บทที่ 66 อาหารมื้อดึกคือชีวิตจิตใจ   1/    
已经是第一章了
บทที่ 66 อาหารมื้อดึกคือชีวิตจิตใจ
บ๗ที่ 66 อาหารมื้อดึกคือชีวิตจิตใจ พูดจบเธอก็จ้องไปที่โม่มู่เฉินอย่างเงียบๆ “นี่มันไม่เกี่ยวอะไรกับเธอสักหน่อย!” “ร่างกายของคุณ คุณมีสิทธิ์จะทำอะไรก็ได้นี่คะ ขอเพียงแค่อย่าหาเรื่องรบกวนคนอื่นมากไปกว่านี้แล้วก็อย่าหาเรื่องคนที่มาดูแลคุณด้วยนะคะ” เฉียวเยว่เมิ่งพูดเนิบๆ “เดี๋ยวฉันจะให้พยาบาลมาเปลี่ยนผ้าปูที่นอนใหม่ให้นะคะ” พูดจบเฉียวเยว่เมิ่งก็ดึงประตูกำลังจะออกไปข้างนอกพลันมีเสียงดังมาจากด้านหลัง “ยัยผู้หญิงไร้สมอง ฉันอนุญาตให้เธอไปแล้วหรือไง?” โม่มู่เฉินแผดเสียงด่าขึ้น เฉียวเยว่เมิ่งหันกลับมาพลางจ้องเขาอย่างสงบนิ่ง สายตาเธอฉายแววความอดทนเป็นอย่างมากแถมยังแสดงความสนิทสนมเหมือนกับหมอที่มาดูอาการไข้ให้ผู้ป่วยปรกติ การแสดงออกแบบนี้ยิ่งทำให้โม่มู่เฉินเดือดดาลมากขึ้นไปอีก คนพวกนี้มีสิทธิ์อะไรถึงมาแสดงอารมณ์กับส่งสายตาแบบนี้ต่อหน้าเขาได้? เขาจ้องมองเฉียวเยว่เมิ่งอย่างเยือกเย็นพลางพูดขึ้น “ทำความสะอาดห้องนี้ให้เรียบร้อยซะ!” “ดิฉันช่วยคุณได้นะคะแต่ขอบอกไว้ก่อนว่างานพวกนี้ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของดิฉันนะคะ” พูดจบเฉียวเยว่เมิ่งก็ออกไปหยิบไม้กวาดกับที่โกยขยะเข้ามาพลางจัดการสิ่งสกปรกที่เต็มไปทั้งห้องให้เรียบร้อย โม่มู่เฉินมองเธออย่างถมึงทึงใบหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชาอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่เฉียวเยว่เมิ่งเก็บกวาดของในห้องอย่างเรียบร้อยพยาบาลที่รับหน้าที่ดูแลโม่มู่เฉินก็กลับมาจากกินข้าวพอดี พอเธอเห็นเฉียวเยว่เมิ่งเธอก็ตกใจเป็นอย่างมาก เฉียวเยว่เมิ่งจึงสั่งให้เธอไปเอาผ้าปูที่นอนอันใหม่มาให้ พยาบาลขานรับพลางรีบวิ่งออกไปเอาผ้าปูทันที หลังจากที่เฉียวเยว่เมิ่งเอาขยะต่างๆ ไปทิ้งแล้วก็กลับเข้ามาในห้องของโม่มู่เฉินพลางพูดขึ้น “คุณม่อคะ ดิฉันเข้าใจสภาพจิตใจคุณนะคะที่ต้องมารักษาตัวอยู่แบบนี้ แต่ขั้นตอนนี้อย่างไรก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ การทำงานของทุกๆ คนเองก็ไม่ได้ง่าย ทุกคนอยากให้คุณมีเมตตาบ้างเป็นครั้งคราว อย่าทำร้ายตัวเองแล้วก็อย่าทำให้คนอื่นลำบากแค่นั้นก็พอแล้วนะคะ” “นี่เธอสอนฉันอย่างนั้นหรือ? เธอมีสิทธิ์อะไรมาสอนฉันกันฮะ?” “ดิฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นเลยนะคะ แม่ของฉันเองเป็นคอหนังของคุณ ภาพยนตร์หรือละครทีวีที่คุณแสดงแม่ของฉันก็ดูทุกเรื่องไม่ขาด พอเธอรู้ว่าคุณได้รับบาดเจ็บเธอก็เป็นห่วงมาก ฉันเองก็เชื่อว่าแฟนคลับของคุณคนอื่นๆ เองก็มีสภาพจิตใจไม่ต่างกัน พวกเขาสนใจอาการบาดเจ็บของคุณมากกว่าตัวคุณเสียอีก แม้ว่าจะไม่ใช่เพื่อตัวคุณเองแต่เพื่อพวกเขาแล้วคุณน่าจะลองลุกขึ้นสู้ดูหน่อยนะคะ” “เธอคิดจริงๆ เหรอว่าพวกซื่อบื้อพวกนั้นจะมาสนใจฉันจริงๆ น่ะ? หากฉันไม่ได้ออกสื่อไปสองเดือนพวกเขาก็ไปตามดาราคนใหม่แล้ว” เฉียวเยว่เมิ่งได้ยินก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าคุณพูดถึงขั้นนี้ดิฉันก็ไม่มีข้อโต้แย้งอะไรหรอกค่ะ” “รีบไสหัวไปได้แล้ว!” “จะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ แล้วเจอกันนะคะคุณม่อ” เฉียวเยว่เมิ่งตอบพลางปิดประตูห้องผู้ป่วยให้เขาด้วย หลังจากที่ประตูห้องถูกปิดเขาก็รู้สึกเกลียดเฉียวเยว่เมิ่งเข้ากระดูกดำ ขณะที่เฉียวเยว่เมิ่งลงมาชั้นล่างนางพยาบาลคนนั้นก็กำลังอุ้มผ้าปูที่นอนสะอาดผืนใหม่ขึ้นมาพอดี พยาบาลเองก็พูดกับเธออย่างเกรงใจ “ขอโทษที่รบกวนนะคะคุณหมอเฉียว” “ไม่เป็นไรหรอกจ่ะ แล้วอารมณ์ของคุณม่อนี่มันแย่ขนาดนั้นเลยหรือ?” พยาบาลพยักหน้า “อาจจะเป็นเพราะเพิ่งได้รับบาดเจ็บมาล่ะมั้งคะ อาจจะยังรับไม่ได้ ทุกๆ วันเขาจะอารมณ์เสียแบบนี้อยู่หลายต่อหลายรอบไม่ทำลายข้าวของก็ด่าผู้คนไปเรื่อยล่ะค่ะ ยิ่งตอนกลางคืนนี่วุ่นวายเสียจนผู้ป่วยคนอื่นๆ ไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันเลยทีเดียวค่ะ” “สภาพจิตใจของเขาตอนนี้ไม่ค่อยมั่นคงอย่างมากแหละนะ แล้วพวกเราเองก็คงไม่สามารถทำความเข้าใจได้ด้วย เธอไปทำธุระของเธอเถอะ ฉันขอตัวก่อนนะ” “ค่ะ แล้วเจอกันนะคะหมอเฉียว” เฉียวเยว่เมิ่งส่งยิ้มพลางเดินกลับไปที่ห้องทำงานของตัวเอง เมื่อเธอคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่แล้วเธอก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวเบาๆ ขั้นตอนการดูแลรักษาต้องใช้เวลาและความอดทนเป็นอย่างมาก พูดไปก็คงไม่เข้าใจ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นจริงๆ นั่นแหละ เหมือนกับการแสดงของโม่มู่เฉินที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน เขาในตอนนี้คงยากที่จะยอมรับอะไรหลายๆ อย่างจึงสูญเสียการควบคุมแบบนี้ ... ไม่รู้ว่าข่าวการเข้าโรงพยาบาลหย่าเต๋อของโม่มู่เฉินถูกเปิดเผยไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ในโรงพยาบาลทั้งช่วงเวลาเย็นและเวลาเลิกงานเต็มไปด้วยนักข่าวที่คอยมาดักทำข่าวอยู่ตลอด ทำให้กระทบกับการทำงานของโรงพยาบาลเป็นอย่างมาก ในโรงพยาบาลมีนักข่าวและสื่อมวลชนมาขุดคุ้ยหาความจริงกันมากมายแบบนี้หากไม่ระมัดระวังล่ะก็ต้องโดนพาดหัวข่าวเป็นแน่ ทั้งโดนด่าว่าโรงพยาบาลใจดำก็ดี แพทย์ใจดำก็ดีหรือพยาบาลต่างๆ ไม่มีน้ำใจก็ตาม ดังนั้นคงต้องหาวิธีการจัดการที่อาจจะดูยุ่งยากไปสักหน่อย จะปฏิเสธพวกสื่อมวลชนต่างๆ ก็ไม่ได้ จะให้ความร่วมมือมากเกินไปก็ไม่ได้ไม่อย่างนั้นจะกระทบต่อการทำงานแน่นอน เรื่องระดับนี้มีแค่พนักงานไม่กี่คนที่จะเข้าใจและจัดการได้ดียังดีที่คนเกือบครึ่งของโรงพยาบาลไม่บ้าไปเสียก่อน เฉียวเยว่เมิ่งเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เธอกลัวว่าสิ่งที่เธอพูดไปจะหันมาทำร้ายตัวเองจนอาจจะถูกหัวหน้าต่อว่าก็ได้ มันไม่ง่ายเลยที่จะอยู่อดทนถึงเวลาเลิกงานได้ เฉียวเยว่เมิ่งจึงรีบเปลี่ยนเสื้อคลุมของเธอทันทีเพื่อให้พร้อมที่จะออกได้ทุกเวลา จู่ๆ หมออีกคนที่ชื่อคุณหมอฉาวที่ทำงานอยู่ในแผนกเดียวกันเดินมาพอดี “เมิ่งเมิ่ง อย่าเพิ่งกลับสิ เธอช่วยฉันเข้าเวรหน่อยนะ” “เข้าเวรอะไร? อย่าบอกนะว่าเวรกลางคืนน่ะ?” “เธอเดาได้ถูกเลยล่ะ” “นี่พี่ ถ้าจะให้เปลี่ยนเป็นกะกลางคืนก็บอกกันก่อนสิคะ ทุกคนตอนนี้อยากจะกลับบ้านใจจะขาดแล้วเนี่ย” เฉียวเยว่เมิ่งอดไม่ได้ที่จะหาวออกมา “ตอนบ่ายเองก็รับมือกับพวกนักข่าวมาตั้งเยอะแล้วเลยไม่มีเวลาว่างจะมาบอกเลย ผู้ป่วยสามสิบเจ็ดคนวันนี้ที่ฉันทำหน้าที่รับผิดชอบจะเริ่มการผ่าตัดในวันพรุ่งนี้ เพราะฉะนั้นคืนนี้ฉันก็เลยต้องเข้าเวรดึกแล้วพรุ่งนี้คงลงมือผ่าตัดไม่ไหวแน่ๆ เอาไว้ครั้งหน้าฉันจะช่วยเธอเองนะ ดีไหมๆ?” “ไม่ได้ แต่ถ้ายอมให้หนูจับหน้าอกสักนิดสักหน่อยอาจจะยอมเห็นด้วยก็ได้นะ” เฉียวเยว่เมิ่งเผยรอยยิ้มที่ดูลามกออกมา “เธอนี่บ้ากามจริงๆ” หมอฉาวยกมือปิดหน้าอกของเธอ แต่ก็มิอาจปิดก้อนเนื้อที่เต็มไม้เต็มมือนั้นได้หมด “ได้สิ รีบกลับเถอะค่ะ หนูจะไปหาข้าวกินสักหน่อยแล้วอีกสักเดี๋ยวหนูจะเข้างานแทนพี่เอง” “ขอบคุณนะจ้ะที่รัก” เฉียวเยว่เมิ่งโบกมืออย่างเกียจคร้านพลางกลับไปนั่งที่ของตัวเองเหมือนเดิม เสี่ยวอันเองก็ถามขึ้น “พี่เฉียว เดี๋ยวหนูสั่งอาหารให้นะคะ” “ตอนนี้ฉันยังไม่หิวน่ะ ไว้ถ้าหิวเมื่อไหร่ค่อยว่ากันแล้วกัน ตอนนี้เธอกลับไปก่อนเถอะ” “ไม่อยากให้หนูอยู่เป็นเพื่อนแล้วหรอ?” “จะอยู่เวรกลางคืนด้วยกันอย่างนั้นเหรอ? อย่าลำบากเลยจ้ะ ฉันรับมือได้อยู่แล้ว” เสี่ยวอันจำต้องกลับไปอย่างไม่เต็มใจเสียเท่าไหร่ สักพักเฉียวเยว่เมิ่งก็โทรศัพท์ไปหาเห้ออี้ลั่ว “คุณเศรษฐี วันนี้นายไม่ต้องมารับฉันแล้วนะ พอดีว่าเปลี่ยนเวรเข้างานกับคนที่ทำงานน่ะ เพราะฉันนั้นฉันก็เลยต้องอยู่เวรคืนนี้แล้วพรุ่งนี้ก็กลับไปเข้าเวรของตัวเองต่อเนื่องเลยจนถึงบ่ายๆ เย็นๆ ถึงจะได้กลับบ้าน นายกับเสี่ยวเป่าก็อย่าลืมหาอะไรกินด้วยนะ” “พวกคุณจัดตารางงานแบบนี้เป็นปรกติอย่างนั้นหรือ?” “เป็นสถานการณ์พิเศษน่ะ ทำอะไรไม่ได้ จริงๆ แล้วก็อยากจะแอบงีบอยู่สักหน่อยเหมือนกันนะ เอาเป็นว่านายไม่ต้องเป็นห่วงฉันนะ” “อืม” เฉียวเยว่เมิ่งวางสายในใจพลางรู้สึกเสียใจนิดๆ ว่าแค่คุณเศรษฐีจะพูดให้กำลังใจเธอสักหน่อยไม่ได้เลยเหรอ? ถึงแม้ว่าจะทำอาชีพหมอจะเข้าเวรกะเช้ากะดึกก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมากมายแต่บางทีเธอก็รู้สึกน้อยใจนิดๆ เฉียวเยว่เมิ่งถูหน้าตัวเองไปมาก่อนที่จะเอาความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจนั้นทิ้งไปพลางวิ่งไปกินข้าวทันที ... เวลาค่ำ เฉียวเยว่เมิ่งเดินตรวจดูห้องผู้ป่วยในแผนกพลางจดบันทึกข้อมูลไปด้วย จากนั้นเธอก็แจ้งอาการต่างๆ ที่พิเศษและเฉพาะกับนางพยาบาลก่อนจะเดินกลับห้องทำงานไป หลังจากเธอเข้ามาในห้องทำงานเธอก็ต้องส่งเสียงร้องอย่างแปลกใจ เพราะเธอกำลังเห็นเห้ออี้ลั่วนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของเธอพลางก้มหน้าเล่นโทรศัพท์อยู่ ไฟจากโคมไฟส่องแสงจางๆ ไปที่ใบหน้าของเขาในความมืดสลัวทำให้เห็นหน้าได้ไม่ชัดเท่าไหร่ เห้ออี้ลั่วเห็นดังนั้นจึงหันกลับมาพูดขึ้น “เป็นอย่างไร? ประหลาดใจหรือเปล่า?” “คุณเศรษฐี นายมาทำไมกันน่ะ?” น้ำเสียงของเฉียวเยว่เมิ่งแสดงความตื่นเต้นดีใจอย่างปิดไม่มิด เห้ออี้ลั่วมองใบหน้าที่ดูเป็นประกายขึ้นมาทันทีของเธอก็รู้ได้ทันทีว่าที่เขามาแบบนี้ทำถูกแล้ว “มาส่งอาหารให้คุณกินอย่างไรล่ะ”
已经是最新一章了
加载中