ตอนที่ 40 ระเบิดกำแพง   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 40 ระเบิดกำแพง
ตอนที่ 40 ระเบิดกำแพง ฉันรู้สึกแปลกใจ เงยหน้าขึ้นมอง ทุกอย่างในที่นี้ดูเหมือนสิ่งที่เราเห็นระหว่างทางอย่างไรอย่างนั้น ไม่เห็นมีอะไรน่าดูเลย! “ซูหลิน นายมองอะไรอยู่ทำไมถึงอินขนาดนั้น!” เกือบจะในทันทีที่ฉันถามประโยคนี้จบ ดวงตาของฉันก็เหลือบไปเห็นสิ่งที่ซูหลินตั้งใจจ้องมองอยู่ ใช่สิ ถ้าถนนเส้นนี้แตกต่างจากที่อื่นแม้เพียงน้อยนิด ฉันคงไม่รู้สึกแปลกใจอะไรเลย แต่ที่นี่กลับเหมือนกันกับที่ๆเราเดินผ่านมาไม่มีผิดเพี้ยน แบบนี้มันน่าแปลกเกินไป! อย่างเช่น กระถางดอกไม้ตรงมุมกำแพงที่ซูหลินกำลังยืนดูอยู่นั้น ดอกไม้สีขาวสองดอกใหญ่ที่อยู่ด้านในผลิบานในยามค่ำคืนอันแสนเปล่าเปลี่ยว ฉันเพ่งมองมันอย่างละเอียด ไม่อยากเลยที่จะพบว่า ดอกไม้สองดอกนี้ที่ไม่ว่าจะดูจากรูปร่างหรือสี หรือแม้กระทั่งทิศที่ดอกไม้นั้นบานไป ล้วนเหมือนกันกับที่เราเห็นมันครั้งแรกไม่มีผิดเพี้ยน! ฉันอดไม่ได้ที่จะกำเสื้อของซูหลินไว้แน่น ซูหลินรับรู้ได้ว่าฉันเองก็เริ่มที่จะสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างแล้ว หันหน้ามาพูดกับฉันด้วยความจริงจังสามคำ : “ผีบังตา” ฉันเคยได้ยินเกี่ยวกับสิ่งนี้มาก่อนเหมือนก่อน ไม่มีอะไรมากไปกว่าถนนที่ไม่ว่าคุณจะเดินไปทางไหนก็ไม่มีจุดจบ และยังเดินวนเวียนที่ที่เดิมซ้ำๆไม่มีที่สิ้นสุด แต่สถานการณ์ที่เราพบเจอนั้นแตกต่างจากผีบังตาอย่างเห็นได้ชัด เพราะพวกเราไม่ได้เดินไปบนทางที่ไม่มีที่สิ้นสุด เรามีเพียงแค่ทางตันที่ไม่มีที่สิ้นสุด...... “ผีบังตาที่นายพูดถึงเป็นแบบประเภทที่ผู้คนส่วนใหญ่มักจะพบเจอ แต่กับประเภทที่มีแต่ทางตันที่ไม่มีที่สิ้นสุดวนลูปไม่มีที่สิ้นสุดแบบนี้ มันเป็นผีบังตาอีกประเภทหนึ่ง เราเพียงแค่ต้องหาสิ่งที่กำลังควบคุมกำแพงเหล่านี้ให้เจอ เราถึงจะสามารถออกไปจากตรงนี้ได้” หลังจากฟังคำพูดของซูหลิน ฉันก็ได้รู้ว่า ที่จริงแล้วเรื่องผีบังตานั้นมีผีคอยควบคุมอยู่จริงๆ......เมื่อคิดว่าอาจจะมีผีอยู่รอบตัว ฉันก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย ซูหลินดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงอาการสั่นเทาของฉัน อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ : “วิญญาณชั่วร้ายขั้นสุดแบบจ้าวซิ้วเธอก็เจอมาแล้ว ตอนนี้เธอยังจะกลัวอะไรอีก!” พูดตามความจริง ฉันไม่รู้ว่าฉันกำลังกลัวอะไรอยู่ ตอนนี้ฉันไม่รู้สึกเกรงกลัวจ้าวซิ้วอีกแล้ว แม้แต่ผีสาวและตาแก่ที่เจอเมื่อตอนกลางวันฉันยังไม่กลัวเลย แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ฉันรู้สึกกลัวทุกอย่างที่นี่มากมายเสียจนไม่มีอะไรมาเทียบได้ ฉันรู้สึกตลอดเวลาว่าผีอาจจะโผล่มาเมื่อไหร่ โผล่ออกมาตรงไหนก็ได้ อาจจะออกมาทำร้ายฉันโดยไม่คาดคิดก็เป็นได้ ฉันเริ่มมาเข้าใจได้ในภายหลัง สิ่งที่ฉันกำลังกลัวอยู่ในตอนนี้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับภูตผีแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะว่าความไม่แน่นอน----รู้สึกกลัวต่อสิ่งที่คาดเดาไม่ได้และสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน “สิ่งที่ควบคุมสถานการณ์ตอนนี้อยู่อาจจะไม่ใช่ภูตผี แต่มันเป็นวัตถุบางอย่าง มันได้รับพลังงานบางอย่าง ดังนั้นจึงสามารถควบคุมตัวกำแพงนั้นได้ เพื่อมีไว้คอยขัดขวางผู้บุกรุกจากต่างถิ่น” พูดถึงตรงนี้ ฉันเริ่มเข้าใจว่า ที่แท้ก็เกี่ยวข้องกับสิ่งของต่างๆของที่นี่ และสิ่งของชิ้นแรกที่ฉันคิดออก คือกระถางดอกไม้ที่ตั้งอยู่บนมุมกำแพง กระถางที่ไปปรากฎอยู่ทุกหนทุกแห่งที่เราเดินไป และมีดอกไม้ทุกดอกเหมือนกันหมด หลังจากที่ฉันอธิบายให้ซูหลินฟังแล้ว ซูหลินแสดงท่าทีเข้าใจขึ้นมาในทันที เขาไม่ได้พูดพร่ำทำเพลง หยิบแผ่นยันต์ออกมาจากอก ยื่นนิ้วแล้วชี้ไปที่ดอกไม้ตรงมุมกำแพง ผ้ายันต์ลอบไปหาดอกไม้บนมุมกำแพงเหมือนเข้าใจในความต้องการของซูหลิน ผ้ายันต์นั้นแปะอยู่บนกระถางดอกไม้ แผดเผาจากด้านล่างขึ้นไปด้านบน จากนั้นกระถางดอกไม้ก็แตกระเบิดออกมา เหมือนได้รับการกระแทกอย่างรุนแรง ดอกไม้และกระถางดอกไม้แตกกระจ่ายแล้วร่วงหล่นโปรยปรายลงมา ฉันรีบเดินเข้าไปใกล้ๆ หลังจากสังเกตอย่างระมัดระวัง ฉันพึ่งค้นพบตอนนี้ว่า ดอกไม้สองดอกที่อยู่ในกระถางดอกไม้นั้นมีเพียงแค่กิ่งและดอกสีขาวทั้น ไม่มีใบไม้ ทันใดนั้นก็มีชื่อหนึ่งปรากฎขึ้นมาภายในใจของฉัน ---- ดอกปี่อั้น ( ดอกพลับพลึง ) ดอกปี่อั้น และก็คือดอกมังจูซาเกะที่ผู้คนต่างใช้เรียกกันบ่อยๆ มีสีขาวและสีแดงสองชนิด และดอกปี่อั้นชนิดสีแดงจะเปล่งบานอยู่ระหว่างทางไปสู่สะพานไน่เหอ ตลอดระยะเวลาออกดอกแต่ใบไม้ไม่อยากจะเห็น ในขณะที่ใบไม้เติบโตดอกไม้ยังไม่เปล่งบาน แต่เมื่อรอจนดอกไม้เปล่งบาน ใบไม้ก็กลับร่วงโรยไปนานแล้ว แต่ชนิดอยู่อยู่ตรงหน้าฉัน เป็นดอกปี่อั้นชนิดสีขาว เพียงแค่ดูตัวตนแปลกๆของดอกไม้นี้ ฉันก็สามารถมั่นใจได้ว่า ทุกอย่างในที่แห่งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นกลอุบายของเจ้ากระถางดอกไม้นี้แน่นอน! จากนั้นฉันก็ยกเท้าของฉันขึ้นมาบดขยี้ดอกไม้สีขาวที่ตกอยู่บนพื้นอย่าง แต่ทว่า ดอกไม้ถูกบดขยี้จนเละเทะไปขนาดนี้แล้ว แต่กำแพงตรงหน้ากลับไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ ฉันพึ่งเข้าใจคำพูดของตาแก่นั่นได้บอกไว้ ไม่สงสัยเลยว่าทำไมตาแก่ถึงไม่ยอมตอบคำถามข้อต่อไปอีก หลังจากที่ฉันได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ฉันถึงเริ่มเข้าใจ คำตอบเหล่านี้แพงมากจริงๆ “ทำไมถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย......” ฉันเงยหน้าขึ้นมา มองไปที่ซูหลินอย่างเป็นกังวล เขารู้สึกละอายกับสิ่งที่ตัวเองคาดเดาผิดพลาด อย่างไรก็ตาม ซูหลินดูเหมือนจะไม่สนใจอะไรมากกับเรื่องพวกนี้ แต่กลับเดินไปสำรวจรอบกำแพง ฉันเองก็รีบเดินไปทิศทางตรงกันข้ามกับซูหลิน เรียนแบบท่าทางการยืนตรวจดูกำแพงตรงหน้าเหมือนเขา “ที่นี่ไม่มีสิ่งของอะไรอีกแล้ว หากไม่ใช่กระถางดอกไม้ชิ้นนี้ ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าต้องมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ภายในกำแพงนี้ หรือว่า มีบางสิ่งบางอย่างที่มีขนาดเล็กมากๆ ที่จนถึงตอนนี้เราก็ยังหามันไม่เจอ” ซูหลินอธิบายมาเพียงเล็กน้อย และฉันก็รู้สึกว่ามันดูมีเหตุผล ดังนั้นจึงเริ่มทำการค้นหากันอย่างยากมากยิ่งขึ้น ไม่รู้ว่าฉันค้นหามานานเท่าไหร่แล้ว ที่ที่ฉันสามารถค้นหาได้ฉันก็ค้นหาจนหมดแล้วรอบหนึ่ง แต่ก็หาอะไรไม่เจอเลยสักอย่าง สำหรับฉันแล้วกำแพงนี้ดูสูงใหญ่เกิดไป ดูแล้วน่าจะมีความสุขประมาณ2.5เมตรขึ้นไป สิ่งของที่อยู่บนนั้นแน่นอนว่าฉันไม่สามารถหาอะไรเจอได้เลย ฉันเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ฉันมองขึ้นไปข้างบนอย่างเหม่อลอย : “ซูหลิน นายคิดไหมว่า บนกำแพงสูงนั่นอาจจะยังมีสิ่งบางอย่างซ่อนอยู่ พวกเราไม่สามารถมองเห็นได้จากมุมนี้?” ซูหลินเผยให้เห็นแววตาเป็นนัยว่ามันเป็นไปไม่ได้ เมื่อเห็นว่าฉันไม่เข้าใจ ถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมา : “ผ้ายันต์ที่ฉันโยนขึ้นไปเมื่อกี๊ สามารถทำลายทุกสิ่งอย่างให้แตกสลาย แต่มันกลับมีเพียงกระถางดอกไม้ที่ตกลงมา แบบนั้นก็แสดงว่าบนกำแพงนั้นมีเพียงแค่กระถางดอกไม้ ไม่มีสิ่งของอื่นๆอีแล้ว” แต่ว่า......ฉันก็ยังคงรู้สึกลังเลอยู่ “แล้วสมมติว่ามันเป็นเพียงแค่แมลงตัวหนึ่ง หรือเป็นสิ่งของที่มีขนาดเล็กเท่าเมล็ดงา ต่อให้มันจะถูกทำลายทิ้ง ก็ตกลงมาไม่ได้อยู๋ดีนี่นา!” ซูหลินทำได้เพียงส่ายหน้า เหมือนว่าจะรู้สึกเอือมระอากับความดื้อรั้นของฉัน แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาเองก็รู้สึกว่าสิ่งที่ฉันพูดก็พอมีเหตุผลอยู่บ้าง ทันใดนั้นเขาหยิบผ้ายันต์ออกมาสวดคาถา เห็นเพียงแต่ประกายแสงสีเหลืองอ่อนๆจากผ้ายันต์ผืนนั้น กวาดไปมาบนกำแพงอยู่หลายรอบ จากนั้นก็ลอยกลับเข้ามาในกระเป๋าเสื้อของซูหลิน ซูหลินถึงเริ่มมั่นใจขึ้นมา ว่าบนกำแพงนั้นไม่มีสิ่งของอะไรอยู่แล้วแน่นอน นั่นบ่งบอกว่าความเป็นไปได้ทั้งหมดที่ฉันคิดเอาไว้นั้นล้วนถูกปฎิเสธโดย ฉันกลับไปทำสมาธิอีกครั้ง ฉันอดไม่ได้ที่จะเดินสำรวจดูรอบๆ แล้วฉันก็สังเกตเห็นว่า รอบด้านดูสว่างขึ้นกว่าเมื่อครู่ หรือว่า ท้องฟ้าในโลกแห่งนี้กำลังจะสว่างขึ้น? คิดได้อย่างนั้นแล้ว ฉันก็อดคิดถึงปัญหาที่หนักหนาสาหัสยิ่งกว่า ---- เมื่อถึงเวลาที่โลกรับแสงอรุณแล้ว เหล่าภูตผีปีศาจพวกนั้นก็คงจะปรากฎตัวขึ้นบนถนนหยินอีกครั้ง ถึงเวลานั้น พวกเราเองก็ไม่สามารถใช้ผ้ายันต์โดยพลการได้ หากทำนอกเหนือกฎระเบียบ ก็คงต้องรับผิดชอบโดยการถูกพวกผีนับพันนั้นกลืนกินอย่างแน่นอน...... นั่นก็แสดงว่า พวกเราเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว ทางออกเพียงทางเดียวของพวกเราก็คือ หาวิธีจัดการกับผีบังตาให้ได้ก่อนฟ้าสว่าง หรือไม่ก็ก่อนที่พวกภูตผีนับร้อยจะออกปฎิบัติการ ฉันคิดวิธีไม่ออกเลยสักวิธีเดียว ทำได้เพียงมองไปที่ซูหลิน แต่บัดนี้ซูหลินได้นั่งชันเข่าลงบนพื้น ด้วยท่าทีเหมือนหมดอาลัยตายอยาก “จะทำยังไงกันล่ะ หรือหนีไม่พ้นต้องทำลายกำแพงทิ้งอย่างนั้นเหรอ?!” ฉันทำได้เพียงใช้สองมือกุมหัว พูดไปอย่างช่วยไม่ได้ แต่ที่ฉันคาดไม่ถึงก็คือ สิ้นเสียงฉันลงไม่นาน ซูหลินกลับเงยหน้าขึ้นมาอย่างประหลาดใจ “ใช่แล้ว ทำไมฉันถึงคิดไม่ได้นะ พวกเราต้องทลายกำแพง!” ความคิดของซูหลินทำเอาฉันตกใจสะดุ้ง แล้วพวกเราจะต้องเริ่มจากตรงไหนกันล่ะ! ฉันลุกขึ้นมายืนมองซูหลินที่เดินไปจนถึงหน้ากำแพงแล้ว ไม่รู้ว่าเขาต้องการจะทำอะไรกันแน่ ในเวลานั้น ซูหลินแกว่งแขนขึ้นมาในทันใด และก้าวถอยมาอย่างรวมเร็ว เว้นระยะห้างจากกำแพงที่ขวางทางเดินของเราตรงหน้าประมาณ 2 เมตร จากนั้นก็หยิบผ้ายันต์ขึ้นมาแปะเป็นรูปดาวหกแฉกที่ตรงกำแพงนั้น “เฉินน่อ ถอยไป” ฉันเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว ซูหลินเองไม่ใช่แค่คนธรรมดา แล้วจะมาใช้วิธีแบบคนธรรมดาได้อย่างไรกัน! ฉันรีบก้าวถอยหลังไปหลายก้าว ออกห่างจากซูหลินมาประมาณ 4 – 5 เมตร จนกระทั่งฉันรู้สึกว่าตัวเองปลอดภัยแล้ว ถึงได้หยุดนิ่งไม่ก้าวขาต่อ ด้วยความที่ระยะค่อนข้างห่าง ฉันยิ่งฟังเสียงสวดคาถาพรึมพรำของซูหลินไม่ออก แต่กลับยังมองเห็นได้อย่างชัดเจน แถบสีทองคอยๆปรากฎขึ้นภายใต้ผ้ายันต์ที่แปะอยู่บนกำแพง สุดท้ายก็กลายเป็นภาพดาวหกแฉกปรากฎขึ้นมา และผ้ายันต์ทั้งหกแผ่นนั้นอยู่ในตำแหน่งที่ตรงกับมุมของดาวกหกแฉกอย่างพอดิบพอดี รอจนแสงประกายสีทองนั้นสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ มีเสียงดังปังมาจากกำแพงสูงใหญ่ตรงหน้า สุดท้ายก็ถูกระเบิดและแตกเป็นชิ้นๆ แต่ชิ้นส่วนที่แตกหักกลิ้งลงมานั้นไม่เหมือนก้อนอิฐที่เราเคยเห็น แต่กลับลอยปลิวไปในอากาศเหมือนแผ่นกระดาษที่เบาหวิว หลังจากนั้นก็เกิดปรากฎเป็นเปลวไฟ ในที่สุดก็กลายเป็นผุยผง ก่อนจะสลายหายวับไป ฉันคิดว่าเรื่องผีบังตานี้ใกล้จะถึงจุดจบแล้ว แต่ว่าภายใต้กำแพงที่สลายหายไปแล้วนั้นกลับปรากฎตุ๊กตาขนาดประมาณสิบเซนติเมตรขึ้น ฉันพุ่งไปข้างหน้าด้วยความสงสัย หยิบตุ๊กตาขึ้นมาถือไว้ในมือ ซูหลินที่อยู่ด้านหลังกลัตะโกนเสียงดังใส่ฉัน : “เฉินน่อ อย่าแตะต้องมัน!” แต่ว่า เห็นได้ชัดว่าซูหลินได้พูดจบแล้ว ตุ๊กตาตัวนั้นก็เริ่มขยับได้เหมือนมีชีวิตขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น ยื่นแข้นทั้งสองข้างออกมาโอบอุ้มนิ้มมือของฉันเอาไว้ ฉันสังเกตเห็นว่าเจ้าตุ๊กตาตัวนี้มีขนาดเพียงแค่ประมาณสิบเซนติเมตร นอกจากการกอดรัดนิ้วมือของฉันเอาไว้แล้ว ก็ไม่มีท่าทางอื่นๆอีกเลย และในความรู้สึกของฉัน ฉันคิดว่าเจ้าสิ่งของชิ้นนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางทำร้ายฉันได้ ฉันกำลังมองดูเจ้าของสิ่งนี้ ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังเขามาในหัวของฉัน : “เจ้าคือภรรยาขององค์ชายเทียนปูหยู่หรือเปล่า?” นั่นคือเสียงของเด็ก ฉันมองไปที่ของที่อยู่บนฝ่ามือ มันกลับเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้ฉัน ฉันรับรู้ได้ว่า เจ้าของสิ่งนี้กำลังพูดคุยกับฉันอยู่ ฉันไม่ได้พูดอะไร ได้เพียงแต่พยักหน้าให้มันเบาๆ ขณะนั้น ซูหลินเดินก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว หยิบเอาผ้ายันต์ออกมาตั้งใจจะแปะไปที่เจ้าตุ๊กตาตัวนั้น ฉันรีบซ่อนมือไปข้างหลังอย่างคนหูตาไว พยายามโน้มน้าวให้ซูหลินยอมปล่อยชีวิตเขาไป : “ซูหลิน เขาน่าจะไม่มีอันตรายอะไรต่อเรา แล้วทำไมนายต้องฆ่าเขาด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ถ้านายใช้ผ้ายันต์ในตอนนี้ ไม่แน่ว่าเราสองคนอาจถูกผีพวกนั้นตามมาล้อมเราไว้และกินเราจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกเลยนะ!” ดูเหมือนว่าซูหลินยังไม่รู้สึกวางใจเท่าไหร่ : “ก็เพราะมันนี่แหละที่ควบคุมกำแพงอยู่ เล่นจนเราต้องเดินวกไปวนมาตลอดทั้งคืน!”
已经是最新一章了
加载中