ตอนที่ 57 โอบกอดไว้ในอ้อมแขน   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 57 โอบกอดไว้ในอ้อมแขน
ต๭นที่ 57 โอบกอดไว้ในอ้อมแขน หลี่ซื่อเพียงแค่ชำเลืองตามองไปทางหลิงหลงฮูหยินเท่านั้น ด้วยสีหน้าที่ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ราวกับกำลังไม่รู้จักนางอย่างไรอย่างนั้น นางคุกเข่าแสดงคารวะ “หม่อมฉันหลี่ซ่วยหยุ่นคำนับฮองเฮงเหนียงเหนียงเพคะ ฮองเฮาเหนียงเหนียงจงเจริญสุข” “หลี่ซ่วยหยุ่น!” ฮองเฮาจ้องเขม็งไปทางหลี่ซื่อ เมื่อครั้งยังวัยเยาว์ นางได้พบเจอกับหลี่ซื่ออยู่บ่อยครั้ง ในฐานะที่เป็นแม่นางเหมือนกัน นางก็ต้องยอมรับว่าหลี่ซื่อเป็นหญิงที่งดงามมากทีเดียว แต่ว่า กลับไม่ใช่ความงดงามที่ทำให้คนอื่นอิจฉาเช่นนั้น หลังจากที่จากกันมาเป็นเวลาหลายปี ฮองเฮาแตะหางตาของตัวเองโดยจิตใต้สำนึก กาลเวลาผันเปลี่ยนไป ดูเหมือนว่าหลี่ซื่อที่ผ่านเรื่องราวอย่างโชกโชนกว่าเมื่อก่อนมาก กลับไม่เคยดูแก่มาก่อน “เพคะ!” หลี่ซื่อยกมือทั้งสองตั้งขนาบบนพื้น แล้วก้มหัวลงไป ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา สายตาอ่อนโยนและไม่ใส่ใจ เฉิงเสี้ยงเสี้ยที่ยืนอยู่ด้านหลังของฉากกั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ใช้สายตาของคนภายนอกมองไปทางหลี่ซื่อในรอบหลายปีมานี้ ต้องบอกว่า นางและซูหลิงหลงที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า หากไม่ต้องพูดถึงซูหลิงหลง นางถูกแปลงโฉมเพื่อวันนี้ ถึงจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหรูหราดีๆ แต่มารยาทกลับไม่ได้ 1 ใน 10 ส่วนของนางเลยสักนิด แม้กระทั่งอารมณ์ ทัศนคติ ความหมายแฝง ถูกทิ้งห่างไปไกลยิ่งนัก ความรู้สึกสับสนที่เกิดขึ้นในใจของเขา ความรู้สึกนี้ทำให้เขารังเกียจ ฮองเฮาสั่งให้คนนำภาพวาดมาคลี่เปิดออก แล้วถามขึ้นว่า :“หลี่ซื่อ เจ้าจำภาพวาดนี้ได้ไหม?” หลิงหลงฮูหยินคลานขึ้นมาด้านหน้า ก่อนมองไปทางนางด้วยความกังวลใจ “เจ้าไม่สามารถปฏิเสธได้ นี่คือภาพวาดของเจ้า จริงแท้แน่นอน” หลี่ซือมองไปยังภาพวาดนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยที่ไม่มองหลิงหลงฮูหยินแต่อย่างใด จากนั้นก็ทำได้เพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อย “ทูลรายงานกับฮองเฮาเหนียงเหนียง นี่เป็นภาพวาดของหม่อมฉันจริงเพคะ” หลิงหลงฮูหยินส่งเสียงดีใจขึ้นมาทันใด “ฮองเฮาเหนียงเหนียง นางยอมรับแล้ว ว่าภาพวาดของนาง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหม่อมฉัน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหม่อมฉันนะเพคะ” หลี่ซื่อมองไปทางนางด้วยความตื่นตกใจ พร้อมกับขมวดคิ้ว ท่าทางการขมวดปมคิ้วบนใบหน้าที่งดงาม ช่างตื่นเต้นเสียจริง เมื่อฮองเฮาเห็นภาพผืนนี้ ก็รู้สึกตื่นเต้นแทนอ๋ออานชินไม่ได้ ทำไมต้องให้กับเสี้ยห้วยจุนชายแก่ผู้นี้ด้วย หมุยเฟยมองไปทางเฉิงเสี้ยงเสี้ยที่อยู่ข้างกายโดยจิตใต้สำนึก แล้วพูดขึ้นด้วยความอนิจจังว่า “น้องชาย เจ้านี่จริงๆเลย......” ลูกพี่ลูกน้อง ใบหน้าของเฉิงเสี้ยงเสี้ยเคร่งขรึมขึ้น ไม่รู้ว่าสมองกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ หลิงหลงฮูหยินมองไปทางฮองเฮาด้วยความกังวลใจ น้ำเสียงที่ดูตื่นเต้นได้พูดขึ้นด้วยอาการสั่นเทาว่า “เหนียงเหนียง นางยอมรับแล้ว ท่านไต่สวนนางก็ได้เพคะ ว่าเรื่องทั้งหมดนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหม่อมฉัน” ฮองเฮาบันดาลโทสะออกมา: “หลี่ซื่อ เจ้าช่างกล้าหาญมาก กล้านำภาพวาดมาโค่นล้มราชวงศ์อย่างเงียบๆเช่นนี้?” ใบหน้าอันบริสุทธิ์ของหลี่ซื่อค่อยๆปรากฏความประหลาดใจออกมา “เหนียงเหนียงเพคะ นี่เป็นภาพวาดที่หม่อมฉันส่งมอบให้กับอ๋องอานชิน ไม่ได้มีเจตนาจะโค่นล้มราชวงศ์แต่อย่างใดนะเพคะ” หลิงหลงฮูหยินที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ได้กระแอมลำคอแล้วพูดขึ้นว่า: “ดอกแพร์เบ่งบาน ดอกชบาหุบ ในภาพวาดของเจ้า หมายถึงว่าตระกูลเว่ยจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่ในใต้หล้านี้ ดอกชบาหมายถึงชื่อเสียงเรียงนามของไท่จู่ เจ้าต้องการโค่นล้มราชวงศ์ เจ้าตั้งใจก่อการกบฏ” หลิงหลงฮูหยินฮึกเหิมขึ้นมา ดีจริงๆเลย พระเจ้าทรงเห็นใจช่วยเหลือนางแล้ว ต่อให้เพียรพยายามแค่ไหนก็กำจัดหลี่ซื่อไม่ได้ นึกไม่ถึงว่าตัวนางเองจะมาตกม้าตายในภาพวาดของตัวเอง ฟ้าช่างมีตาเสียจริง หลิงหลงฮูหยินกำลังตื่นเต้นดีใจอยู่ภายในใจนั้น หางตาได้ปรากฏแววตาแห่งความกระหายเลือดออกมา เมื่อได้ยินเสียงร้องตะโกนของหลิงหลงฮูหยิน หลีโม่จึงได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ ครั้งนี้ฮองเฮาโหดร้ายเสียจริงๆ ให้เสี้ยห้วยจุนได้เห็นความแตกต่างของสองคนนี้ด้วยตาของตัวเอง แต่ว่า นางชอบความโหดร้ายเช่นนี้จริงๆ ไม่ต้องขยับ ก็ทะลุถึงขั้วหัวใจแล้ว อีกทั้ง นางก็เชื่อว่าแม่สามารถอธิบายความหมายของภาพวาดได้อย่างง่ายดาย ว่ามันไม่มีความเกี่ยวข้องกับการทรยศเลยแม้แต่น้อย และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ หลี่ซื่อพูดขึ้นว่า : “เหนียงเหนียงเพคะ ดอกชบาจะหุบในตอนพลบค่ำ เมื่อดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาวันรุ่งขึ้น ก็จะเบ่งบานขึ้นมาอีกครั้ง แล้วจะหมายความว่าล้มเหลวได้อย่างไรกัน? ส่วนดอกแพร์ เพราะในช่วงเทศกาลเดือนมีนาคม ดอกแพร์จะเหนือกว่าหิมะ หิมะจะมีใยช่วงฤดูหนาวเท่านั้น ในช่วงฤดูหนาว สิ้นปี ถึงแม้ว่าจะมีความหมายแฝง มันก็เป็นความหมายเพียงแค่ตระกูลเว่ยได้สิ้นสุดลงแล้ว ไม่ได้บ่งชี้ถึงการทรยศเลยแต่อย่างใด” เมื่อฮองเฮาได้ยิน จึงได้ส่งเสียงหึออกมา “เจ้าพูดเรื่องที่ผ่านไปแล้ว แต่ในตอนที่เจ้าวาดภาพนี้ขึ้นมา เป็นช่วงเวลาที่เจ้าได้อภิเษกสมรสเป็นชายาของเฉิงเสี้ยงแล้ว ทำไมกลับยังส่งภาพวาดนี้ให้กับอ๋องอานชินอยู่อีกละ?” หลี่ซื่อเงียบไปนานมาก จากนั้นก็ค่อยๆพูดขึ้นว่า “อ๋องอานชินปฏิบัติกับหม่อมฉันเป็นอย่างดี หม่อมฉันรู้ก่อนหน้านั้นแล้ว ว่าเขาสร้างคุณงามความดีต่อราชวงศ์ เมื่อครั้งที่มาสู่ขอถึงหน้าประตู แต่ในตอนนั้นหม่อมฉันได้ตัดสินแต่งงานให้กับเสี้ยห้วยจุนไป และมีทะเบียนสมรสกับเข้าไปแล้ว วันนั้นเข้าจึงไปสาบานต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ ว่าเขาจะครองความโสดไปตลอดชีวิตเพื่อหม่อมฉัน หม่อมฉันทำใจไม่ได้ จึงใช้ภาพวาดนี้แจ้งตรงต่อเขา ว่าหม่อมฉันได้พบกับสามีที่ดีแล้ว ได้โปรดทรงลืมหม่อมฉันไปเพคะ” ถึงแม้ว่าเฉิงเสี้ยงเสี้ยจะเพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้จากปากของหลิงหลงฮูหยินก็ตาม แต่เขาก็ไม่เชื่อแต่อย่างใด แต่เมื่อได้ยินหลี่ซื่อพูดออกมาด้วยตัวเอง ใจของเขาเหมือนกับถูกบางสิ่งบางอย่างกระแทกเข้าใส่อย่างรุนแรง เขานึกถึง ในวันที่ฝนตกพล่ำๆนั้น เขาและอ๋องอานชินได้ควบม้าวิ่งมาจากถนนด้านทิศตะวันออก นางที่ยืนอยู่บนลานซวน พิงอาศัยอยู่ตรงราวจับของบันได ผมเผ้าชุ่มไปด้วยน้ำฝน ใบหน้างดงามมากยิ่ง กำลังถือม้วนหนังสืออยู่แผ่นหนึ่ง ยืนโดดเดี่ยวอยู่เช่นนั้น ราวกับว่าเสียงโห่ร้องโวยวายด้านนอกไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนาง ในตอนนั้น เมื่ออ๋องอานชินเห็นนางเข้า แววตาจึงเกิดความสั่นไหวขึ้นมา หลังจากที่ควบม้าจากไป อ๋องอานชินได้พูดกับเขาว่า นี่คือแม่นางที่เขาชื่อชอบ รอให้เขากลับมาจากสู้รบก่อน เขาจะไปสู่ขอนางเป็นพระชายา เขารู้มาโดยตลอดว่าอ๋องอานชินชอบหลี่ซ่วยหยุ่น ชอบมากถึงขั้นเข้ากระดูกเลยทีเดียว เขากับอ๋องอานชินเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แต่ว่าเขารู้สึกต่ำต้อยมาโดยตลอด เพราะเขาไม่มีอะไรที่จะเทียบเท่าอ๋องอานชินได้เลย สถานะ การสงคราม มารยาท ความสามารถ กังฟู เขาสู้เขาไม่ได้เลย จนกระทั่งเขาคิดว่า ในเมื่ออ๋องอานชินเป็นเพื่อนกับเขา จึงใช้เขามาเสริมจุดเด่นให้กับความสามารถและความสูงส่งของตัวเอง หลังจากที่อ๋องอานชินไปทำศึกสงคราม เขาก็ได้ตามจีบหลี่ซ่วยหยุ่นอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขารักหลี่ซ่วยหยุ่นจริงๆหรือเพียงแค่อย่างจะเอาชนะอ๋องอานชินเท่านั้น ในที่สุด เขาก็ได้ขอร้องขุนนางหลี่ให้ช่วยยกหลี่ซ่วยหยุ่นแต่งานกับเขา เขารู้สึกยินดีปรีดาหลังจากที่ทนทุกข์มาอยู่นมนาน จนถึงขั้นหวังที่จะได้เห็นใบหน้าที่เสียใจและผิดหวังของอ๋องอานชิน ในความเป็นจริงแล้ว ถึงแม้ว่าจะสู่ขอหลี่ซ่วยหยุ่นได้ แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าหลี่ซ่วยหยุ่นไม่ได้รักเขา เพียงแค่นางไม่อาจขัดคำสั่งของพ่อแม่ได้เท่านั้น แต่ ตอนนี้ที่ได้ยินนางพูดถึงความในใจออกมาด้วยตัวเอง เขากลับเกิดความรู้สึกราวกับว่าอยู่กันคนละโลก ความรู้สึกที่พูดออกมาไม่ได้อัดแน่นอยู่ในใจ จนค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความปวดร้าวที่บีบรัดไว้ เขาหวังที่จะได้เห็นความปวดร้าวของอ๋องอานชิน เขารู้สึกดีใจมาเนิ่นนานว่าความสัมพันธ์ของอ๋องอานชินและเขาขาดลงแล้ว เขาจึงได้ป่าวประกาศออกไปว่าอ๋องอานชินนั้นตระหนี่ถี่เหนียวแค่ไหน มีภาพๆหนึ่ง มันมักจะปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเขาในเวลาว่าง ในตอนที่เขาเปิดผ้าคลุมสีแดงของนางออก ดวงตาของนางไม่ได้สีดำคลับเหมือนหางม้าแต่อย่างใด แต่กลับแสดงออกถึงอารมณ์ความรู้สึกรักและห่วงใย มองเขาเช่นนั้น ในของเขา เจ็บปวดขึ้นมาทันใด ซือถูเย้นที่ยืนอยู่ด้านหลังของหลีโม่ เขาได้ถอดถอนใจออกมา แล้วกระซิบข้างหูของหลีโม่ว่า “ในตอนที่หลี่ซื่อวาดภาพๆนี้ ในใจของนางน่าจะรักพ่อของเจ้ามากเชียวนะ เพียงแต่ว่า นางคาดเดาไม่ถึงว่าหลังจากที่ผ่านไปเนิ่นนานแล้ว นางจะถูกรังแกอย่างหนักหนาเช่นนี้” หลีโม่รู้สึกทุกข์ใจ แล้วพูดเบาๆว่า “มีครั้งหนึ่ง เราคิดว่าการรักคนๆหนึ่งคือตลอดทั้งชีวิต แต่ว่า ในความจริงแล้วมันกลับเป็นไปได้แค่เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น” ซือถูเย้นรู้สึกสะเทือนใจ จากนั้นก็มองไปทางด้านข้างของนาง จึงอดที่จะ ยกมือทั้งสองข้างไปทางด้านหลังของนาง แล้วโอบกอดนางเบาๆไม่ได้ หลีโม่แข็งทื่อไป ราวกับมีบางอย่างมาให้ใจค่อยๆสลายไปอย่างช้าๆ นางขมวดคิ้ว เมื่อสัมผัสได้ถึงใบหูที่สัมผัสกับคางของเขา ลมหายใจของเขาหายใจอย่างเร่งรีบอยู่ข้างใบหูของนาง หลีโม่ผ่อนคลายลง ครั้งนี้ ปล่อยตามตัวเองไปสักครั้ง ให้นางได้โกหกกับตัวเองว่าได้หลบซ่อนอยู่ในอ้อมกอดใครสักคน
已经是最新一章了
加载中