บทที่ 47เฉียวไห่ซิงเกิดเรื่องแล้ว   1/    
已经是第一章了
บทที่ 47เฉียวไห่ซิงเกิดเรื่องแล้ว
บ๗ที่ 47เฉียวไห่ซิงเกิดเรื่องแล้ว “ ที่ฉันสามารถมาถึงจุดๆนี้ได้ ก็เป็นเพราะมีการสนับสนุนจากคุณและอาจารย์หวงนั่นแหละค่ะ”พอเฉียวเมิ่งเยว่พูดเสร็จ เธอก็กระพริบตา“ นี่เราต้องมาชมเชยซึ่งกันและกันอย่างนี้ไปเรื่อยๆเลยรึ?ว่าแต่ เล่าให้ฟังเสียหน่อยได้มั้ย?ว่าคุณได้อะไรมาบ้าง? จากการไปเมืองนอก “ถือว่าได้ความรู้มาเยอะมากเลย ได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นหนึ่งเลยก็ว่าได้ ทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ยังมีแนวคิดใหม่เกี่ยวกับวิธีจัดการกับผู้ป่วยที่มีอัตราสติต่ำเกินกำหนดควรรับมืออย่างไร ซึ่งในปัจจุบันการทดลองทางคลินิกก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว ที่โรงพยาบาลเมืองเยว่เฉิง” เฉียวเมิ่งเยว่พยักหน้า อัตราการมีสติของมนุษย์เรานั้นคือ 3 ~ 15 โดยปกติจะอยู่ใน 15 ถ้าเหลือถึงขั้น 3 ก็หมายถึงผู้ป่วยจะไม่มีวันตื่นขึ้นมาอย่างรู้ตัวอีกแล้ว ซึ่งอัตรานี้ เป็นเป้าหมายสำหรับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญหลายคนอยากจะบรรลุ ชุมชนแพทย์ได้พยายามมากกว่าหนึ่งครั้ง เพื่อการสำรวจวิธีการรับมือกับผู้ป่วยที่มีอัตราการตื่นตัวระดับต่ำใน3 ~ 5 นั้น แต่ตั้งนานแล้วก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขที่ดี "มีความเป็นไปได้สูงไหม?" เฉียวเมิ่งเยว่ถาม “ถ้าในขณะนี้ ยังถือว่ามีความเป็นไปได้ สิ่งอำนวยความสะดวกและคุณสมบัติแพทย์ในโรงพยาบาลก็ค่อนข้างดีเช่นกัน ซึ่งเงินทุนก็เพียงพอ วิจัย3-5ปีก็น่าจะไม่มีปัญหานัก“ "ถ้างั้น อาจารย์ไปที่โรงพยาบาลนั่นไม่ดีกว่าหรอกหรือ? มันจะเป็นการดีกว่าสำหรับคนเก่งอย่างอาจารย์นี่ ไม่ว่าอาจารย์จะไปที่ใด ก็คงจะมีแต่คนแย่ง ทำไมถึงมาจมอยู่ในโรงพยาบาลอย่างหย่าเต๋อนี่ล่ะ?" "ถ้าให้หัวหน้าโรงพยาบาลได้ยินเข้า ผมว่าคุณต้องถูกเก็บในบัญชีดำแน่ๆเลย" หลินจื้อทำเสียงหึ และหยิบโน้ตสองเล่มจากกระเป๋าเอกสารออก "นี่คือบันทึกที่ผมทำไว้ คุณลองเอากลับไปศึกษาดู" “ ขอบคุณค่ะ” เฉียวเมิ่งเยว่รับบันทึกมาและถามต่อว่า“ คุณคิดว่าถ้าคนๆนึงไม่ยอมที่จะพูดเอ่ยปากพูดคุยแม้แต่น้อยเป็นเวลาเนิ่นนาน และอารมณ์ของเองก็เขาผันผวนแปรปรวน จะเกี่ยวข้องกับระบบประสาทสมองหรือไม่?” "ต้องใช้การวิเคราะห์อย่างละเอียดถึงจะสรุปได้ ซึ่งก็มีหลายปัจจัย เช่นเขาเจอกับสถานการณ์แบบไหน อายุของเขาเป็นเท่าไร่ ความสามารถในการต้านรับผลกระทบทางจิตสติปัญญาของเขาเป็นยังไง และระดับการพัฒนาทางกายภาพของเขา สภาพแวดล้อมของครอบครัว และอื่นๆอีกมากมาย ที่ต้องนำมาพิจารณา " "ฉันประมาทมากไปเอง ที่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องง่ายๆ" “ โดยทั่วไป ถ้าไม่มีอุปสรรคในการใช้ภาษาพูด ส่วนใหญ่ก็เป็นเหตุจากทางจิตมากกว่า ผู้ป่วยดังกล่าว เราสามารถให้ความสนใจเขามากขึ้น และให้คำแนะนำอย่างค่อยเป็นค่อยไป รวมถึงการให้ยาที่เหมาะสม แต่ก็นะ บางคนก็สามารถดีขึ้นได้ แต่บางคนก็ไม่มีความคืบหน้าเลย ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับวาสนา บุญบารมีของเขาเอง" "คำพูดของคุณ ก็เหมือนลมเปล่า ถึงพูดก็เหมือนไม่ได้พูด" "แต่ความจริงก็คืออย่างนั้น ช่วยไม่ได้นี่" หลินจื้อยักไหล่ "ออกไปทำงานเถอะ อย่าให้หัวหน้าหวงต้องสาปแช่งฉันเลย" เฉียวเมิ่งเยว่หยิบบันทึกขึ้นมาแล้วก็ออกไป เธอรู้ดีว่าอาการของเสี่ยวเป่านั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ซึ่งดูจากความใส่ใจของเห้ออี้ลั่วที่มีต่อเสี่ยวเป่าแล้วนั้น รู้เลยว่าเขาสามารถหาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญที่ดีที่สุดเท่าที่หามาได้เพื่อรักษาอยู่แล้ว ขนาดผู้เชี่ยวชาญพวกนั้นยังให้แผนการรักษาที่ดีไม่ได้เลย คนธรรมดาอย่างเธอก็คงช่วยอะไรได้ไม่ดีนัก เธอคิดตื้นๆไปเอง ว่าทุกปัญหามีทางแก้ไข ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เธอคงจะตื้นไปใช่ไหม? เฉียวเมิ่งเยว่ครุ่นคิดด้วยแนวเชิงประชดตน คิดว่าโทรถามแม่เสียยังดีกว่านี้อีก บางครั้ง การระวังตัวมากเกินไปมีแต่จะเพิ่มแรงกดดันต่อเด็ก หรือมันจะเป็นการที่ดี ทว่าทำแบบไม่คิดมากอย่างแม่ของเธอ บางทีมันอาจดีกว่าเสียอีก อย่างน้อยเธอก็ได้รับการเลี้ยงดูจากแม่เป็นเวลาหลายปี และจิตใจของเธอก็ค่อนข้างแข็งแรงไม่ได้มีผิดปกติ โทรศัพท์ดังขึ้นแวบเดียวลั่วหมิงเม่ยก็รับโทรศัพท์ทันที "คุณเฉียวเมิ่งเยว่คะ ช่วงทำงานมาปล่อยแกะอู้งานแบบมันนี้จะดีหรือคะ?" "แม่? เสียงของแม่เป็นอะไร? ทำไมฟังแล้วแปลกๆ?" เฉียวเมิ่งเยว่พบว่าเสียงของแม่ตนมีเสียงจมูกโค่นข้างหนักมาก "แม่เป็นหวัดน่ะ ปวดหัวนิดหน่อย ถ้ามีอะไรจะพูดก็รีบพูดมานะยะ หากไม่มีก็ว่างสายเลยนะ!"ลั่วหมิงเม่ยพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจนัก "โอเค งั้นหนูก็จะพูดย่อๆ ตอนที่หนูยังเด็ก แม่ดูแลหนูแบบไหนกันคะ?" "หืม? พอมีลูกเขยมาหนุนหลังให้ ก็เริ่มจะมาเคลียร์บัญชีเก่าๆกับแม่แล้วหรอกเหรอ?" เฉียวเมิ่งเยว่ถลึงตา“ คุณแม่ดูหนังเยอะไปแล้วมั้ง คือหนูอยากจะขอประสบการณ์จากคุณผู้เป็นแม่เสียหน่อย แม่ก็รู้นี่ ว่าหนูไม่รู้จะเข้ากับเสี่ยวเป่ายังไง” "แม่ว่า ประสบการณ์ของแม่ก็คงไม่ได้ผลเช่นกัน กรณีของลูกแตกต่างจากเสี่ยวเป่าเยอะมาก ที่แม่บอกได้ก็คือ เด็กมันฉลาดกว่าที่ลูกคิดไว้ซะอีกนะ เขาจะรู้สึกได้ว่าใครรักเขาจริง และใครไม่ได้รักเขาจริง ที่เหลือลูกก็คงต้องไปศึกษาเอาเอง" พอลั่วหมิงเม่ยพูดจบ ก็วางสายโทรศัพท์ลงทันที เฉียวเมิ่งเยว่ได้ยินถึงเสียงวุ่นวายจากอีกฝั่งในมือถือ แล้วก็พูดอะไรไม่ออก แม่นี่ยังคงเป็นคนที่หยิ่งผยองเช่นเคยไม่เคยเปลี่ยน ดูสีท่า คืนนี้จะต้องกลับบ้านเสียหน่อยแล้ว ** หลังเลิกงาน เฉียวเมิ่งเยว่ก็ส่งข้อความถึงเห้ออี้ลั่ว กล่าวบอกว่าคืนนี้จะกลับไปทานมื้อค่ำที่บ้านของเธอ หลังทานข้าวเสร็จจะขับรถกลับบ้านเอง ไม่ต้องเป็นห่วง จากนั้นก็ แวะไปซื้ออาหารที่พ่อแม่โปรดปรานในซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้าน แล้วก็วิ่งขึ้นไปชั้นบนอย่างเต็มกำลัง พอเปิดประตูมา ก็พบว่าที่บ้านไม่ได้เปิดไฟเลยสักดวง ซึ่งนี่มันก็ทุ่มนึงแล้ว เธอเปลี่ยนรองเท้าที่ระเบียง และพร้อมตะโกนไปว่า "พ่อ แม่ อยู่บ้านหรือเปล่าคะ?" หลังจากตะโกนไปพักนึก ถึงได้มีเสียงแหบห้าวของลั่วหมิงเม่ยดังขึ้นจากชั้นบน “อีนางเด็กนี่ หล่อนกลับมาทำไมมิทราบยะ?” “ ก็หนูเป็นห่วงแม่ไงล่ะ” เฉียวเมิ่งเยว่เดินเข้าไปในครัวพร้อมถุงใหญ่สองใบ ลั่วหมิงเม่ยค่อยๆเดินขึ้นลงจากบันได เฉียวเมิ่งเยว่หันหลังกลับไป และเห็นถึงสีหน้าซีดเผือดของลั่วหมิงเม่ย“แม่ นี่มันไม่ใช่เป็นหวัดแล้วมั้ง?ทำไมถึงได้ทำหน้ากลุ้มใจขนาดนี้ล่ะ?” "เวลาแกเป็นหวัด หน้าแกจะดูดีสดชื่นมากหรือไง?" "เชอะ ขี้เกียจเถียงกับคนป่วย แม่อยากกินอะไรคะ วันนี้คุณเชฟเฉียวจะทำอาหารให้กิน คุณสามารถสั่งอาหารอะไรก็ได้ ตามที่คุณต้องการ" "ทำอะไรก็ได้ วันนี้แม่ไม่ค่อยอยากอาหารเท่าไหร่เลย" "อืม งั้นแม่ก็ขึ้นไปนอนพักก่อนละกัน เดี๋ยวเสร็จแล้วจะไปเรียก" ลั่วหมิงเม่ยตอบกลับด้วยเสียงอืม แล้วก็ลากรองเท้า ใช้เท้าถูพื้นขึ้นไปยังชั้นบน เฉียวเมิ่งเยว่นึกถึงการแสดงปฏิกิริยาของลั่วหมิงเม่ยในวันนี้ เธอรู้สึกว่า เหมือนแม่กำลังพยายามให้เธอไม่ต้องกลับบ้านในเวลานี้ เมื่อก่อน เวลาแม่เป็นหวัด แม่ก็หาเรื่องให้เธอในรูปแบบต่างๆนาๆเช่นกัน แต่แม่ก็ไม่เคยแสดงท่าทีรังเกียจขนาดนี้มาก่อนเลย เฉียวเมิ่งเยว่เล้างกระทะและล้างข้าว จากนั้นก็เริ่มหุงข้าว ระหว่างนั้นเขาหาพบกล่องยาและเอามันออกมา "แม่ เดี๋ยวหนูจะวัดอุณหภูมิของแม่ให้นะ ถ้าแม่มีไข้ เราก็ไปหาหมอที่โรงพยาบาลละกันนะ" ลั่วหมิงเม่ยไม่ค่อยมีแรงเท่าไหร่ ซึ่งก็ปล่อยตัวให้เฉียวเมิ่งเยว่ดูแล เฉียวเมิ่งเยว่วางเครื่องวัดอุณหภูมิไปที่ใต้รักแร้ลั่วหมิงเม่ย จากนั้นก็ลงไปชั้นล่างเพื่อทำอาหาร อาหารที่เธอเตรียมให้มีกับข้าวสี่จานและซุปหนึ่งซุป ซึ่งเธอตั้งใจทำอาหารที่ย่อยง่าย เพื่อสุขภาพของแม่เธอ หลังจากเสิร์ฟอาหารขึ้นโต๊ะ ก็พบว่าเฉียวไห่ซิงยังไม่กลับมาเลย เฉียวเมิ่งเยว่ขมวดคิ้ว และมองไปยังลั่วหมิงเม่ยที่แลดูยังคงไม่ค่อยมีชีวิตชีวา "คุณนายลั่วหมิงเม่ย รีบบอกมาเดี๋ยวนี้เลย ที่บ้านเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่" "ไม่มีอะไรหรอกหน่า" “ ไม่เป็นไรก็บ้าละ! ขืนคุณยังเป็นแบบนี้อีก ฉันคงจะต้องวิจารณ์คุณเสียหน่อยละ ที่คลอดลูกออกมานี่คือคลอดเล่นๆรึไง?มีความลับกับลูกสาวนี่มันรู้สึกสนุกมากเป็นพิเศษรึไง?” “ อืม มันก็สนุกดีนะ” ลั่วหมิงเม่ยเหลียวมองเธอไปแวบนึง แล้วก็พูดขึ้นช้าๆ "ฉันให้เวลาแม่สิบวิในการเล่าความจริง มิฉะนั้น อย่าโทษที่ฉันจะทำให้คุณน้ำตาไหล" เฉียวเมิ่งเยว่พูดพร้อมกับดึงอาหารทั้งหมดมาวางตรงหน้าเธอ โดยไม่เหลือให้ลั่วหมิงเม่ยแม้แต่น้อย ลั่วหมิงเม่ยวางตะเกียบลง "โอเค ให้พูดก็ได้" เฉียวเมิ่งเยว่ตั้งใจฟังอย่างสงบ "อาคารที่พ่อแกออกแบบเมื่อปีก่อน เพิ่งจะสร้างเสร็จเมื่อครึ่งเดือนที่แล้ว ในวันงานขึ้นบ้านใหม่ ปรากฏว่า อาคารได้ทรุดตัวลงครึ่งนึง ทำให้มีบาดเจ็บตายจากไปสิบกว่าคน ซึ่งตอนนี้ครอบครัวฝั่งโน้นก็กำลังมีปัญหา แล้วมันมาเกี่ยวโยงกับพ่อของแก" “ แต่พ่อเป็นนักออกแบบนะ เรื่องการก่อสร้างจะไปเกี่ยวข้องกับพ่อได้อย่างไร?” "พวกเราก็สงสัยเหมือนกัน ด้านตุลาการก็มาตรวจด้วยแล้ว ปรากฏว่าวัสดุของฝ่ายก่อสร้างไม่เป็นปัญหา ผู้เชี่ยวชาญได้อ่านภาพวาดออกแบบ แล้วก็กล่าวหาว่าการออกแบบของพ่อแกมีข้อบกพร่อง การออกแบบตรงผนังรับน้ำหนักนั้นมีปัญหา ไม่ถูกต้อง ซึ่งที่ๆทรุดลง ก็มาจากตรงจุดนั้นพอดี" 
已经是最新一章了
加载中