ตอนที่ 37 ตาแก่ผู้ลึกลับ   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 37 ตาแก่ผู้ลึกลับ
ตอนที่ 37 ตาแก่ผู้ลึกลับ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองไปเอาความกล้านี้มาจากไหน ถึงได้กล้าเปิดปากพูดคุยต่อรองกับผีสาวแบบนั้น ผีสาวที่อยู่ด้านหลังฉันเริ่มบ่นพรึมพรำอะไรบางอย่าง จากนั้นก็แลบลิ้นออกมาจากทางด้านหลังของฉัน ฉันไม่รู้ว่าทำไมลิ้นของหล่อนถึงได้ยาวขนาดนี้ แต่หล่อนก็พยายามจะใช้ปลายลิ้นแตะมาที่คอของฉันแล้วเลียเลือดที่ไหลออกมาจนหมดไป เหล่าภูตผีที่อยู่รอบๆบริเวณนั้นก็กลับคืนสู่สภาพปกติ ฉันรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงผิวบริเวรลำคอ ดูเหมือนว่าแผลจะหายกลับเป็นปกติ ผีสาวเพิ่งจะเก็บลิ้นคืนกลับไป พร้อมเลียริมฝีปากอย่างรู้สึกเสียดาย และในเวลานั้นเอง ซูหลินอาศัยช่วงที่เจ้าผีสาวเผลอ หยิบเอาผ้ายันต์ออกมาจากอกในทันใด “เฉินน่อ ฉันไม่อยากพูดอะไรเยอะแล้ว อย่างไรก็ตาม ฉันจะต้องช่วยเธอกลับไปจนได้!” ซูหลินยกมือขึ้นสูงพร้อมผ้ายันต์ในมือ เตรียมที่จะร่ายคาถา ตอนนี้เห็นเพียงท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มขึ้นมาอย่างกะทันหัน สายฟ้าฟาดผ่าลงมายังบริเวณไม่ไกลจากเรา ฉันรู้สึกได้เพียงแสงสว่างวาบจากทางด้านหลัง จากนั้นก็มีเสียงดังเปรี้ยงตามมา เหล่า“ผู้คน” ที่เดินขวักไขว่อยู่บนถนนต่างก็เกิดตกใจอยู่ไม่น้อย ต่างวิ่งหนีกันไปด้วยความรู้สึกหวาดผวาทีละคนๆ ผีสาวดูเหมือนจะตกใจจนขวัญกระเจิง บีบแข็งฉันแรงจนฉันขนลุกขึ้นมา ซูหลินเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้ว เหวี่ยงแขนเตรียมจะโยนผ้ายันต์มาทางนี้ ขณะอยู่ในช่วงเส้นยาแดงผ่าแปด ก็มีมือที่เหี่ยวย่นมือหนึ่งคว้าข้อมือของซูหลินเอาไว้ในทันใด ซูหลินเริ่มคลายมือออก ผ้ายันต์ก็ลอยลงสู่พื้น ผ้ายันต์ร่วงลอยลงไปได้เพียงครึ่งทาง ก็ลอยขึ้นมาและกลับเข้าสู่กระเป๋าของซูหลินด้วยวิธีแปลกๆ ซูหลินขัดขืนดูสักพักใหญ่ ในที่สุดก็ไม่สามารถหลุดจากพันธนาการได้ หลังจากที่ฉันดึงสติกลับมาได้ ตาแก่หลังค่อมเดินยิ้มออกมาจากทางด้านหลังของซูหลิน ฉันเห็นเขายกมือขึ้นเล็กน้อย แขนเหยียดยาวออกมาเหมือนยางยืด ฝ่ามือที่เปรียบดั่งกิ่งไม้นั้นคว้าไปที่ข้อมือของผีสาว ผีสาวบีบรัดฉันเอาไว้อีกมือก็พยายามขัดขืน “เจ้าน่ะ รู้หรือเปล่าว่าแม่นางผู้นี้อยู่ในฐานะอะไร” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉันก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ถ้าตาแก่นี่พูดความจริงทั้งหมกออกมาต่อหน้าซูหลิน แล้วหลังจากนี้ฉันจะอยู่ร่วมกันกับซูหลินได้อย่างไรกัน! หากเขารู้ว่าฉันปิดบังเขามานานขนาดนี้ ก็อาจจะตัดขาดจากฉันตั้งแต่ตอนนี้แน่เลย! แต่ว่า ตาแก่เองเหมือนจะรู้สถานการณ์ มองมาที่ฉันพร้อมส่งยิ้มให้ จากนั้นก็หันไปจ้องตาผีสาวอยู่นาน อย่างไรก็ตาม ในที่สุดเจ้าผีสาวก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วค่อยๆคลายมือของฉันออก ก่อนเดินจากไปก็ยังไม่วายหันกลับมามองฉัน ในแววตาที่เต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม : “เหอะ ไม่คิดเลยว่าจะเป็นของประเภทนี้......” ของประเภทนี้...... หากไปใช่เพราะว่าฉันสู้หล่อนไม่ไหว ฉันคงจะตามไปฆ่าหล่อนแล้ว และสายตาของซูหลินดูมืดมนลงไปหลายนาที แต่ถึงอย่างนั้นก็อดที่จะหัวเราะกับคำพูดของพี่สาวไม่ได้ ฉันเหลือบมองเค้าด้วยท่าทีเศร้าๆ ตัวเองช่วยฉันไว้ไม่ได้แท้ๆ ยังจะมาหัวเราะเยาะเย้ยฉันอีก! จวบจนกระทั่งผีสาวบิดร่างตัวเองแล้วเดินจากไป ฉันจึงนึกขึ้นได้ว่าจะต้องหันไปขอบคุณชายชราตรงหน้า แต่ว่า สิ่งที่ฉันไม่เข้าใจก็คือ เขารู้จักตัวตนของฉันได้อย่างไร? ดูเหมือนจะรู้ความคิดของฉัน ชายชรากระตุกมุมปากและคิดวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน กลับตัวแล้วโน้มตัวลงแล้วเดินไปข้างหน้า พลันเปิดปากเปล่งเสียงอันแหบแห้งนั้นออกมา : “สิ่งที่เจ้าอยากรู้ข้ารู้หมดทุกเรื่อง เพียงแต่......ต้องดูว่าเจ้าจะยอมแลกอะไรเป็นค่าตอบแทน......” ฉันหันกลับไปมองซูหลิน ซูหลินเองก็มองมาที่ฉันด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าไม่ได้ติดขัดอะไร สัญชาตญาณของฉันบอกกับฉันว่า ชายชราคนผู้นี้เชื้อถือได้ ดังนั้นฉันจึงส่งสายตาไปให้ซูหลินเป็นนัยว่าฉันได้ตัดสินใจแล้ว และเดินตามชายชราไปข้างหน้า ชายชราเดินก้าวไปด้วยก้าวเล็กๆ และเดินช้ามาก โดยปกติฉันจะก้าวนำหน้าซูหลินหนึ่งก้าวเสมอ แต่เนื่องจากฉันต้องเดินตามหลังของชายชรา ซูหลินก็รีบเดิมตามฉันมา ซูหลินเดิมตามหลังมาแล้วสะกิดฉัน : “เฉินน่อ เธอเคยเจอกับตาแก่นี่มาก่อนแล้วใช้ไหม?” ฉันส่ายหัวเบาๆ ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร ไม่รู้ทำไม การเดินตามหลังชายชรา รู้สึกได้ถึงความกดดันอย่างมาก การพูดอะไรออกไปสักประโยตหนึ่งก็ราวกับจะเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวง ความรู้สึกแบบนี้ทำให้ฉันนึกถึงกฎที่ไร้มนุษย์ธรรมในสมัยวัยมัธยที่ว่าต่อให้ได้ยินเสียงก็ห้ามหันกลับไปมอง และหนังสยองขวัญอีกแบบหนึ่งของคือการที่เราหันหน้าไปแล้วพบว่าครูประจำชั้นเองก็จ้องมาที่คุณอยู่เหมือนกัน จนกระทั่งชายชราพาพวกเรามาถึงซอยเล็กๆ ฉันตั้งสติและเริ่มสำรวจสิ่งรอบข้าง สิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกประหลาดใจก็คือ ที่ตรงนี้ดูคล้ายกับคฤหาสน์เก่าแก่ที่คุณปู่ของซูหลินอาศัยอยู่ เต็มไปด้วยอิฐฟ้ากระเบื้องเขียว มีความโบราณเรียบง่าย และดูสวยงามโรแมนติกมาก แต่เห็นได้ชัดว่าฉันไม่จำเป็นจะต้องมากังวลกับเรื่องพวกนี้ ฉันเดินไปข้างหน้าพร้อมกับเหล่ซ้ายมองขวา แต่บังเอิญไปเดินชนเข้ากับร่างของชายชรา ชนจนชายชราถึงกับเดินโซซัดโซเซ ในที่สุดฉันก็เอื้อมมือออกไปดึงแขนของเขาเอาไว้โดยไม่รู้ตัว ฝ่ามือของฉันสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกเพียงชั่วพริบตา ความรู้สึกเย็นนั้นเหมือนจะสามารถทะลุผ่านเข้ามาในโสตประสาท ไหลผ่านไปตามเส้นเลือดฝอยของฉันก่อนจะแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของฉัน ฉันเหมือนได้รับการถูกกระตุ้นอย่างไรอย่างนั้น จึงรีบดึงมือกลับมาในทนใด ฉันกลั้นใจอยู่นานเพื่อไม่ให้ตัวเองกรีดร้องออกมา เมื่อซูหลินเห็นท่าทีตกใจของฉันแล้ว ยื่นมือจากด้านหลังมาวางไว้บนไหล่ของฉัน ฉันหันกลับไปส่งสายตาบอกเขาเป็นนัยว่าฉันไม่เป็นอะไร ฉันหันหน้ากลับไปหาชายชราที่ยืนจ้องมาที่ฉันด้วยความโกรธ ฉันพึ่งรู้ตัวว่า ในขณะที่กำลังฉันเหม่อลอยอยู่นั้น ไม่รู้ว่าตาแก่ที่เดินนำหน้าฉันหยุดเดินตอนไหน และฉันก็ชนไปที่เขาอย่างจังโดยไม่รู้ตัว ฉันได้แต่หัวเราะแห้งๆ ในใจก็อดคิดไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าคนแก่ในโลกอมนุษย์นั้นจะเหมือนกันกับโลกมนุษย์ไม่มีผิด พออายุเยอะแล้วร่างกายก็ยิ่งเปราะบางอ่อนแอ เพียงแค่กระแทกตัวเบาๆก็เหมือนว่ากระดูกจะแตกกระจุยออกเป็นเสี่ยงๆ ฉันได้แต่ก้มหัวรอคำตำหนิเหมือนเด็กน้อย แต่หลังจากผ่านไปตั้งนานก็ยังไม่หลุดมาแม้แต่ครึ่งประโยค ฉันได้แต่เงยหน้าขึ้นมาด้วยความสงสัย แต่กลับพบว่าชายชราที่อยู่ตรงหน้าได้ทิ้งฉันเอาไว้แล้วเดินจากไปอย่างเงียบๆนานแล้ว ฉันเพิ่งสังเกตเห็นว่า ตั้งแต่มาที่ถนนหยิน นอกจากฉันกับซูหลินแล้ว ฉันก็ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าอื่นๆอีกเลย พอนึกได้ก็รีบสังเกตเท้าของตาแก่อย่างละเอียด แต่ก่อนที่ฉันจะหาชายชราจนเจอ แต่ฉันกลับพบว่าร่างของชายชราได้ไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูบานใหญ่บานหนึ่ง ฉันจ้องมองไปยังประตูบานใหญ่ตรงหน้า ดูเหมือนกับร้านค้าที่ปรากฎอยู่ในละครย้อนยุคไม่มีผิด มีผ้าขาวขนาดใหญ่กระพืออยู่เหนือประตู บนเนื้อผ้าถูกเขียนด้วยตัวอักษรจีนตัวพิมพ์ใหญ่สีดำสองตัว : โรงรับจำนำ เจ้าของร้านจำนำนี้คือใครกัน แม้แต่เครื่องหมายทางการค้ายังดูซอมซ่อได้ขนาดนี้ หรือแม้กระทั่งชื่ออย่างเป็นทางการก็ยังไม่มี เรียกง่ายๆว่าโรงรับจำนำ เมื่อลองสังเกตไปที่ประตูกับหน้าต่าง ไม่เห็นจะเหมือนสถานที่ประกอบกิจการตรงไหน! ประตูไม้เคลือบสีดำเงาและแผ่นสีที่เคลือบบนหน้าต่างนั้นปูดนูนออกมาเป็นแผ่นๆ เหมือนจะร่วงหลุดออกมาได้ทุกเมื่อ และหน้าต่างก็ดูโล่งโจ้ง แม้กระดาษติดหน้าต่างดีๆสักแผ่นก็ยังไม่มี เหลือเพียงกระดาษขาดรุ่ยไม่กี่แผ่นลอยปลิวไปตามลม เมื่อเห็นตาแก่กำลังจะผลักประตูเข้าไปด้านใน ฉันจึงรีบเข้าไปขวางเขาไว้ : “ฉันว่า ที่นี่ดูเหมือนว่าจะเลิกกิจการไปแล้ว ท่านจะเข้าไปทำไม? ฉันไม่มีสิ่งของมีค่าอะไรติดตัวมาเลย หรือว่าท่านจะเอาตัวฉันไปจำนำ? ตัวฉันคงแลกเงินได้ไม่เท่าไหร่หรอกนะ!” ซูหลินกระตุกแขนฉันที่หนึ่ง หยุดไม่ให้ฉันพูดอะไรต่อ ขณะเดียวกัน ตาแก่หันหน้ามายิ่มร่าให้ฉัน ขนฉันลุกขึ้นมาในทันทีอย่างไม่ได้ตั้งใจ----ตาแก่นี่หันหัวของเขาเป็น180องศา ร่างกายทั้งหมดไม่มีการขยับ หันมาเพียงแต่หัว ถึงแม้ว่าเขาจะยังคงส่งยิ้มมาให้เหมือนคนแก่ปกติทั่วไป แต่ฉันกลับเหงื่อท่วมตัว ฉันคิดว่าเขาจะหันหัวกลับไปเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ทำให้ฉันตัวสั่นระริกมากกว่าเดิมก็เพราะ เขากลับบิดหัว180องศากลับไปอีกทางหนึ่ง จนกระทั่งกลับเข้าที่เหมือนเดิม! เมื่อหมุนครบ360แล้ว ก็ยังไม่ลืมที่จะยืนเส้นยืดสายผ่อนคลายบริเวณรอบคอ และเปล่งเสียงบ่งบอกความรู้สึกผ่อนคลายนั้นออกมาเบาๆ ฉันสูดลมหายใจเข้า กำลังจะเอ่ยปากพูด แต่ตาแก่พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน : “ใครบอกเจ้าว่าข้าจะเข้าไปคุยธุรกิจ? ทำไม? ข้าจะกลับเข้าบ้านของข้าเองก็ยังไม่วายต้องขออนุญาตจากเจ้าก่อนอย่างนั้นหรือ?” ที่นี่คือบ้านของตาแก่หรอกเหรอ! ไม่แปลกใจเลยที่ตาแก่ผู้นี้ดูผอมแห้งได้ถึงขนาดนี้ แลดูอ่อนแอ ที่แท้ก็เป็นเพราะว่าที่อยู่อาศัยไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ดูๆไปแล้ว เหมือนจะเป็นครอบครัวที่ยากจนในระแวกถนนหยินแห่งนี้ และฉันก็อดคิดแบบนั้นในใจไม่ได้ ตาแก่ยืนอยู่หน้าประตู ไม่รู้ว่าใช้คาถาอะไร มีเสียง “ปี๊บ” ออกมาจากประตู ก่อนประตูจะถูกเปิดออกเองโดยอัตโนมัติ ด้านบนของประตูอยู่ๆก็มีหัวกะโหลกไขว้ตกลงลงมา ข้ามผ่านหน้าฉันไปในทันใด แล้วหยุดอยู่ตรงหน้าตาแก่ ฉันตกใจกลัวจนก้าวถอยหลังไปชนกับซูหลินที่ยืนอยู่ทางด้านหลัง ซุหลินใช้มือพยุงฉันเอาไว้ ฉันไม่กล้าหันกลับไปมองซูหลิน ฉันกลัวว่าจะหันไปเจอกับสายตาที่บ่งบอกว่าฉัน “ไม่เอาถ่าน” คู่นั้น ความสนใจทั้งหมดของฉันมุ่งไปที่ตาแก่ เห็นเพียงแต่เขาเอามือที่ไขว้หลังอยู่ขึ้นมาลูบไปที่เจ้ากะโหลกไขว้นั้นเหมือนสัตว์เลี้ยงแสนรัก และดูเหมือนว่าจะรับรู้ได้ถึงสัมผัสของตาแก่ แสงประกายสีแดงเปล่งออกมาจากเบ้าตาของเจ้าหัวกะโหลก ก่อนจะลอยขึ้นไป และหายวับไปต่อหน้าต่อตาฉัน ตาแก่พูดขึ้นมาอีกครั้งด้วยเสียงอันแหบแห้ง : “ไปกันเถอะ” เมื่อเดินตามตาแก่เข้ามาในบ้าน ความแปลกประหลาดของที่นี่ทำให้ฉันตกใจขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ฉันได้เรียนรู้แล้ว และไม่ได้แสดงอาการใดๆออกไป แต่ฝืนบังคับให้ตัวเองสงบลงมา เพราะเพียงแค่เข้าประตูมา ฉันก็เจอกับสิ่งกีดขวางที่มีลักษณะโปร่งใส เราสองคนเดินตามตาแก่ผ่านสิ่งกีดขวางโปร่งใสนั้นเข้ามา ลืมตามองดูตาแก่กลายร่างจากคนปกติมาอยู่ในร่างที่ห่อคลุมไปด้วยผ้าดิบสีขาว ร่างกายที่เน่าเสียดุจศพที่เดินเหินได้ เหมือนกับผีดิบที่คลานออกมาจากพื้นดินอย่างไรอย่างนั้น ผ้าดิบที่ตาแก่สวมใส่อยู่นั้นเต็มไปด้วยสิ่งสกปรก จากเดิมที่เป็นสีขาวก็ได้กลายเป็นสีเหลือง บ่งบอกถึงวันเวลาที่ผ่านมายาวนานของเขา ตอนที่ยืนอยู่หน้าประตู ฉันพยายามมองลอดเข้าไปภายในหลายครั้ง แต่แปลกมากตรงที่ ทั้งๆที่ประตูก็เปิดอยู่ แม้ด้านนอกจะมีเพียงแสงสลัว จะมากจะน้อยก็น่าจะมีแสงลอดผ่านเข้าไปได้บ้างไม่มากก็น้อย แต่ภายในกลับมีเพียงความมืดสนิท ไม่ว่าจะใช้แรงเพ่งเข้าไปด้านในมากแค่ไหน นอกจากความมืดฉันก็มองอะไรไม่เห็นเลยแม้แต่น้อย จวบจนกระทั่งเดินฝ่ากำแพงนั้นเข้าไป ทุกอย่างเบื้องหน้าก็ได้กระจ่างแจ้งขึ้นมาในทันที ทุกอย่างในนี้ดูไม่เหมือนกับภายนอกที่ดูเสื่อมโทรมอย่างที่ตาเห็น กลับกัน มันเหมือนกันกับโรงรับจำนำที่ฉันเห็นจากในทีวี ชั้นวางที่ทำจากไม้ขนาดใหญ่ที่กั้นระหว่างภายในและภายนอกไว้ ฝั่งด้านนอกมีโต๊ะสี่เหลี่ยมขนาดเล็กตั้งไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มีเก้าอี้อยู่ข้างละตัว การตกแต่งที่ดูแล้วสง่างามเป็นพิเศษ
已经是最新一章了
加载中