บทที่ 65 สังหารผิดตัว   1/    
已经是第一章了
บทที่ 65 สังหารผิดตัว
บ๗ที่ 65 สังหารผิดตัว เสี้ยเฉิงเสี้ยงกล่าวอย่างหงุดหงิดใจ “ใยดีเขา ตัวข้าเองก็ไม่สนว่าจะมีลูกชายคนนี้หรือไม่” หมุยเฟยเอ่ยพลางส่ายหน้า “เจ้าบ้าไปแล้วจริงๆ ด้วย ลูกชายของเขาเจ้าเองแท้ๆ เขาจะบ้าจะโง่ อย่างไรก็เป็นลูกของเจ้า” เสี้ยเฉิงเสี้ยงยิ้มเย็นชา “ใช่หรือ เขาคือบุตรชายของข้า แต่ไม่อาจจะเป็นคนสุดท้าย” เขานั่งลง ในมือกำถ้วยชาเครื่องลายครามขาว ท่าทีกัดฟันกรอดเมื่อครู่แปรเป็นการแสดงออกอย่างไม่แยแส เขานั่งอยู่ตรงนั้นเช่นนั้น สีหน้าเคร่งขรึม หมุยเฟยรู้สึกว่ามองใบหน้าของเขาแล้วมีความหวาดสะพรึงอย่างบรรยายไม่ถูก เขาแตกต่างจากก่อนหน้าราวฟ้ากับเหว เสมือนว่ากำลังคำนวณอะไรบางอย่างในใจ เป็นการคำนวณที่ไม่งดเว้นทุกสิ่งอย่าง อีกด้านหนึ่งหลังจากหลีโม่ออกจากตำหนักอี๋หลาน ก็รีบสาวเท้าเดินมาทางริมทะเลสาบ นางเดินอย่างรวดเร็ว องครักษ์ต้าเฉวียนเองก็ตามมาติดๆ อย่างว่องไว เมื่อเขาเห็นว่าหลีโม่ไม่ได้เดินไปทางตำหนักเล่อชิง เขาจึงเรียกหลีโม่เอาไว้ “รอประเดี๋ยว ไม่ใช่ว่าเจ้าจะกลับตำหนักเล่อชิงหรอกหรือ” หลีโม่ไม่ได้หยุดชะงัก ที่นี่ยังคงเป็นอาณาเขตของตำหนักอี๋หลาน มีเพียงออกจากที่นี่ได้เท่านั้นจึงจะถือว่าปลอดภัย เบื้องหลังมีองครักษ์เดินตามเข้ามา ต้าเฉวียนเอ่ยถาม “มีอะไรหรือ” องครักษ์กล่าว “พระนางรับสั่งว่าต้องนำตัวนางกลับไป แม้นนำกลับไม่ได้...” เขาทำมือเป็นสัญญาณแห่งการฆ่า แววตาต้าเฉวียนเย็นเยียบ เงยหน้าขึ้นก็มองไม่เห็นหลีโม่แล้ว เขากระทืบเท้า “บัดซบแล้ว เจ้านำคนไปขวางที่ถนนทั้งสองข้างก่อน อย่าให้นางหนีออกไปได้ คนอื่นๆ รีบตามข้ามาเร็วเข้า” ถนนเส้นนี้ นอกจากตำหนักอี๋หลาน ก็คือตำหนักซีเวย แต่ว่า ต้าเฉวียนคาดการณ์ว่าหลีโม่ไม่กล้าไปตำหนักซีเวยเป็นแน่ ตำหนักซีเวยก็เข้าไม่ได้ หน้าประตูมีทหารยามจำนวนมาก ตราบใดที่ยังเฝ้าอยู่หน้าประตูทางออกสองฝั่ง ต่อให้เสี้ยหลีโม่มีปีกก็ยากจะบินหนี แต่ว่า ค้นหารอบๆ ตำหนักอี๋หลานแล้ว กลับไม่พบร่องรอยของหลีโม่เลย ต้าเฉวียนเกร็งหนังศีรษะเดินไปถามยามรักษาการณ์ที่หน้าประตู “ไม่ทราบว่าเมื่อครู่เห็นผู้หญิงในชุดสีเขียวอ่อนเดินผ่านมาหรือไม่” ยามเฝ้าประตูของตำหนักซีเวยชักดาบเดินไปข้างหน้า กล่าวอย่างเย็นชา “ไม่มีคนเข้ามา รีบไปเสีย” ต้าเฉวียนทำได้เพียงจำต้องออกไป และไม่กล้าที่จะค้นหารอบนอกตำหนักซีเวยอย่างองอาจ ในเวลาเดียวกัน องครักษ์อาฟาเองก็นำคนมายังรอบนอกตำหนักอี๋หลาน หลังจากที่ทั้งสองเส้นทางมาบรรจบกันและแลกเปลี่ยนข่าวสารแล้ว ก็กลับไปค้นหาในที่ทางของแต่ละคน ทั้งสองข้างต่างมีการอารักขา เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเดินออกไป ต้าเฉวียนนำคนมาลาดตระเวนริมทะเลสาบ และทันใดนั้นก็ฉุกคิดขึ้น คุกเข่าก้มมองทุ่งหญ้าริมทะเลสาบ ที่นี่มีร่องรอยการเหยียบย่ำ หรือว่า จะว่ายน้ำข้ามไปอีกฝั่งเสียแล้ว เขาคิดอยู่สักพัก ก่อนยกมือขึ้น “สำรวจย้อนไปที่เฉลียงทางเดิน แล้วเดินไปฝั่งตรงข้าม ถ้าหากนางว่ายน้ำข้ามไปล่ะก็ เพื่อไม่เป็นการแตกตื่น พวกเราจะต้องว่ายอยู่รอบๆ พวกเราจึงจะสามารถสกัดนางเอาไว้ได้” เขาเป็นคนแรกที่วิ่งเลียบฝั่งทะเลสาบ ทั้งวิ่งและจ้องกลางทะเลสาบไปพลาง และนั่นเอง ก็มองเห็นการเคลื่อนไหวในน้ำจริงๆ ด้วย มีบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวอย่างแช่มช้า อาภรณ์สีเขียวอ่อนเป็นสีเดียวกับต้นหลิวห้อยต่องแต่งกระทบผิวน้ำ “รีบตามไปเร็ว อยู่ในทะเลสาบนั่น” ต้าเฉวียนเอ่ยบังคับบัญชา ยามในวังหลายคนรีบวิ่งเข้าไปอย่างลนลาน หน้าที่คือต้องขวางหลีโม่เอาไว้ตรงหน้าฝั่ง หลีโม่ตกลงไปในทะเลสาบจริง นางรู้ว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะต้องซ่อนตัวจากหูตาของคนเหล่านั้น ตำหนักอี๋หลานจะต้องถูกปิดกั้น อีกทั้งผ่านตำหนักซีเวยไม่สามารถวิ่งพรวดได้ มิเช่นนั้นผ่านบรรดาผู้ที่สะพายคันธนูง้างคันศรอยู่ นางก็กลายเป็นเม่นไปแล้ว วิธีทางเดียว คือต้องว่ายน้ำข้ามไปฝั่งตรงข้ามเท่านั้น ถึงแม้ว่ากระบวนความคิดจะไม่ได้ประสานงานกับร่างกายนี้เท่าใดนัก แต่ว่าเคราะห์ดีที่ยังสามารถว่ายน้ำได้ เพียงแต่ช้าหน่อย เพื่อไม่ให้ถูกค้นพบ นางทำได้เพียงว่ายรอบๆ ริมทะเลสาบเท่านั้น ริมทะเลสาบมีต้นหลิวโน้มลงมา สามารถพรางตัวได้เล็กน้อย หลีโม่ทั้งว่ายน้ำทั้งหันหน้ากลับไปมอง พบว่ามีคนวิ่งรอบริมทะเลสาบ นางรู้ว่าตนเองถูกค้นพบเข้าให้แล้ว นางเปลี่ยนไปขึ้นฝั่งอีกบริเวณหนึ่ง และวิ่งหนีไปจากกลุ่มโขดหิน อาฟามองเห็นต้าเฉวียนตามเลียบทะเลสาบอยู่ เขาเองก็ตามเข้าไปด้วย ความเขียวขจีประดุจไพรสัณฑ์ของพื้นที่นี้ ดีต่อการหลบซ่อนยิ่งนัก เพื่อไม่ให้แตกตื่นถึงตำหนักซีเวยฝั่งนั้น พวกเขาต่างพากันปฏิบัติการอย่างระวังเป็นพิเศษ เดินไปแล้วรอบหนึ่ง ก็ข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามได้แล้ว ที่นี่เป็นพระตำหนักที่ถูกทิ้งร้าง แทบจะไม่อาจมีคนเข้าออก ทุกๆ เดือนมีเพียงนางในเข้ามาทำความสะอาด แต่ว่าเนื่องจากไม่มีผู้ใดพักอาศัย ผู้ที่ทำความสะอาดเองก็มาทำความสะอาดหนึ่งครั้งต่อเดือนเท่านั้น อาฟาสังเกตเห็นว่าในแปลงดอกโบตั๋นจีนเบื้องหน้ามีเงาคนขยับอยู่ เขาไม่ต้องยั้งคิด หยิบคันศรจากด้านหลัง คุกกายลง ง้างธนู ลูกดอกบินแหวกออกไป ศรธนูตัดผ่านอากาศ พุ่งตรงเข้าไปยังแปลงดอกไม้ ได้ยินเพียงเสียงของโลหะที่เสียบจมอยู่ใต้ผิวหนัง ใครบางคนก็ซวนเซล้มพับลงกับพื้น อาฟาเดินเข้าไป เห็นเพียงกลางแปลงดอกไม้มีคนผู้หนึ่งนอนล้มจมกองเลือดอยู่ อาฟาพลิกร่างของเขา มองเห็นใบหน้าของเขา สีหน้าแปรเป็นสะพรึงสุดขีด นี่คือลูกชายเพียงคนเดียวของเสี้ยเฉิงเสี้ยง...เสี้ยฮ่าวหรานนี่นา เสี้ยฮ่าวหรานบิดเกร็งไปทั้ง่ราง โลหิตสดไหลออกมาจากบริเวณหน้าอกของเขา ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ใบหน้าบิดเบี้ยว เจ็บปวดทรมานยิ่งนัก ต้าเฉวียนเห็นสถานการณ์ จึงพลิกเสี้ยฮ่าวหรานกลับไป แล้วดึงลูกศรออกจากด้านหลังของเขา พลางกล่าวกับอาฟา “ไป พวกเราไม่เคยมาที่นี่มาก่อน” อาฟาฝ่ามือเย็นเฉียบ “สวรรค์ เสี้ยเฉิงเสี้ยงให้ข้าสังหารเพียงบุตรสาวของเขา กลับมิได้ให้ข้าฆ่าบุตรชายของเขา” “รีบไป!” ต้าเฉวียนเหลือบมองทั่วสารทิศ เห็นคนที่เขานำมากำลังจะตามมาทันในอีกไม่ช้า จึงกล่าวเสียงกร้าว “หุบปาก เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” กล่าวจบ ก็ฉุดอาฟาเดินจากไป หลีโม่หลบอยู่ในโขดหิน มองเห็นฉากนี้อยู่ไกลๆ นางกระโดดลงไปในน้ำราวกับคนบ้าคลั่งพลางว่ายน้ำข้ามเข้ามา ตอนที่นางปีนขึ้นฝั่ง อาฟาและต้าเฉวียนได้นำยามวังออกไปแล้ว หลีโม่วิ่งทุลักทุเลเข้าไป มองยังเสี้ยฮ่าวหรานที่รูม่านตาขยายกว้าง มือหนึ่งของนางอุดหน้าอกของเสี้ยฮ่าวหรานเอาไว้ แต่ว่าก็ห้ามเลือดสดๆ ที่ไหลออกมาไม่ได้ เสี้ยฮ่าวหรานรวบข้อมือของนางเอาไว้ รั้งกายขึ้นมาเต็มแรง โลหิตเหลวไหลทะลักออกมาจากในช่องปากก เขาคว้าหลีโม่อย่างหัวชนฝา “พี่ใหญ่...พี่ใหญ่...” “ฮ่าวหรานอย่ากลัว พี่ใหญ่อยู่ตรงนี้ พี่ใหญ่อยู่ตรงนี้” นางใช้มือหนึ่งฉีกอาภรณ์ของตนเองออก ห่อปากแผลเอาไว้ มือสองข้างกอบกุมบนใบหน้าของเสี้ยฮ่าวหรานอย่างไหวสั่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ไม่เป็นไร พี่ใหญ่อยู่ที่นี่ พี่ใหญ่อยู่ที่นี่” ไม่อาจให้เสี้ยฮ่าวหรานตายได้ ทำไม่ได้ นางไม่สนใจว่าความรู้สึกที่มีต่อเสี้นฮ่าวหรานถูกทิ้งไว้โดยเจ้าของร่างเดิมหรือว่าตนเองนั้นเวทนาเด็กน้อยผู้นี้ นางรู้เพียง ไม่อาจให้เสี้ยฮ่าวหรานตายได้ “พี่ใหญ่ ท่านพ่อจะฆ่าท่าน หนี...หนี...” เสี้ยฮ่าวหรานกล่าวพลาง น้ำเสียงค่อยๆ ผะแผ่วลง “หนาวจัง หนาว...” หลีโม่น้ำตากลิ้งออกจากดวงตา โน้มกายลงกอดเขาเอาไว้ แนบใบหน้าเปียกชุ่มลงบนหน้าเย็นเยียบของเขา “ไม่เป็นไร ฮ่าวหราน พี่ใหญ่อยู่ตรงนี้” “พี่ใหญ่ ข้ากลัว ข้ากลัวท่านพ่อ...” เสี้ยฮ่าวหรานสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ใบหน้าอ่อนเยาว์เต็มไปด้วยความหวาดกลัว อยากเอื้อมมือไปดึงนางไว้ แต่ว่ามือทั้งคู่เพิ่งจะยกขึ้นก็ทรุดฮวบลงมาเสียแล้ว หลีโม่ดึงมือเขาไว้ แนบติดกับหัวใจของตนเอง ในเรียวปากเอ่ยปลอยโยนไม่ขาดสาย “ไม่กลัว มีพี่ใหญ่อยู่ตรงนี้ อย่าได้กลัว” เสี้ยฮ่าวหรานยิ้ม รอยยิ้มบริสุทธิ์เหมือนท้องฟ้าไร้เมฆ ดวงตาสีโปร่งใส บนริมฝีปากของเขา ก็แย้มรอยยิ้มหนึ่งเอาไว้ ดวงตาเบิกกว้างตลอด เบิกกว้าง... หลีโม่ทรุดนั่งลงบนพื้น ความรวดร้าวในดวงใจแทบจะทำให้นางฉีกเป็นชิ้นๆ ในขั้วหัวใจกรีดร้องอย่างโหยหวนว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ว่า นางจำต้องยอมรับผลลัพธ์ข้อนี้ สองมือของนางสั่นระริก แก้ปมเส้นผ้าที่ห่อหน้าอกเสี้ยฮ่าวหรานออก มัดเอาไว้กับลำแขนของตนเอง ก้มหน้าลง จุมพิตที่ดวงตาของเขา น้ำตาร่วงรินไปบนพวงแก้มของเขา นางมองอ้อยอิ่งสักพัก ก่อนจะปาดน้ำตาออกและลุกขึ้นยืน ฮ่าวหราน พี่ใหญ่จะต้องช่วยเจ้าแก้แค้น แน่นอน! หลังจากหลีโม่จากไป ประตูของตำหนักรกร้างก็เปิดออก ชายชราในชุดสีเทาผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านใน ในมือของเขาถือถุงยาสูบ หลังจากที่สูบแล้วจึงยกมือขึ้น “เสี่ยวพ่าง ย้ายเจ้าตัวเล็กเข้ามา” ในตำหนักมีเด็กผู้ชายฟันหรอที่ทั้งเตี้ยทั้งอ้วนกลมเดินออกมา เขามองพินิจ ก่อนถาม “ท่านปู่ เขาตายแล้วนะ” ชายชรายืดช่วงเอวของเขาอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะเคาะถุงยาสูบออกมาอีกมวน “ภายใต้บ้านของชายชราอย่างข้า จะมีคนตายได้? นำกลับไปเถิด” กล่าวจบ ก็ลุกขึ้นมาแล้วเข้าไปข้างใน เด็กผู้ชายแบกเสี้ยฮ่าวหรานขึ้นมา พลางตามเข้าไป “ท่านปู่ ท่านแน่ใจว่าเสี้ยหลีโม่ก็คือทายาทแห่งเทคนิคทางเข็มทองคำ?” 
已经是最新一章了
加载中