ตอนที่ 39 ตามหาต้นไทร   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 39 ตามหาต้นไทร
ตอนที่ 39 ตามหาต้นไทร แน่นอนว่าซูหลินไม่ใช่คนที่เรื่องมากอะไร เพียงแต่ฉันยังไม่เข้าใจว่าเขาต้องการจะทำอะไรกันแน่ แต่ว่า สุดท้ายแล้วฉันรู้ดีว่าควรยืนอยู่ตรงไหน ดังนั้นฉันจึงลุกยืนขึ้นตามซูหลิน และพูดกับตาแก่ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ : “ได้ ถ้าอย่างนั้นพวกเราขอออกไปหาก่อน หาจ้าวซิ้วเจอเมื่อไหร่จะกลับมาหาท่าน” ในขณะที่กำลังจะกลับหลังเดินออกไป ทันใดนั้นก็นึกอะไรบางอย่างออก พลันหันหน้ากลับไปพูดกับตาแก่ : “ถูกแล้ว คราวหลังหากว่าพวกเรากลับมาหาท่าน ท่านช่วยกลับไปอยู่ในสภาพเดิมของท่านเถอะ สภาพตอนนี้ของท่านทำให้ฉันรู้สึกอยากจะเข้าไปชันสูตรศพเลย” ฉันมองลอดผ่านแผ่นไม้ที่กั้นอยู่เห็นตาแก่นั่นเกิดอาการตัวสั่นขึ้นมา ผ้าเน่าๆที่อยู่บนร่างกายนั้นสั่นขึ้นสองสามที ฉํนได้แต่แอบหัวเราะและเดินตามซูหลินออกจากโรงรับจำนำไป ยืนอยู่บนถนนที่เรามาถึงในตอนแรก ฉันยืนมองไปที่โรงรับจำนำตรงหน้า สิ่งที่พบคือ ถึงแม่ว่าประตูจะถูกเปิดไว้ แต่ภายในกลับมีเพียงแต่ความมืดสนิท มองไม่เห็นอะไรเลย ดูเหมือนว่า นั่นไม่ใช่ม่านอาคมธรรมดาทั่วไป ม่านอาคมนี้เปรียบเสมือนประตูสู่อีกพื้นที่หนึ่ง หลังจากก้าวข้ามมันแล้ว ก็เป็นโรงรับจำนำที่มีกลิ่นอายของเมืองโบราณ แต่การที่ฉันมองจากตรงนี้ สิ่งที่อยู่ตรงหน้ามันก็เป็นเพียงบ้านเก่าๆที่ทรุดโทรมแล้วเท่านั้นเอง “ซูหลิน นายคงไม่คิดจะกลับมาใช้หนี้จริงๆหรอกใช้ไหม?” ซูหลินส่งยิ้มมีเลศนัยนั้นมาทางฉัน แต่ก็ไม่สามารถเก็บซ่อนใบหน้าอันซีดเผือดของเขาไว้ได้ ดูเหมือนว่าเขาจะพยายามที่จะอดทนไม่ให้ไปออกมา แต่ในท้ายที่สุดก็มีเสียงโอดโอยหลุดออกมา ซูหลินไม่ได้สนใจฉันอีก แต่เดินกลับไปตามทางถนนเส้นเดิมที่พบกับผีสาวตนนั้น ฉันมองตามหลังของซูหลินอย่างรู้สึกกังวล ฉันรับรู้ได้ว่าที่เขาไม่สนใจฉันก็เพื่อต้องการปกปิดอาการบาดเจ็บของตัวเองก็เท่านั้น และในเวลานั้นเอง ฉันตัดสินใจแล้วว่าหลังจากรอให้หาจ้าวซิ้วจนเจอแล้วฉันจะย้อนกลับมาหาตาแก่นั่นอีกครั้ง เพราะไม่แน่ว่าในร้านจำนำนั้นอาจจะมีสิ่งของที่สามารถช่วยรักษาซูหลินให้หายดีก็เป็นได้ ฉันยืนอยู่ตรงกลางถนน ถนนทั้งสายไม่มีคนเดินอยู่เลยแม้แต่คนเดียว ฉันอดที่จะแอบคาดเดาไม่ได้ว่าในเวลานี้ทุกคนคงกลับไปทานข้าวที่บ้านกันหมดแล้ว! แต่ว่า ผีก็ต้องทานข้าวด้วยเหรอ? เรื่องนี้ฉันไม่สามารถแน่ใจได้เลยจริงๆ ฉันเงยหน้ามองไปข้างหน้าอันแสนไกล ซูหลินยังคงไม่เอ่ยปากพูดอะไร และก็ไม่ขยับไปไหน ได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้น เหมือนกับรูปปั้นไม่มีผิด ไม่นานหลังจากนั้น เมื่อฉันหันกลับไป ทันในนั้นฉันก็เห็นยอดไทรขนาดใหญ่สีเขียวเข้มในระยะไกล ฉันอดไม่ได้ที่จะกระโดดขึ้นมาอย่างตื่นเต้นดีใจ แล้วตบแรงๆไปที่ไหล่ของซูหลิน “ซูหลินนายดูนั่นสิ ต้นไทรต้นนั้น มันอยู่ในตำแหน่งนั้น!” แต่ซูหลินกลับดูเหมือนจะถูกกระแทกอย่างแรง ร่างทั้งร่างเซมาทางฉัน ก่อนจะกลับไปยืนตัวตรงอีกครั้ง ฉันมองเขาด้วยความกังวล และยังคงไม่ได้พูดอะไร จากการที่เราได้รู้จักกันเป็นเวลานาน ฉันดูเขาออกได้ในทันที เพราะต่อให้เขาบาดเจ็บหนักไปมากกว่านี้เขาก็ยังคงทำเป็นแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น และต่อให้ฉันถามเขาขึ้นมา เขาก็คงจะตอบกลับมาแค่ว่า “ไม่เป็นไร” เท่านั้น ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่จำเป็นต้องถามอะไรแล้ว เพราะไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามฉันก็เป็นหมอกึ่งมืออาชีพ เพียงแค่มองไปที่สีหน้าของเขาก็รู้ว่าเขาทุกข์ทรมานขนาดไหน “ได้ เราไปที่นั่นกันเถอะ” ซูหลินเดินนำไปข้างหน้า ฉันรีบก้าวตามไป มุ่งหน้าเดินไปทางที่ต้นไทรนั้น ฉันไม่รู้ว่าเดินมุ่งหน้ามานานแค่ไหนแล้ว ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงเรื่อยๆ สถานที่ที่ไม่มีโคมไฟเหมือนในสังคมปัจจุบัน เราเดินหน้าต่อไปโดยอาศเราเดินหน้าต่อไปโดยอาศัยเพียงตาเปล่าในการปรับให้เข้ากับความมืดเท่านั้น แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทั้งๆที่เริ่มแรกไม่สามารถมองเห็นจุดสิ้นสุดของถนนสายนี้ แต่ในเวลานี้กลับมีกำแพงโผล่ขึ้นมา ปิดกั้นถนนด้านหน้าเอาไว้จนมิด ซูหลินเดินไปข้างหน้า ยื่นมือออกไปสัมผัสกำแพงตรงหอย่างระมัดระวัง ทำแบบนั้นอยู่พักใหญ่ แต่สุดท้ายกลับไม่มีการตอบสนองใดๆ “นี่ดูเหมือนจะเป็นเพียงกำแพงธรรมดๆจริงๆ อาจจะเป็นเพราะว่าตอนที่เราเดินมาด้านหน้ามีแต่หมอกหนาบดบังอยู่ เราเดินมาไกลขนาดนี้ อาจจะเดินมาจนสุดทางแล้วก็ได้” ฉันรอซูหลินอยู่ทางด้านหลังเป็นเวลานานมาก ในที่สุดก็ได้รับข้อสรุปจากซูหลินสักที ในเวลาเดียวกันนั้น ฉันเงยหน้ามองไปที่มุมของกำแพง ที่น่าแปลกใจก็คือ ในถนนที่สวยงามในแบบโบราณแห่งนี้ ความน่ากลัวของบรรกาศรอบด้านที่ฉันรู้สึกคุ้นชินกับมันแล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าตรงมุมกำแพงนั้นจะมีกระถางดอกไม้วางอยู่ ฉันมองจากระยะไกล ไม่สามารถมองออกได้ว่ามันคือดอกอะไร มองเห็นเพียงรางๆว่ามีดอกไม้สีขาวสองดอกใหญ่ในกระถาง “ซูหลิน ฉันจำได้ว่าเมื่อครู่ที่เราเดินมาข้างๆนั้นมีหัวมุมอยู่ เราลองย้อนกลับไปดูดีกว่า ตรงนั้นอาจจะอ้อมกลับไปเจอต้นไทรต้นนั้นก็ได้” ซูหลินตอบกลับมาเบาๆว่า “อืม” ฉันรู้สึกหนาวขึ้นมาเล็กน้อย ดังนั้นฉันจึงเอามือทั้งสองข้างยัดใส่ในกระเป๋าเสื้อ ในขณะนั้นเอง ฉันได้ล้วงเข้าไปเจอวัตถุเย็นๆบางอย่างอยู่ในกระเป๋า ฉันล้วงมันออกมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น วางไว้บริเวณที่ใกล้สายตาที่สุด จ้องมองมันด้วยแสงสลัว “ซูหลิน!” ดูเหมือนว่าซูหลินจะตกใจ บ่นว่าฉันขึ้นมาทันที : “เธอตั้งใจจะทำให้ฉันตกใจตายอยู่ที่นี่ใช่ไหม!” ฉันไม่ได้ใส่ใจกับการบ่นด่าของซูหลิน เพราะฉันจำได้ว่า เพราะสิ่งเล็กๆที่อยู่ในมือของฉันคือขวดยาที่เป็นขวดเซรามิกขนาดเล็ก ถ้าฉันจำไม่ผิด นี่เป็นครั้งแรกที่ซูหลินกลับไปที่บ้านของปู่เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บ แล้วปู่ของซูหลินก็ป้อนยาชนิดนี้ให้ซูหลินกินนั่นเอง! ที่แท้ ไม่ทราบเหมือนกันว่าชายชราตระกูลซูใส่ขวดยาเข้ามาในกระเป๋าเสื้อของฉันเมื่อไหร่ อาจจะเพราะว่าเขารู้ถึงอาการบาดเจ็บสาหัสของซูหลินดี ตามนิสัยบุคลิกของซูหลินแล้ว ต่อให้บาดเจ็บแค่ไหนก็จะไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการสืบสวนของเขาอย่างแน่นอน ฉันเปิดขวดยาออก ยื่นยาที่อยู่ในมือให้ซูหลิน ซูหลินก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว พูดหยอกเล่นกับฉัน : “เธอสนิทกับตาแก่ที่บ้านฉันถึงขั้นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ตาแก่บ้านฉันไม่เคยมอบยาให้ใครง่ายๆหรอกนะ” พูดจบ ซูหลินก็ไม่รู้สึกลังเล เทยาที่อยู่ในมือเข้าปากไป จากนั้นซูหลินนั่งชันเข่าอยู่ข้างกำแพง เหมือนกำลังพักผ่อน ฉันไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงนั่งรอข้างเขาอย่างเงียบๆ ซูหลินนี่มันจริงๆเลย ทั้งๆที่เขาก็รู้ว่าตาแก่ตระกูลซูกลัวว่าจะเกิดเหตุสุตวิสัยกับเขา ถึงได้ตัดสินใจทำแบบนี้ แต่ก็ยังจะโยนเรื่องนี้มาที่ฉันจนได้ ฉันส่ายหัวอย่างรู้สึกระอา คนบ้านนี้ต่างคนต่างแข็งกันดื้อ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ จนฉันเกือบจะหลับไปแล้ว ซูหลินถึงเริ่มเปล่งเสียงออกมา : “เฉินน่อ เราไปกันเถอะ” พูดไปพร้อมกับยื่นขึ้น เมื่อได้ยินเสียงของซูหลินที่เห็นได้ชัดว่ากะปรี้กะเปร่าขึ้นมาไม่น้อย ฉันรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง แต่ว่า ความกะปรี้กะเปร่าของฉันกลับลดลงมาอย่างมาก อาจจะเพราะว่าวันนี้ฉันต้องวิ่งวุ่นทั้งวันจนร่างกายเริ่มรับไม่ไหว ชั่วพริบตาที่ยืนขึ้นมาฉันรู้สึกถึงอาการวิงเวียน ยังดีที่ซูหลินสังเกตเห็นได้ในทันที ก้าวเท้าเข้ามาพยุงฉันไว้ได้ทัน ฉันโบกมือให้ซูหลิน ส่งสัญญาณว่าฉันไม่เป็นอะไร เราเริ่มหันกลับเดินไปในทางที่เดินมา แต่ทว่า เหมือนว่าเราเดินมานานมากแล้ว แต่ฉันกลับยังไม่เห็นหัวมุมที่อยู่ในความทรงจำนั้นเลย ฉันอดที่จะสงสัยไม่ได้ ฉันจำได้อย่างชัดเจนว่าเราเดินผ่านหัวมุมนั้นมาเพียงไม่นานก่อนจะเดินไปถึงทางตัน แต่เห็นได้ชัดเจนว่าระยะเวลาที่เราหันเดินกลับมามันมากเกินกว่าระยะเวลาที่เดินมา ตามหลักแล้ว ตอนที่พวกเรามานั้นเหนื่อยล้าไร้ซึ่งเรี่ยวแรง และเมื่อเดินย้อนกลับมาก็ได้พักผ่อนมาแล้ว ใช้เวลาลดลงกว่าเดิมถึงจะถูก แต่ทำไมตอนนี้มันกลับกลายเป็นว่าใช้เวลานานกว่าเดิมล่ะ? ฉันบอกความสงสัยของฉันให้ซูหลินรับรู้ คิดไม่ถึงว่าซูหลินจะกะปรี้กะเปร่าขึ้นมาในทันที แถมยังเริ่มพูดจาถากถางฉันขึ้นมา : “คิดไม่ถึงเลยนะ ว่าผู้หญิงอย่างเธอจะมีตรรกะความคิดที่ฉลาดได้เหมือนกัน ปกติดูไม่ออกเลย!” แต่ว่า ฉันพบว่า ซูหลินได้ค้นพบปัญหานี้ตั้งแต่แรกแล้ว ในขณะที่เราไม่รู้ว่าจะไปทางไหนดี ฉันมองเห็นความมืดที่อยู่ข้างหน้าอย่างคลุมเครือ เมื่อเทียบกับบริเวณอื่นๆ ตรงนี้มีความมืดมากกว่าอย่างชัดเจน ฉันรู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย แต่ความอยากรู้ของฉันมันไม่สามารถระงับเอาไว้ได้ ทำได้เพียงแค่ลากซูหลินให้เดินหน้าต่อไป หลังจากที่มาถึงความมืดนั้นแล้ว ฉันพึ่งค้นพบว่า หัวมุมที่ฉันเห็นในตอนแรกมันอยู่ตรงนี้นี่เอง! ฉันขจัดความสงสัยทั้งหมดของฉันออกไป ดูเหมือนว่า เป็นเพียงเพราะพวกเราแค่เหนื่อยเกินไป จนจำผิดก็เท่านั้นเอง! ก็นี่ไง หัวมุมกำลังรอเราอยู่ที่นี่อย่างเงียบๆอยู่นี่ไง! ฉันไม่ได้คิดอะไรต่อ ฉันดึงซูหลินเข้าไปด้านใน แต่ซูหลินดูเหมือนจะไม่พอใจกับการใช้วิธีลากเขาเดินแบบนี้ เขาก้าวขายาวๆของเขาออกไป เดินเลยตัวฉันไปอย่างง่ายดาย กลายเป็นว่าฉันดึงชายเสื้อของเขาแทน และเดินตามหลังเขาไป ฉันพยายามมองไปข้างหน้า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบริเวณรอบด้านนั้นมืดเกินไปหรือเพราะหมอกลงหนาเกินไป ฉันพบว่าถนนสายนี้ดูเหมือนกับถนนสายที่เราเพิ่งเดินมา สองข้างทางเต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนที่คล้ายกัน แต่ด้านหน้ากลับไม่มีจุดสิ้นสุด ฉันพยายามยืดคอและเงยหน้ามองไปข้างบน ก็ยังคงเห็นเงาของต้นไทรต้นใหญ่นั้นในระยะไกลๆ มันเปล่งประกายแสงสีเขียวอ่อนท่ามกลางความมืดสลัว เหมือนแสงสว่างที่นำทางเราให้ไปในทิศทางนั้น แล้วก็ไม่รู้ว่าเดินมานานแค่ไหนแล้ว ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ฉันได้สูญเสียแนวคิดเรื่องเวลาไปตั้งนานแล้ว ฉันทำได้เพียงขอความช่วยเหลือจากซูหลิน : “ซูหลิน เราเดินกันมานานแค่ไหนแล้ว?” ซูหลินสูดลมหายใจแรงๆก่อนจะหันมาตอบฉันทั้งที่ไม่ได้หันกลับมา : “ไม่รู้สิ นาฬิกาของฉันมันหยุดเดินตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่ถนนนี้แล้ว แม้แต่โทรศัพท์ก็ไม่มีการตอบสนองแล้ว” ฉันพึ่งนึกออก ว่าฉันยังมีโทรศัพท์อยู่! ฉันควักหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าอย่างรีบร้อน กดปุ่มปลดล็อคหน้าจออย่างใจจดใจจ่อ แต่ฉํนกลับพบว่า โทรศัพท์ของฉันได้ปิดเครื่องโดยอัตโนมัติตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ เมื่อไม่รู้วันเวลา เราสองคนเหมือนศพเดินได้ที่ได้แต่เดินไปข้างหน้าเหมือนเคื่องจักร จนกระทั่งเราได้มาพบกับกำแพงอีกครั้ง ครั้งนี้ ฉันเดินนำหน้าไปเอง มือข้างหนึ่งแตะไปที่กำแพง และแน่นอนว่ามันไม่ใช่ภาพลวงตา “ทำไมถึงมีกำแพงโผล่มาอีก โครงสร้างของถนนหยินนี่มันช่างแปลกดีจริงๆ ทำไมถึงมีทางตันเต็มไปหมด!” คราวนี้เราได้เรียนรู้บทเรียนครั้งที่ผ่านมา ไม่ได้ถ่วงเวลาแต่อย่างใด แต่กลับรีบถอยกลับไปทันที เป็นอย่างที่คิด เราหาหัวมุมเจออีกอันหนึ่ง “แต่ว่า ถ้าเราเดินตามมุมนี้ไป แล้วเราจะไปถึงไหนกันได้ล่ะ!” ฉันพึ่งบ่นเสร็จ ซูหลินก็อาศัยตอนที่ฉันไม่ทันระวังตบมาที่ท้ายทอยของฉันหนึ่งที : “ถ้าเมื่อกี๊เราเพิ่งจะเดินไปทางทิศเหนือ เลี้ยวเข้าหัวมุมแล้วก็จะหันเข้าทิศตะวันออก เพราะฉนั้น เราก็เดินตามทิศเดิมนั้นก็ถูกแล้ว!” ฉันทำท่าทีเหมือนกระจ่างรู้แจ้งขึ้นมาในทันที เลี้ยวเข้ามุมตามซูหลินไป แต่ที่จริงแล้วภายในใจก็แอบแขวะซูหลิน ฉันแค่นึกไม่ได้ในช่วงเวลาหนึ่งก็เท่านั้นเอง! ฉันโอดครวญและเดินหน้าตามซูหลินไป อีกด้านนึงก็แอบด่าเขาอยู่ในใจ กล้าลงมือหนักขนาดนี้เชียวเหรอ ตบมาจนฉันรู้สึกปวดบริเวณท้ายทอยอย่างรุนแรง แต่ขอภาวนาอย่าให้มีทางตันกันหัวมุมโผล่มาอีกเลย เพราะฉันแค่อยากหาต้นไทรต้นนั้นให้เจอก็เท่านั้น! แต่ว่า สวรรค์ไม่ประทานพรให้กับมนุษย์ ทางตันปรากฎขึ่นมาต่อหน้าฉันอีกครั้ง ฉันได้แต่ถอนหายใจยาวๆ ภายในใจเริ่มรู้สึกหมดหวัง ฉันมองไปทางที่ฉันคิดเอาเองว่าเป็นทิศตะวันออก หวังว่าในโลกใบนี้ยังมีดวงอาทิตย์ออกมา แต่ในทันใดนั้นฉันกลับพบว่า ซูหลินกำลังเงยหน้าขึ้นมอง ไม่รู้ว่ามองอะไรอยู่
已经是最新一章了
加载中