ตอนที่ 60 สายเกินแก้ (ข้าวสารหุงเป็นข้าวสุก)
1/
ตอนที่ 60 สายเกินแก้ (ข้าวสารหุงเป็นข้าวสุก)
พิษรักองค์ชายโฉมงาม
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 60 สายเกินแก้ (ข้าวสารหุงเป็นข้าวสุก)
ตนที่ 60 สายเกินแก้ (ข้าวสารหุงเป็นข้าวสุก) เฉิงเสี้ยงเสี้ยไม่กล่าวคำใดออกมา ทำแค่เพียงจ้องเขม็งทางนางด้วยสายตาเย็นชาเท่านั้น เมื่อหลิงหลงฮูหยินเห็นว่าเขาไม่พูดอะไร จึงรู้ว่าเขาไม่เชื่อ จากนั้นก็เช็ดน้ำตาแล้วยืนขึ้นก่อนจะพูดด้วยความเสียใจว่า : “ข้ารู้ว่าตอนนี้ถึงข้าจะพูดอย่างไรท่านก็ไม่มีทางเชื่อข้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะไปจากจวนเฉิงเสี้ยง” เมื่อเดินออกไปเพียงแค่สองก้าว ก็เห็นเสี้ยโล่เยว่พุ่งเข้ามา ยางไม่เห็นเฉิงเสี้ยงเสี้ยที่นั่งอยู่ในมุมตะวันตกเฉียงเหนือ จากนั้นก็ดึงแขนเสื้อของหลิงหลงฮูหยิน แล้วพูดขึ้นด้วยท่าทางเขินอายว่า “ท่านแม่ ข้ากับไท่จื่อ สำเร็จแล้ว” หลิงหลงฮูหยินจับแขนของนาง “อะไร ? สำเร็จ?” ความรู้สึกปีติยินดีได้ก่อเกิดขึ้นในจิตใจ มันช่างดีจริงๆ ตราบใดที่เสี้ยโล่เยว่และไทจื่อสายเกินแก้ (ข้าวสารหุงเป็นข้าวสุก ) นางก็จะได้เป็นแม่ยายของไทจื่อ เช่นนี้ นางก็ไม่ต้องไปจากจวนเฉิงเสี้ยงแล้ว “เพคะ!” เสี้ยโล่เยว่พยักด้วยความเอียงอาย แต่เมื่อเห็นรอยแผลบนใบหน้าของหลิงหลงฮูหยิน ก็บันดาลโทสะโดยไม่รู้ตัว “ท่านแม่ ท่านเป็นอะไร? ใครทำร้ายท่าน?” เสียงของเฉิงเสี้ยงเสี้ยได้ดังขึ้นมาจากอีกด้าน “โล่เยว่ เจ้ากับไท่จื่อปรองดองกันแล้วจริงหรือ?” เสี้ยโล่เยว่ตื่นตกใจ พร้อมกับถือโอกาสมองตามเสียง แล้วก็พบกับพ่อที่นั่งอยู่ด้านนั้น ก่อนจะเอามือทาบอกแล้วพูดขึ้นว่า : “ท่านพ่อ ลูกตกใจแทบแย่เพคะ” นางเดินเข้าไป ก่อนจะพูดด้วยท่าทางออดอ้อนว่า : “ท่านพ่อ ปรองดองจริงๆเพคะ เตี้ยนเซี่ยเองบอกว่าจะไปพูดเรื่องแต่งงานของเรากับฮองเฮาเหนียงเหนียงเพคะ ถึงตอนนั้นก็จะเรียกหมุยเฟยเหนียงเหนียงไปพูดคุยต่อหน้าพระพักตร์ฮองเฮาเหนียงเหนียงเพื่อลูก ลูกก็จะได้เป็นพระชายาของไท่จื่อแล้วเพคะ” ใบหน้าแดงระเรื่อของเสี้ยโล่เยว่ได้มลายหายไป แต่สายตาประจบสอพลอยังอยู่ ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความภาคภูมิใจ ไม่นาน นางก็จะกลายเป็นพระชายาของไทจื่อแล้ว เพลิดเพลินไปกับความรุ่งโรจน์ “งั้นก็ดี หากไทจื่อมาในสองวันนี้ เจ้าก็อยู่ด้วยละกัน” เฉิงเสี้ยงเสี้ยเผยรอยยิ้มแปลกประหลาดขึ้นมาบนใบหน้า ดีมาก ซือถูเย้น เปิ่นเสี้ยงมีทุนในการต่อต้านเจ้าแล้ว เสี้ยโล่เยว่จึงพูดขึ้นว่า : “แน่นอนอยู่แล้ว เขาจะมาในเช้าวันรุ่งขึ้น” นางมองกลับไปทางหลิงหลงฮูหยิน แล้วถามขึ้นด้วยความแปลกใจ : “ท่านแม่ หน้าของท่านเป็นอะไรเพคะ?” หลิงหลงฮูหยินชำเลืองตามองไปทางเฉิงเสี้ยงเสี้ย เฉิงเสี้ยงเสี้ยจึงเดินเข้าไป แล้วโอบไหล่ของหลิงหลงฮูหยินไว้ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยท่าทางอมยิ้มว่า : “ตอนออกไปข้างนอกดันไปเจอโจรปล้นทำร้าย แต่ไม่เป็นอะไรแล้ว คนถูกจบไปแล้วละ” “มีคนมาปล้นท่านแม่หรือเพคะ? เขาไม่รู้จักรักตัวกลัวตายหรอกหรือ?” เสี้ยโล่เยว่บันดาลโทสะออกมา “โจรปล้นนอกพื้นที่ แต่ถูกจับส่งไปยังฝ่ายขุนนางแล้วละ” หลิงหลงฮูหยินเอียงหัวพิงแอบแนบไล่ของเฉิงเสี้ยงเสี้ย ราวกับแสดงความรักกันเหมือนกับในทุกๆวัน เสี้ยโล่เยว่ส่งเสียงหึออกมา “หากเป็นข้าละก็ ข้าจะจับตีๆแล้วค่อยส่งไปยังฝ่ายขุนนาง” เฉิงเสี้ยงเสี้ยมองไปทางนางแล้วพูดขึ้นว่า : “เจ้าออกไปก่อนเถอะ ข้ากับแม่ของเจ้ามีเรื่องที่ต้องคุยกัน” เสี้ยโล่เยว่โค้งคำนับแล้วพูดขึ้นว่า : “เพคะ ลูกของบังคมทูลลา!” หลังจากที่เสี้ยโล่เยว่จากไป เฉิงเสี้ยงเสี้ยก็ผลักหลิงหลงฮูหยินออกไป พร้อมกับฉายแววรังเกียจออกมาทางสีหน้า หลิงหลงฮูหยินมองไปทางเขาด้วยความเจ็บปวด “ท่านถึงได้โหดร้ายกับข้านัก?” เฉิงเสี้ยงเสี้ยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา : “เห็นแก่สถานะของบุตรทั้งสอง เปิ่นเสี้ยงจะหยุดทะเลาะกับเจ้าชั่วตราว แต่ในหลานวันนี้เจ้าทำตัวให้ดีๆ อย่าคิดสร้างปัญหาใดๆให้กับข้าอีกเด็ดขาด” หลิงหลงฮูหยินด้วยตาแดงก่ำ “ข้าไปสร้างปัญหาให้ท่านตอนไหนเพคะ? เจ้าอยากเอาคำพูดดูถูดเหยียดหยามที่หลี่ซื่อมอบให้ท่านมาใช้กับข้า ” สีหน้าของเฉิงเสี้ยงเสี้ยเย็นชา แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับไปอีก ณ จวนอ๋องอานชิน “เข้าใจชัดเจนแล้วใช่ไหม? ว่าทำไมเสี้ยห้วยจุนถึงได้ก่อการกบฏกับเปิ่นหวาง?” อ๋องอานชินที่กำลังนั่งเช็ดดาบที่อยู่ในมือบนเก้าอี้ พร้อมกับถามขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา องครักษ์ที่คุกเข่าอยู่ก็ได้ตอบกลับไปว่า : “ทูลรายงานท่านอ๋อง ตรวจสอบชัดเจนแล้ว เดิมทีซูหลิงหลงตั้งใจจะจะซื้อภาพวาดของคุณหนูหลี่ที่จะให้ท่าน ไปให้เป็นของขวัญแทนใจแก่เสี้ยห้วยจุน อยู่ดีไม่ว่าดี เสี้ยโล่เยว่บุตรธิดาของซูหลิงหลงได้ขโมยภาพวาดผืนนี้มาให้กับไท่จื่อเตี้ยนเซี่ย เมื่อไท่จื่อรู้ว่าฮองเฮาชื่นชอบภาพวาด จึงเลยใช้อ้างมาส่งมอบให้กับฮองเฮา วันนี้ฮองเฮาจึงตามคุณหนูใหญ่หลี่ซื่อเข้าวังมาเพื่อซักถามที่มาที่ไปของภาพวาดผืนนี้ และก็ได้รู้ว่าเดิมทีภาพวาดผืนนี้เป็นของคุณหนูหลี่ซื่อที่ตั้งใจจะส่งมอบให้แก่ท่านอ๋องพะยะคะ” “อะไรนะ?” สีหน้าของอ๋องอานชินแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย “หยุ่นเอ๋อต้องการนำภาพวาดผืนนี้ให้แก่เปิ่นหวาง? แต่กลับถูกซูหลิงหลงซื่อไปอย่างนั้นหรือ?” “พะยะคะ เสี้ยห้วยจุนจึงเลยคือว่าคุณหนูหลี่ซือตั้งใจจะส่งมอบภาพวาดนี้ให้แก้ท่านเพื่อแสดงความรัก ดังนั้น จึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเช่นนั้น” สีหน้าของอ๋องอานชินอึ้งงันไป เป็นภาพวาดที่นางเคยอยากส่งมอบให้แก่ข้าอย่างหรือ? “ภาพวาดผืนนั้น หยุ่นเอ๋อว่าอย่างไรบ้าง ?” อ๋องอานชินถามขึ้นหลังจากที่เงียบไปเนิ่นนาน องครักษ์เกิดความลังเลเล็กน้อย “คุณหนูใหญ่หลี่ซื่อบอกว่า ภาพวาดที่ตั้งใจส่งให้ท่านอ๋องผืนนั้น เพื่อเป็นแจ้งตรงต่อท่านอ๋องว่านางเจอคนที่ดีแล้ว ได้โปรดให้ท่านอ๋องลืมนางพะยะคะ” อ๋องอานชินจ้องมองไปทางเขา ราวกับเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ต่อคำตอบของเขาเมื่อสักครู่ แล้วถามขึ้นอีกครั้งว่า: “หยุ่นเอ๋อพูดว่าอย่างไร?” องครักษ์แทบจะตอบกลับในทันทีว่า : “คุณหนูใหญ่หลี่ซื่อไม่เคยอธิบายใดถึงเรื่องนี้เลยพะยะคะ” อ๋องอานชินตอบอื้อกลับมา พร้อมกับแสดงสีหน้าเย็นชา “งั้นก็ดี เตรียมชุด เปิ่นหวางจะเข้าวัง” ในเมื่อหยุ่นเอ๋อไม่อธิบายใดๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาต้องกลับไปนำภาพวาดนั้นกลับมา เมื่อเปลี่ยนเป็นชุดจักรพรรดิสีเหลืองทองที่ปักเป็นกรงเล็บทั้งสี่ของมังกรลงบนผ้าใหม่เต็มยศ ตั้งแต่ไปทำสงครามมาหลายปี ส่งผลให้รูปร่างของเขาได้แปรเปลี่ยนเป็นแข็งแรงกำยำยิ่งขึ้น ใบหน้าสีเหลืองทองสัมฤทธ์ได้ถูกย้อมไปด้วยแสงแดดและทรายของชายแดน ซึ่งมีใบหน้าหล่อเหลาสง่าผ่าเผยคล้ายคลึงกับซือถูเย้น แต่กลับดูหนักหน่วงและลำบากยิ่งกว่าซือถูเย้น ปมคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเป็นเวลานาน จนกลายเป็นรูปแบบ 3 ขีด แต่ไม่ทำให้รู้สึกถึงความแก่ขราแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับรู้สึกถึงความมีเสน่ห์ของบุรุษมากเสียอีก เมื่อครั้งมีพระชนมายุ 38 พรรษา เป็นช่วงเวลาที่ภาคภูมิใจที่สุดในชีวิต แต่เขากลับทูลและไม่เคยไปซักไซ้ถามเกี่ยวกับราชสำนักอีก “จริงสิ ท่านอ๋อง ได้ยินมาว่าอ๋องเหลียงประชวร บุตรธิดาของคุณใหญ่หลี่เสี้ยหลีโม่ได้ทำการรักษาเหลียงอ๋องด้วยพะยะคะ” ในองครักษ์พูดขึ้นในตอนที่กำลังฉลองพระองค์อยู่ “เฮ่าเอ๋อ?” อ๋องอานชินขมวดคิ้วด้วยความเคยชิน “เกิดอะไรขึ้น? เฮ่าเอ๋อประชวรหนัก ทำไมไม่มีใครรายงานข้า?” องครักษ์พูดขึ้นว่า : “วังปิดข่าวไว้พะยะคะ ข้าน้อยได้ยินมาจากปากของจื่นเฉิงองครักษ์ส่วนพระองค์ของอ๋องซื่อเจิ้งพะยะคะ” “เสี้ยหลีโม่ คือแม่นางที่ต้องการจะถอนหมั้นผู้นั้นใช่หรือไม่?” อ๋องอานชินนึกถึงใบหน้าของเสี้ยหลีโม่ “นางมีความรู้ทางการแพทย์หรือ?” “ข้าน้อยไม่ทราบพะยะคะ แต่ได้ยินมาว่าอาการป่วยของอ๋องเหลียงหมอหลวงก็ไม่มีวิธีการแก้ไขใดๆ หลังจากที่เสี้ยหลีโม่เข้าวังมาจึงได้ช่วยอ๋องเหลียงให้ฟื้นขึ้นมาพะยะคะ” อ๋องอานชินยิ้มออกมาเล็กน้อย ความเย็นชาในดวงตาของเขาได้จางลงไป แล้วค่อยๆปรากฏความอ่อนโยนขึ้นมาแทน “บุตรสาวของหยุ่นเอ๋อ ช่างดูโดดเด่นมากทีเดียว” องครักษ์เผลอหลุดขำออกมา “คุณหนูหลี่ที่อยู่ในใจของท่านอ๋อง จะไม่ดีได้อย่างไร” “ไม่อย่างนั้น หากสายตาของหยุ่นเอ๋อไม่ดีพอ เปิ่นหวางก็คงจะไม่เห็นพ้องต้องกันหรอก” อาการประชวรของอ๋องเหลียงได้ดีขึ้นเกินกว่าที่หลีโม่คาดการณ์ไว้ หลังจากที่ฮองเฮาออกจากจวนเฉิงเสี้ยงแล้ว ก็เหลือเพียงแค่หลีโม่ ที่คอยถามไถ่อาการประชวร ว่ามีอาการนอกเหนือหรือไม่ หลีโม่กล่าวตามตรง ว่าให้นางลองดูสักครั้ง แค่เพียงฮองเฮาทรงอนุญาต ฮองเฮามองไปทางนาง “วันนี้อ๋องเหลียงยังมีอันตรายหรือไม่?” “ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ คงที่เพคะ” “งั้นวันรุ่งขึ้นเปิ่นกงจะส่งอ๋องเหลียงกลับจวนเฉิงเสี้ยง ทุกวันจะมีคนมารับเจ้าไปทำการรักษาอ๋องเหลียงในจวนอ๋องเหลียง จำไว้ เจ้ารักษาแค่เพียงโรคลมชักของอ๋องเหลียงเท่านั้น” ฮองเฮาพูดอย่างเข้มงวด หลีโม่โค้งคำนับ “เพคะ หม่อมฉันเข้าใจ” “คาดว่าจะนานแค่ไหน?” ฮองเฮาถามขึ้น หลีโม่คิดคำนวณอยู่ในใจ เวลานี้ สั้นเกินไป มิเช่นนั้น หากหมดสิ้นการคุ้มครองของฮองเฮา นางอาจจะไม่สามารถรั้งเฉิงเสี้ยงเสี้ยได้ แต่ก็ไม่สามารถให้ยาวนานเกินไป มิเช่นนั้นด้วยความฉลาดของฮองเฮา ก็อาจจะสามารถมองออกถึงกลอุบายการยืดเยื้อของนางก็เป็นได้ ดังนั้น นางจึงพูดตามดุลพินิจว่า “หม่อมฉันประเมินว่า น่าจะใช้เวลา 3 เดือนถึงครึ่งปีเพคะ”
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 60 สายเกินแก้ (ข้าวสารหุงเป็นข้าวสุก)
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A