บทที่ 69 คนที่สามารถช่วยเธอจากความเจ็บปวดได้   1/    
已经是第一章了
บทที่ 69 คนที่สามารถช่วยเธอจากความเจ็บปวดได้
บ๗ที่ 69 คนที่สามารถช่วยเธอจากความเจ็บปวดได้ “เธอควรเปิดหูเปิดตาได้แล้วนะว่าพ่อแม่พี่และพี่ใหญ่เองที่ทำอยู่สร้างทุกอย่างมีหนี้มากมายก็เพื่อให้ผ่านความยากจนข้นแค้นนี้ไปได้ไม่ใช่หรือไง? หรือญาติๆ อย่างพวกเรามีความสำคัญไม่เท่ารูปลักษณ์ ชื่อเสียงหรือศักดิ์ศรีของเธอเลยเหรอ?” เวินอันเหยียนพูดขึ้น “หนู...หนูไม่ได้คิดแบบนั้นนะคะ” “อย่างอื่นพี่จะไม่พูดให้มากความแล้วกัน เธอเก็บไปคิดเอาเองนะแล้วพรุ่งนี้ค่อยมาให้คำตอบกับพี่” พูดจบเขาก็เดินกลับขึ้นไปด้านบนเช่นเดียวกัน ห้องโถงขนาดใหญ่ตอนนี้เหลือเพียงแค่เวินอันเหยียนอยู่คนเดียว เธอมองทุกอย่างในบ้านไปมาอยู่นานคล้ายคนที่ตกอยู่ในภวังค์ เธอไม่เข้าใจ เรื่องพวกนี้ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ เธอเพียงแค่อยากจะมีความรักก็แค่นั้น การได้รักใครสักคนทำไมถึงต้องโดนตำหนิมากขนาดนี้? เพื่อเห้ออี้ลั่ว เพื่อตระกูลเห้อแล้วเธอต้องใช้พลังใช้ความรู้สึกไปมากแค่ไหนก็ยังเทียบกับเฉียวเยว่เมิ่งไม่ได้เลยหรือ? จนในที่สุดแล้วก็เทียบกับเฉียวเยว่เมิ่งไม่ได้จริงๆ ครอบครัวของเธอ ญาติของเธอเองก็มีส่วนเกี่ยวพันด้วย แม้แต่ญาติของเธอควรที่จะมาดูแลเธอ เข้าใจเธอ แต่ทำไมพวกเขาไม่เข้าใจในใจของเธอเลยแม้แต่น้อย ทำไมไม่ลองมองปัญหาในมุมของเธอบ้าง ทำไมถึงต้องบังคับเธอให้ไปหาพ่อแม่ของเห้ออี้ลั่วด้วย? หลายปีที่ผ่านมานี้เธอเพียรพยายามทำประโยชน์ให้ตระกูลเห้ออยู่มากมาย จนมาปัจจุบันนี้พวกเขากลับลืมผลประโยชน์ที่เธอเคยทำให้จนหมดสิ้น เหลือเพียงความละโมบที่ให้เธอไปหามาให้มากขึ้นกว่าเดิมอีก เห้ออี้ลั่วเองก็ด้วย เธอรักเขาขนาดนั้นแม้จะรู้ว่าเขามีลูกแล้วก็ตามแต่เพราะเธอรักเขาจึงพยายามที่จะลองยอมรับเด็กคนนั้นดู เพียงเพราะว่าเธอคิดจะทำร้ายเฉียวเยว่เมิ่งเขาเลยจะมาทำลายบริษัทของตระกูลเธอโดยที่ไม่สนอะไรเลยอย่างนั้นเหรอ? ก่อนที่เขาจะตัดสินใจแบบนั้นเขาได้เคยคิดรึเปล่าว่าเธอต้องลงทุนลงแรงอะไรไปบ้างในหลายปีที่ผ่านมานี้? เคยคิดหรือไม่ว่าหากตระกูลเธอล้มละลายร่างกายเธอจะรักษาอย่างไร? ค่ายาค่ารักษาอะไรต่างๆ จะหามาจากไหน? จะใครหน้าไหนก็ไม่เคยคิดถึงเธอเลยทั้งนั้น! เวินอันเหยียนปาดน้ำตาที่ไหลรินผ่านดวงตาเธอออกมาพลางหันกลับไปมองบ้านที่ไม่ได้ให้ความอบอุ่นแก่เธออีกต่อไปแล้วก็เดินออกมาทันที เสาไฟบนถนนสองข้างทางส่องผ่านตัวเธอจนทอดเป็นเงายาว ถนนที่เงียบสงัดนอกจากเสียงฝีเท้าของเธอแล้วกลับมีเสียงฝีเท้าของอีกคนหนึ่งดังขึ้นมาอย่างแผ่วเบา เวินอันเหยียนกลัวจนต้องหันหัวกลับไปมองก็พบว่าเสาไฟที่อยู่ห่างจากเธอไปประมาณสิบเมตรมีเงาดำๆ ยืนอยู่ด้านใต้นั้น ลักษณะเหมือนผู้ชายรูปร่างสูงโปร่ง ทั้งร่างกายและใบหน้าถูกเสื้อผ้าสีดำทมึนปกคลุมอยู่จนดูคล้ายวิญญาณที่ชั่วร้ายอย่างไรอย่างนั้น “นายเป็นใคร?” “เป็นคนที่สามารถช่วยเธอจากความเจ็บปวดได้อย่างไรล่ะ” “นายรู้ได้อย่างไรว่าฉันเจ็บปวด?” “จะอะไรฉันก็รู้ทังนั้นแหละ!” “จริงหรือ?” เวินอันเหยียนหัวเราะพลางเดินจากไปอีกทิศหนึ่งกับผู้ชายคนนั้น แต่ก็ยังได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้ชายคนนั้นเดินตามเธอมาอย่างช้าๆ ... วันต่อมา เฉียวเยว่เมิ่งตื่นเช้าเป็นพิเศษ หลังจากที่ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จเรียบร้อยเธอก็ลงมาช่วยป้าหลิวเตรียมอาหารเช้าในครัว หลังจากที่จัดอาหารเช้าลงโต๊ะเสร็จเห้ออี้ลั่วกับเสี่ยวเป่าก็เดินลงตามกันมาติดๆ เห้ออี้ลั่วเองก็ถามอย่างสงสัยขึ้นว่า “ทำไมวันนี้คุณตื่นเช้าจัง?” “วันนี้ที่โรงพยาบาลมีการจัดทำความสะอาดครั้งใหญ่ก่อนสิ้นปีน่ะ ปีนี้เป็นหน้าที่ของกลุ่มของพวกฉันก็เลยต้องตื่นเช้าอย่างที่เห็นนี่แหละค่ะ” เฉียวเยว่เมิ่งก็พูดอย่างสะลึมสะลือนิดๆ “อ่าใช่แล้วคุณเศรษฐี...แล้วปีใหม่พวกเราจะจัดอะไรกันดีล่ะ? วันหยุดของฉันมีแค่สี่วันเอง” “ถ้าอย่างนั้นวันที่สามสิบตอนเที่ยงผมจะไปกินข้าวกับพ่อกับแม่คุณละกัน จากนั้นตอนค่ำค่อยกลับมาบ้านใหญ่อีกที” เฉียวเยว่เมิ่งคิดไม่ถึงว่าเขาจะจัดการแบบนี้ “แบบนี้เหมาะแล้วใช่ไหม?” “พ่อกับแม่เองก็มีลูกแค่คนเดียวนี่นา ปีนี้เป็นปีแรกที่คุณแต่งงานออกมาจากบ้าน ผมคงไม่มีทางทำให้พวกท่านรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งแน่ๆ” “อื้อ...ถ้าอย่างนั้นวันนี้ฉันจะโทรไปบอกพ่อกับแม่นะ ขอบคุณที่จัดการให้นะคะ” เห้ออี้ลั่วหัวเราะพลางก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อไป หลังจากที่กินข้าวเสร็จเฉียวเยว่เมิ่งก็ขับรถโปโลคันเล็กๆ ของตัวเองออกไปทันที ขณะที่เธอติดไฟแดงอยู่เธอก็โทรศัพท์หาแม่ของเธอ “คุณลั่วหมิงเม่ยคะ พรุ่งนี้ฝากเตรียมอาหารไว้ด้วยนะคะ ลูกเขยของแม่บอกว่าพรุ่งนี้เที่ยงจะกลับบ้านไปกินข้าวกับเฉียวไห่ซิงและที่บ้านเป็นเพื่อนนะคะ” “จริงเหรอ? หากลูกเขยว่าแบบนั้นแล้วแม่ก็ขอไปเตรียมตัวก่อนละกันนะ” “ค่ะ แม่...แม่บอกว่าให้หนูพาลูกเขยแม่ไปกินข้าววันปีใหม่ที่บ้านใหญ่แล้วแบบนี้หนูต้องทำตัวอย่างไรล่ะแม่? บางทีหนูก็รู้สึกว่าหนูทำอะไรเชื่องช้าโดยเฉพาะตอนนี้ลูกเขยแม่บอกว่าคิดจะทำแบบนี้หนูก็รู้สึกเกรงใจจริงๆ” “ก็เพราะว่าลูกเป็นคนใจดีอย่างไรล่ะถึงได้คิดแบบนี้น่ะ” เฉียวเยว่เมิ่งเกาหัวพลางพูด “ก่อนหน้านี้หนูก็ไม่ได้รู้สึกถึงเลย แต่ก็พบว่าหนูไปทำแทนไม่ได้ แม้แต่เสี่ยวเป่าเองหนูก็มีความรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน ตอนแรกหนูก็คิดว่าหนูทำได้ แต่พอเอาเข้าจริงแล้วมันก็เป็นแบบเดิม” ลั่วหมิงเม่ยถามขึ้นอย่างเป็นห่วง “ลูกรัก ลูกจะคิดว่าตัวเองต่ำต้อยไปทำไม? นี่ไม่เหมือนกับเป็นตัวลูกเลยนะ” “ลูกเขยของแม่สมบูรณ์แบบมากจนยากที่คนธรรมดาจะเทียบติด หลานชายของแม่เองก็เหมือนจะสนิทกับหนูมากๆ แต่จริงๆ แล้วหนูกลับช่วยเป็นธุระอะไรให้ไม่ได้เลย แล้วแบบนี้จะไม่ให้หนูคิดดูถูกตัวเองได้อย่างไรล่ะแม่” “ช่างมันเถอะ ในโทรศัพท์คุยไม่สะดวกเท่าไหร่ เอาไว้พรุ่งนี้พวกลูกมากินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตาค่อยคุยกันนะ” “ค่ะ แล้วเจอกันค่ะแม่” ... นอกจากการไปเยี่ยมผู้ป่วยแล้วก็ไปตรวจเช็คตามห้องต่างๆ เป็นกิจวัตรประจำวันแล้วยังมีหมออีกไม่น้อยที่ยุ่งกับการตกแต่งห้องผู้ป่วยในวันตรุษจีน ทำให้บรรยากาศในโรงพยาบาลดูครึกครื้นเป็นอย่างมาก นอกจากนั้นยังมีของขวัญอีกมากมาย ถ้าจะแบกคนเดียวคงแบกไม่ไหวแน่นอน ทั้งเสี่ยวอันและหยางเสว่หลินต่างก็ไม่มีรถด้วยกันทั้งคู่ เฉียวเยว่เมิ่งเจิงอาสาส่งพวกเขาทั้งสองคนกลับบ้าน ส่วนรถที่หยางเสว่หลินจะนั่งกลับบ้านออกคืนนี้ เฉียวเยว่เมิ่งจึงส่งเธอกลับบ้านไปเอากระเป๋าก่อนที่จะกลับไปส่งเธอที่สถานี สถานีรถบัสวันก่อนสิ้นปีนี้คนเดินกันขวักไขว่ไปหมด จะเดินจะเหินทีก็ไม่ค่อยสะดวกสบายเท่าไหร่ มองดูคนที่แน่นขนัดแบบนี้ทำให้รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที ตั้งแต่เด็กเธอก็ใช้ชีวิตที่เมืองเยว่มาโดยตลอด ตั้งแต่อนุบาลจนปริญญาโทก็เรียนที่เมืองเยว่ แม้ว่าปรกติจะไปกับพ่อกับแม่มาจนทั่วแล้วแต่ก็ไม่เคยเดินทางช่วงที่มีเทศการตรุษจีนนี้มาก่อน สักพักเฉียวเยว่เมิ่งก็ถามขึ้น “แล้วเธอจะแบกของพวกนี้เข้าไปในสถานีอย่างไรน่ะ?” “เดินไปเดี๋ยวก็มีคนหลีกทางให้เองแหละ” หยางเสว่หลินหัวเราะแบบไม่ใส่ใจ “เธอกลับเถอะ เดี๋ยวกระเป๋าพวกนี้ฉันจัดการเอง” เฉียวเยว่เมิ่งพลางมองแขนขาที่ดูไม่มีแรงของหยางเสว่หลินก็พูดขึ้น “ฉันจะช่วยส่งเธอขึ้นรถเอง” “...ถ้าอย่างนั้นเธอก็ระวังหน่อยนะ” เฉียวเยว่เมิ่งพยักหน้าพลางช่วยยกกระเป๋าทั้งสองใบเบียดเข้าไปในหมู่คนตามหลังของหยางเสว่หลินไป ถึงแม้จะเป็นแค่ทางสั้นๆ แต่ใช้เวลานานมากกว่าจะไปถึง ที่ทางเข้าเดิมทีไม่อนุญาตให้คนที่ไม่มีบัตรเข้าไป แต่พอคนตรวจตั๋วเห็นหยางเสว่หลินแบกกระเป๋ากองใหญ่ๆ มาพร้อมทั้งเฉียวเยว่เมิ่งที่ดูไม่ตอบโต้อะไรเลยอนุญาตให้เข้าไปได้ เฉียวเยว่เมิ่งช่วยหยางเสว่หลินช่วยประคองกระเป๋าพร้อมทั้งของขวัญที่ได้มาจากโรงพยาบาลยัดเข้าไปในที่เก็บของของรสบัสพร้อมทั้งสั่งว่า “พอเธอไปถึงที่นู่นตอนบ่ายๆ ก็ไม่ต้องประหยัดตังมากหรอกนะ หากเจอคนช่วยเข็นของก็บอกให้เขาช่วยด้วยนะ เข้าใจไหม?” “เข้าใจแล้วจ้ะ น้องชายของฉันน่าจะไปรอรับอยู่ที่นั่นแหละ” หยางเสว่หลินมองเฉียวเยว่เมิ่งอย่างซาบซึ้งใจ “เมิ่งเมิ่ง ขอบคุณนะ แล้วก็ขอบคุณที่ให้ของขวัญวันเกิดชิ้นนี้มาด้วยนะ” “จำเป็นต้องเกรงใจขนาดนั้นด้วยหรือจ้ะ? รีบขึ้นรถเถอะ คนตรวจตั๋วมองหน้าฉันแล้ว เดินทางปลอดภัยนะจ้ะ” “อืม...อืม” เฉียวเยว่เมิ่งต้องเดินเบียดเสียดฝูงชนกลับมาออกมาอีกรอบพลางขับรถกลับบ้านทันที ลั่วหมิงเม่ยเห็นลูกตัวเองแบกกล่องของขวัญมาสองกล่องก็พูดอย่างประหลาดใจว่า “เป็นของจากโรงพยาบาลหรือ?” “ค่ะ หยิบมาสองกล่องเอามาให้พ่อกับแม่ด้วย ส่วนยังมีอีกครึ่งหนึ่งเดี๋ยวหนูจะเอากลับไปบ้านใหญ่พรุ่งนี้ แบบนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ?” “ก็ดีแล้วล่ะ” ลั่วหมิงเม่ยบุ้ยปากไปทางครัว “เอาของพวกนั้นไปวางในครัวละกัน จากนั้นก็ล้างมือแล้วก็มากินข้าวนะ” 
已经是最新一章了
加载中