับไปพบว่าเทียนปูหยู่เองก็รับรู้ได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น : “เทียนปูหยู่ ซูหลินเรียกฉันแล้ว ฉันต้องกลับไปแล้ว” พูดจบ ฉันก็เตรียมก้าวเท้าออกไปด้านนอก และเทียนปูหยู่ยืนกอดอกคอยสังเกตุการอยู่ข้างๆ เหมือนกำลังยืนชมการแสดงอย่างไรอย่างนั้น จนกระทั่งฉันเดินไปจนถึงหน้าประตูห้องโถง ถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมา เผชิญหน้ากับความมืดที่อยู่นอกประตูบานนี้ แล้วฉันจะกลับไปได้อย่างไรกัน! ฉันหันหน้ากลับไปมองยังเทียนปูหยู่ : “ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกันแน่......” อาจจะเพราะท่าทางไม่รู้อิโหน่อิเหน่ของฉันมันดูตลกมาก ถึงได้ทำให้เทียนปูหยู่ผู้ซึ่งมีแต่คำพูดแสนเย็นชาคนนี้หลุดหัวเราะออกมาได้ แน่นอนว่าฉันไม่มีทางปล่อยให้เขาหัวเราะเยาะเย้ยฉันแบบนั้น ฉันจึงได้ยกขาแล้วเตะไปที่น่องของเขาอย่างแรง อย่างไรก็ตามดูเหมือนเทียนปูหยู่จะไม่ได้สะทกสะท้านกับวิธีการจู่โจมของฉัน ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ ชายหนุ่มตรงหน้าที่หล่อเหลาจนผู้คนต่างพากันเกลียดคนนี้ไม่ใช่คนปกตินี่นา เขาอาจจะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยก็ได้! ในขณะที่ฉันไม่สามารถจัดการอะไรกับปัญหาตรงหน้าได้ ทันใดนั้นเทียนปูหยู่เอายกมือทั้งสองขึ้นมากุมใบหน้าของฉันเอาไว้ ท่าทางดูจริงจัง เหมือนมีบางอย่างที่สำคัญอยากจะบอก ฉันเงยหน้าขึ้นอย่างไม่ขัดขืน รอฟังในสิ่งที่เขาต้องการจะพูด “จำสิ่งที่ข้าพูดเอาไว้ให้ดีนะ อยู่ให้ห่างจากเจ้าคนที่ชื่อซูหลินเอาไว้!” ฟังแบบนั้นแล้ว ฉันกลอกตาใส่เขาอย่างไร้เยื่อใย ถึงขั้นพูดอะไรไม่ออก...... “จำไว้ มีข้าคอยปกปักรักษา เจ้าจะไม่มีวันตายแน่นอน......” ยังไม่ทันสิ้นเสียง ฉันรู้สึกเหมือนร่างกายเริ่มหน่วง เทียนปูหยู่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเลือนลางขึ้นเรื่อยๆ และสุดท้ายทุกอย่างตรงหน้าก็มืดสนิทลง ไร้ซึ่งเสียงดังรบกวนใดๆ...... ในความมืดมิด ทุกอย่างดูเงียบสงบไปหมด ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนได้มีเวลาส่วนตัวขึ้นมาบ้าง ในที่สุดก็ได้มีเวลาสงบจิตสงบใจนั่งทบทวนกับสิ่งที่เกิดขึ้นในไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ หรือแม้แต่ว่า หลังก้าวออกมาจากห้องของซูหลินในวันนั้นฉันผ่านอะไรมาบ้าง ฉันยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิด แต่น่าแปลก ที่ฉันยังสามารถมองเห็นตัวเองได้ชัดเจน ยกเว้นเรื่องอุบัติเหตุของฉันเมื่อสี่สัปดาห์ที่แล้ว ที่เหลือฉันก็สามารถอธิบายมันออกมาได้ด้วยความว่างเปล่าเท่านั้น แต่ก็ยังดี ตอนนี้ฉันกำลังต้องการสภาพแวดล้อมแบบนี้อยู่พอดี อยู่ที่นี่ ไม่มีเสียงร้องไห้ของไป๋เวยเวย ไม่มีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของจ้าวเซียว ที่สำคัญก็คือไม่มีเสียงหัวเราะอย่างกระหายเลือดของจ้าวซิ้ว ในโลกใบนี้ ฉันกลับรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น ฉันรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น นั่งชันเข่าลงบนพื้น สิ่งที่ประสบพบเจอในหลายวันมานี้ทะลุผ่านเข้ามาในจิตใจเป็นฉากๆ ก่อตัวขึ้นเป็นเส้นเวลาอย่างชัดเจน ฉันแยกแยะเรื่องราวทุกสิ่งอย่าง และเริ่มเข้าใจกับทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้น มีเพียงเรื่องเดียว ที่รู้สึกว่ามันไม่สมเหตุสมผล ทั้งๆที่จ้าวซิ้วก็รับรู้แล้วว่าความตายที่ขอไปไม่เป็นผลอีกต่อไปแล้ว แล้วทำไมถึงยังไม่ยอมรามือสักที? ความแค้นและความเกลียดชังของเธอสำคัญมากกว่าชีวิตอันหนักอึ้งขนาดนั้นเชียวหรือ? ฉันรู้ว่าคุณค่าของคนทุกคนนั้นแตกต่างกัน แต่ก็ไม่คิดว่าคนที่กลายเป็นผีแล้วจะมองชีวิตของมนุษย์เป็นเพียงแค่ผักปลา หลายครั้งที่ได้พบเจอกับจ้าวซิ้ว ฉันมักจะรู้สึกมีบางอย่างแปลกๆ แต่เมื่อฉันนั่งคิดไตร่ตรองอย่างละเอียด ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกหลงทาง ไม่รู้ว่าประเด็นสำคัญอยู่ตรงไหน ในขณะที่ฉันกำลังปวดหัว เสียงของเทียนปูหยู่ก็ดังก้องเข้ามาในหัว “ผีก็เหมือนกับมนุษย์นั่นแหละ ไม่มีการเลือกฆ่าผู้บริสุทธิ์โดยไม่มีเจตนาหรอกนะ นอกเสียจากว่า......” สิ้นเสียงเทียนปูหยู่ สมองของฉันเหมือนถูกเชื่อมต่อเข้ากับสัญญาณบางอย่าง กระจ่างขึ้นในทันใด “นอกเสียจากว่าเธอจะเสียสติไปแล้ว” เทียนปูหยู่น่าจะเริ่มรู้สึกมีความรู้สึกว่าฉันเป็น “ว่านอนสอนง่าย” ขึ้นมาบ้างแล้ว แอบขำเบาๆ แล้วพูดต่อ : “ใช่ ตอนที่ข้าต่อกรกับนางข้าแอบรู้สึกได้ว่า นางเป็นเพียงหุ่นเชิดที่มีแต่ความแค้นและหวังเพียงเพื่อแก้แค้นอย่างเดียว ในสมองนอกจากเรื่องแก้แค้นก็ไม่มีสติกับอะไรอย่างอื่นอีกเลย” แล้วมันเป็นเพราะอะไรกันแน่? หรือเป็นเพราะว่า เพียงเพราะว่าก่อนตายเธอมีแรงอาฆาตแค้นมากจนเกินไป หลังจากที่ตายไปนอกจากการแก้แค้นก็จำอะไรไม่ได้อีกเลยอย่างนั้นเหรอ? ยังไม่ทันรอให้ฉันได้ถามอะไร เทียนปูหยู่ก็พูดขึ้นมาก่อน : “ไม่เพียงแต่มนุษย์เท่านั้นที่มีสองด้าน ผี ถือเป็นรูปแบบการดำรงอยู่ของมนุษย์ในโลกหลังความตาย และยังคงไว้ซึ่งจุดเด่นของลักษณะนิยสัยเมื่อตอนยังเป็นมนุษย์อยู่ และนั่นก็หมายความว่า เดิมทีแล้วลักษณะนิสัยของจ้าวซิ้วมีทั้งด้านดีและไม่ดีอยู่ แต่ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าตอนนี้เธอเหลือไว้เพียงด้านที่ชั่วร้ายเท่านั้น” ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ......ฉันไม่สามารถทำความเข้าใจกับความที่ลึกซึ้งของหยินและหยางได้ เพียงแค่รับรู้ได้ว่าเทียนปูหยู่พูดว่าอะไร หากพูดถึงความรู้ในระดับที่ฉันมีนั้นไม่อาจทำความเข้าใจความหมายลึกซึ้งที่แอบแฝงอยู่ในประโยคเหล่านั้นได้เลย หรืออาจจะเป็นเพราะว่าฉันไม่ค่อยเข้าใจ จึงทำให้ฉันคิดว่าคำพูดของเขาไม่ความหมายแอบแฝงอยู่ ฉันปลอบใจตัวเองอยู่แบบนั้น ในใจก็ไม่พยายามไขข้อสงสัยที่มีอย่างไม่ลดละ “แล้วทำไมจ้าวซิ้วถึงเหลือเพียงแค่ด้านเดียวเท่านั้นล่ะ? นายยังรู้อะไรมากกว่านี้อีกหรือเปล่าเทียนปูหยู่? นายยังมีอะไรที่อยากจะบอกฉันแต่ไม่สะดวกจะบอกหรือเปล่า?” ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ฉันถึงรู้สึกว่ามีลางสังหรณ์ยอย่างแรงว่าเทียนปูหยู่อาจจะหายลับไปในอีกไม่ช้า เมื่อรู้สึกเช่นนั้นฉันก็รีบถามคำถามทั้งหมดที่มีในใจอย่างร้อนรน “ถึงเวลาต้องกลับไปแล้ว หนังสือหยินจะให้คำตอบเจ้าเอง อีกหนึ่งสิ่งที่ข้าจะสามารถบอกเจ้าได้ก็คือ----มุมดีๆของจ้าวซิ้ว เจ้าและข้าต่างก็เคยพบเห็นกันมาแล้ว......” เสียงของเทียนปูหยู่ดังก้องอยู่ท่ามกลางความมืดมิดที่ว่างเปล่าก่อนจะค่อยๆหายเงียบไปในที่สุด แต่มันกลับยังคงตราตรึงอยู่ในใจของฉันอยู่อย่างนั้น มุมดีๆของจ้าวซิ้ว? ฉันเคยพบเห็นมาก่อน? แต่ว่า ฉันไม่เคยรู้จักจ้าวซิ้วมาก่อนเลยนี่นา มาเจออีกทีเธอก็มีท่าทีที่ดูบ้าคลั่งไปแล้ว หนังสือหยิน? จริงด้วย! ในใจคิดเพียงว่าอยากจะเปิดดูหนังสือหยิน มือทั้งสองข้างก็ถูกยื่นไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว แบมือทั้งสองออก ในความรู้สึกของฉันหนังสือหยินเป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่งอกเงยออกมา จากแสงสีทองจุดเล็กๆค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นๆ จนกลายเป็นหนังสือหยินในที่สุด ฉันพลิกไปยังหน้าแรกของหนังสือหยิน คิดคำถามที่อยากถามในใจพร้อมหลับตาลง เป็นอย่างที่ฉันคิดไว้ไม่มีผิด หนังสือหยินปรากฎอยู่ต่อหน้าอีกเล่มหนึ่ง มันเปิดไปที่หน้าแรกเองดั่งมีชีวิต แสงสีทองเริ่มเคลื่อนไหวขึ้นมา “แรงปราถนาความตายยังไม่สมบูรณ์” “สถานที่แห่งความตาย” ...... คำถามที่มีในใจของฉันเริ่มผุดขึ้นมาทีละข้อทีละข้อ แต่คำตอบที่ได้รับจากหนังสือหยินนั้นมีแค่คำสั้นๆไม่เพียงกี่คำเท่านั้น ลองพลิกดูหลายๆรอบ ตามคาด คำตอบที่ได้ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน นั่นหมายความว่า ถึงแม้หนังสือหยินจะได้ให้คำตอบกับฉันแล้ว ด้วยระดับความรู้ที่ฉันมี นี่นับได้ว่าเป็นเพียงแค่คำใบ้เท่านั้น เหมือนกับการที่ได้ยินเสียงของเทียนปูหยู่ที่แวบเข้ามาเป็นครั้งคราว แต่ทว่า ฉันเองก็พอจะดูออกว่าตำแหน่งของเทียนปูหยู่ในโลกอมนุษย์อาจไม่ธรรมดา เขาอาจจะไม่สามารถเข้ามาแทรกแซงกับเรื่องราวเหล่านี้ได้ แต่ยังสามารถช่วยเหลือฉันมาได้ถึงจุดนี้ ไม่เสียแรงที่ฉันอุ้มท้องให้เขาอย่างลำบากลำบน! ฉันนั่งคิดอยู่อย่างนั้น แล้วค่อยๆลืมตาขึ้นมา ประกบหนังสือหยินที่อยู่ในมือ น้ำหนักของหนังสือหยินหายไปไหนทันใด แล้วเริ่มค่อยๆหดเล็กลงเล็กลง สุดท้ายกลายเป็นเพียงแสงสีทองจุดเล็กๆ และสลายหายจากมือไปในที่สุด สิ่งที่ฉันต้องการจะทำ ฉันก็ได้ทำมันจนเสร็จแล้ว แต่ฉันกลับยังคงอยู่ท่ามกลางความมืดมิดนี้ไม่ไปไหน ฉันรู้เพียงว่ามาอยู่ที่นี่ได้ก็เพราะเทียนปูหยู่ แต่ฉันไม่รู้ว่าตัวเองจะกลับไปในโลกของตัวเองได้อย่างไร ฉันนั่งลงบนพื้นอีกครั้งอย่างหมดอาลัยตายอยาก ตั้งใจจะหาคำตอบจากหนังสือหยิน แต่ไม่รู้ว่าเพราะหลายสิ่งหลายอย่างอยู่ในสมองของฉันตอนนี้ หรือการที่หนังสือหยินจะปรากฎได้ต้องพึ่งโชคชะตา เพราะไม่ว่าฉันจะพยายามยังไง ในมือก็ยังคงว่างเปล่า ลองหลับตาลง ก็มีแต่เพียงแค่ความมืดสนิทเท่านั้น ฉันมุดหน้าไว้ในอ้อมแขน นั่งลงสู่พื้นอย่างไร้ทางออก ขณะที่ฉันใกล้จะหลับนั้น ก็มีเสียงๆหนึ่งที่ฉันคุ้นเคยแว่วเข้ามาข้างหู...... “เฉินน่อ เฉินน่อเธอตื่นเถอะนะ......” นั่นคือเสียงของไป๋เวยเวยกับซูหลิน! ฉันมีความสุขอย่างสุดขีด ฉันลืมตาขึ้นมาพร้อมตะโกนออกไปด้วยความดีใจ : ”ซูหลิน ฉันอยู่ตรงนี้!” แต่เมื่อแสงทองเปร่งประกายกระทบมาที่ร่างกายของฉัน สว่างไสวจนฉันแทบจะลืมตาไม่ขึ้น ฉันสังเกตเห็นว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่อันมืดมิดแห่งนั้นแล้ว และตอนนี้ฉันกำลังนอนอยู่บนเตียง ร่างกายถูกปกคลุมไปด้วยผ้าห้มผืนหนาๆ ฉันยังไม่สามารถดึงสติกลับมาได้เท่าไหร่นัก ได้แต่หันไปมองซูหลินอย่างเฉื่อยชา แต่ปรากฎว่าซูหลินเองก็จ้องมาที่ฉันอย่างตกใจ กลับกันนั้นไป๋เวยเวยมองมาที่ฉันแล้วหัวเราะดังลั่น : “เฉินน่อ นี่เธอนอนละเมอเหรอ?” ละเมอ? ฉันไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ฉันสัมผัสผ้าห่มที่ทำให้ฉันเกิดคำถาม ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองได้ผ่านเรื่องราวอะไรมาบ้าง หรือว่ามันอาจะเป็นแค่ฝันเท่านั้น ฉันเงยหน้าขึ้นมองไป๋เวยเวยที่กำลังหัวเราะร่า รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา พูดกับไป๋เวยเวยด้วยเสียงออดอ้อน : “เวยเวย ฉันหิวอ่ะ......” อาศัยจังหวะที่ไป๋เวยเวยออกไปข้างนอก สีหน้าของฉันก็กลับสู่โหมดจริงจัง และหันไปถามซูหลิน : “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ใครจะรู้ว่ามันจะกลายเป็นว่าซูหลินชี้นิ้วมาที่ฉัน พรางเลิกคิ้วแล้วถามกลับ : “ถามฉันว่าเกิดอะไรขึ้นอย่างอย่างนั้นเหรอ? ฉันอยากจะถามเธอกลับด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ซูหลินนั่งลง ก่อนจะเริ่มอธิบายความเป็นมาเป็นไปของเรื่องราวทั้งหมด ที่แท้ ในขณะที่ฉันเดินก้าวออกมาจากห้องของซูหลิน ฉันก็สลบลงไปในทันที แต่จ้าวซิ้วดูเหมือนจะมีความเกรงกลัวอยู่บ้าง ถึงได้ไม่กล้าเข้าใกล้บ้านหลังนี้ ไม่มีทางเลือก คุณปู่ของซูหลินเลยจำเป็นต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยฉันเข้ามาอยู่ในบ้าน ฉันทดลองคำนวนเวลาดู ตอนที่ฉันก้าวออกจากประตูไป แม้ว่าในขณะนั้นรอบด้านจะเต็มไปด้วยความมืด แต่ในความทรงจำของฉัน นั่นมันยังอยู่ในช่วงเช้าชัดๆ ถ้าฉันจำไม่ผิด ฉันเงยหน้ามองไปยังพระอาทิตย์ด้านนอก ฉันน่าจะสลบไปประมาณ 24 ชั่วโมงได้แล้ว “24 ชั่วโมงอะไร นี่เธอดูถูกตัวเองเกินไปแล้วจริงๆ! เธอหลับไปสามวันแล้วต่างหากล่ะ! ” อะไรนะ! พอฟังคำพูดซูหลินแล้ว นอกจากอาการอึ้งแล้ว ก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ฉันนึกขึ้นได้ นั่นก็คือ บางทีสิ่งที่ฉันประสบพบเจอมาในหลายวันนี้มันไม่ได้เป็นเพียงความฝัน คงไม่นับว่ามันเป็นแค่ภาพลวงตา แต่มันเคยเกิดขึ้นแล้วจริงๆ และมากไปกว่านั้น ไม่ใช่ร่างกายของฉันที่ประสบพบเจอเรื่องๆราวต่างๆ แต่เป็นวิญญาณ นั่นก็แสดงว่า ถ้าวันนั้นเทียนปูหยู่ไม่ได้เข้ามาช่วยฉันไว้ แต่เป็นจ้าวซิ้วที่เข้ามาทำลายวิญญาณของฉันจนดับสิ้น หากเป็นเช่นนั้น ฉันที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงก็คงจะหมดลมหายใจไปแล้ว ฉันพยายามนึกย้อนกลับไป จู่ๆก็รู้สึกตัวกลับมา พยายามตะเกียกตะกายลงจากเตียง ซูหลินพยุงแขนของฉันเอาไว้พยายามผลักฉันให้กลับไปนอนลงอย่างเก่า แต่ฉันไม่ได้สนใจอะไรมาก เพียงแต่เงยหน้าขึ้นมาตอบเขา : “ฉันจำเป็นต้องกลับไปที่หอพัก ฉันมีเรื่องสำคัญอีกหลายอย่างต้องทำ!”
已经是最新一章了
加载中