บทที่ 69 วอนอ๋องอานชินให้ช่วยเหลือ   1/    
已经是第一章了
บทที่ 69 วอนอ๋องอานชินให้ช่วยเหลือ
บ๗ที่ 69 วอนอ๋องอานชินให้ช่วยเหลือ คราวนี้เสี้ยเฉิงเสี้ยงจึงนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้พาเสี้ยฮ่าวหรานกลับมาด้วย แต่ว่าเขาเองก็ไม่เป็นกังวล ก่อนกล่าว “ให้เขาพักอยู่ในวังหลวงสองสามวัน หมุยเฟยเหนียงเหนียงเองก็ออกจะโปรดเขาอยู่ในที” หมุยเฟยโปรดเสี้ยฮ่าวหรานจริงๆ เมื่อก่อนเสี้ยฮ่าวหรานก็เคยถูกหมุยเฟยเหนียงเหนียงเรียกตัวไปพำนักระยะสั้นในวังหลวง เสี้ยฮ่าวหรานมีนิสัยเรียบง่าย แทบจะไร้คนไม่ชอบเขา นายหญิงแก่ตอบรับ “ก็ดี เด็กคนนี้ยังเป็นที่รักของทุกคนจริงๆ ให้เขาเล่นกับหมุยเฟยเพิ่มอีกสองสามวันเถิด พอดีเชื่อมสัมพันธ์กับองค์ชายสามไปในตัว” หลิงหลงฮูหยินไม่ได้จดจ่ออยู่กับเสี้ยฮ่าวหราน คิดเพียงแต่เรื่องของเฉินเอ้อ นับตั้งแต่คราวก่อนหลังจากที่เฉินเอ้อถูกจัดแจง ก็เคยมาหานาง และเคยข่มขู่นาง โดยบอกว่าให้นางควักเงินออกมาเท่าใดจึงจะสามารถปัดเรื่องดังกล่าวได้ นางมีความเกลียดชังต่อความละโมบของเฉินเอ้อไปเรียบร้อยแล้ว หากไม่ใช่เพื่อ... ดังนั้น ครั้งนี้ประจวบกับเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว นอกจากจะกำจัดหลี่ซื่อแล้ว ยังสามารถฆ่าเฉินเอ้อทิ้งได้อีกด้วย นายหญิงแก่กล่าวกับชุ่ยยุ่น “เจ้านำความไปบอกที่ลานเสี้ยจื้อ เช้าตรู่วันพรุ่งให้หลี่ซื่อมาทำความเคารพต่อข้า” “เจ้าค่ะ” ชุ่ยยุ่นตอบรับ “มารดา นี่ทำไปเพื่ออะไร” เสี้ยเฉิงเสี้ยงถามอย่างไม่เข้าใจ มารดาไม่เต็มใจพบเห็นหลี่ซื่อเสมอมา ขนาดมาทำความเคารพยังไม่ใคร่จะเบิกบานใจเลย นายหญิงแก่มองสำรวจเขาเบาๆ แวบหนึ่ง “นางมาทำความเคารพต่อข้าที่นี่ ย่อมมีการงานให้นางทำเป็นธรรมดา ดังนั้นจึงจะตามตัวได้ว่านางทำอะไรอยู่ที่ไหน เยี่ยงนี้แล้วตอนที่สะใภ้เจ้าวางแผน อำนาจในการรุกก็อยู่ในมือของพวกเรา” เสี้ยเฉิงเสี้ยงตระหนักได้ในทันที “มารดายังคงคิดอย่างรอบคอบเสมอ” นายหญิงแก่แค่นเสียง “มิเช่นนั้นเจ้าคิดว่าแค่นางก็จะสามารถพาหลี่ซื่อเข้าไปได้หรือ เจ้าควรจะใจเย็นๆ หน่อย อย่าได้สับสนใจ จนตัดสินใจพลาด” หลิงหลงฮูหยินปราศจากหนทางชื่นชอบแม่สามีผู้นี้ ตั้งหลายปีขนาดนี้ อันที่จริงรู้สึกเบื่อหน่ายในใจเป็นอย่างยิ่ง ทว่าท่ามกลางจวนแห่งนี้ นางยังคงครองอำนาจสิทธิ์ออกเสียงสูงสุดอยู่ เคราะห์ดี ไม่จำเป็นต้องรอนานเกินไปแล้ว รอนางเป็นแม่ยายขององค์รัชทายาท ทุกอย่างก็จะเปลี่ยงแปลงไปเอง เสี้ยเฉิงเสี้ยงถูกนายหญิงแก่เตือนสติ หัวใจก็ค่อยๆ เริ่มเงียบสงบลงมา ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ทำให้เขาสับสนวุ่นวาย ยามนี้ควรจะตั้งรับมือ ช่วงเวลานี้หวนคิดเรื่องทุกอย่างที่ทำไปในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา รู้ว่าตนเองถูกเพลิงโทสะและความบุ่มบ่ามครอบงำหัวสมอง โชคดีที่วันนี้ไม่ได้เกิดเรื่อง มิเช่นนั้นเขาคงจะติดแงกอยู่ในเงื้อมมือของเสี้ยหลีโม่เข้าให้จริงๆ แล้ว ชุ่ยยุ่นไปยังลานเสี้ยจื่อเพื่อรายงานหลี่ซื่อ วันพรุ่งเป็นต้นไปให้หลี่ซื่อกลับไปถามไถ่สารทุกข์สุขดิบทางฝั่งนายหญิงแก่ดังเดิม หลังจากชุ่ยยุ่นออกไป หลี่ซื่อก็มองยังหลีโม่ กล่าวด้วยสายตาหม่นแสง “ตอนนี้พวกเขากัดเจ้าไม่เข้า ดังนั้นจึงทำได้เพียงต้องลงมือกับข้าแล้ว” หลีโม่เอ่ยอย่างกังวลใจ “มารดา ท่านระวังด้วยนะ” หลี่ซื่อยิ้มบางๆ “วันวานข้าหลบเลี่ยง เพราะคิดเพียงว่าอยากจะใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบ ตอนนี้ ข้าไม่มีลูกสาวแล้ว ข้ายังจะต้องเกรงกลัวอันใดอีก อย่างมากที่สุดก็แค่ชีวิตหนึ่ง ถ้าต้องการนักก็เอาไปเถิด แม้นว่าเป็นเรื่องนี้จริงๆ ล่ะก็” หลี่โม่ได้ฟังหลี่ซื่อพูดเช่นนี้ ก็รู้ว่านางมีวิธีการตอบโต้เรียบร้อยแล้ว อันที่จริง ผู้หญิงที่เฉลียวฉลาดดุจหลี่ซื่อเยี่ยงนี้ หากไม่ตอบโต้ก็นิ่งเฉยเลย แต่เมื่อครั้นตอบโต้ ก็จะทำอย่างนอกเหนือความคาดหมายแน่นอน มีพันธมิตรที่กล้าหาญไม่เกรงกลัวสิ่งใดเยี่ยงนี้ หลีโม่เคราะห์ดียิ่งนัก กลัวที่สุดคือจะพบเจอกับคนที่ไม่กล้าแตะต้องเรื่องอันใดเลย เช่นนั้นนางคงเหนื่อยยิ่งชีพจริงๆ และไม่สามารถจะจัดการเรื่องทุกอย่างได้ครบถ้วนแน่ หลี่ซื่อยืนอยู่ข้างหน้าต่าง มองดูต้นยี่โถที่เพิ่งจะเบ่งบานอยู่ในสวน จู่ๆ นางก็หันหน้ากลับมามอง “ฮ่าวหรานก็ถูกโยนทิ้งอยู่ในวังเช่นนั้นหรือ แว่วๆ ว่าบิดาเจ้าก็กลับมาแล้ว หรือเขาจะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับฮ่าวหรานกระนั้นเชียว?” หลีโม่ยิ้มเย็น “เขาสนใจหรือ ก่อนที่ฮ่าวหรานตาย บนแก้มยังมีรอยตบ เขาพูดกับข้าว่ากลับท่านพ่อมาก เป็นผู้ใดที่ตีเขากัน? เด็กคนหนึ่งเท่านั้นเอง ต้องเพียงนั้นหรือ คร่าวๆ เขาคงยังคิดว่าฮ่าวหรานเล่นสนุกอยู่ในวังกระมัง” “ไม่สามารถปล่อยให้เขาอยู่ในวังอย่างโดดเดี่ยวได้ตลอดนะ หลีโม่ มีวิธีหรือไม่” หลี่ซื่อเอ่ยถาม ก่อนหน้านี้หลีโม่คิดไม่ถึงว่าตอนที่เสี้ยเฉิงเสี้ยงออกจากวังจะหลงลืมเสี้ยฮ่าวหรานได้ เดิมยังคิดว่าเขาพาเสี้ยฮ่าวหรานเข้าวัง จะอย่างไรก็ต้องพาเขาออกมา ไม่เห็นเขาแล้ว ก็คงสั่งคนให้ตามหาตัว กลับคิดไม่ถึง เขาจะกลับมาตัวคนเดียวโทงๆ แบบนี้ หลีโม่ขบคิดเล็กน้อย ก่อนกล่าว “เอาอย่างนี้ ข้าจะไปหาอ๋องซื่อเจิ้งสักหน่อย ดูว่าเขาสามารถช่วยเหลือได้หรือไม่” หลี่ซื่อถอนหายใจเบาๆ “รบกวนเจ้าแล้ว เมื่อก่อนฮ่าวหรานดีกับหลีโม่เรื่อยมา เขาไม่สามารถมองดูเขาล่องลอยในวังลำพังตาปริบๆ ได้หรอก” “เขาตายเพื่อข้า...” น้ำเสียงหลีโม่สะอึกสะอื้นเล็กน้อย เอ่ยต่อไม่ได้ ก่อนหมุนกายพลางกล่าว “ข้าผลัดอาภรณ์และจะเจ้าไปเดี๋ยวนี้” หยางมามาต้องตามหลีโม่ไป แต่ว่าหลีโม่กลับเอ่ยกับนางว่า “จากนี้ตอนที่ข้าออกไป มามาช่วยข้าเฝ้าดูมารดาและเย็นเอ๋อร์ที่นี่ เลี่ยงให้ข้ามีภาระต้องกังวล” “เพียงแต่ยามนี้ฟ้ามืด ท่านไปจวนอ๋องลำพัง เอ่อ...” ประเด็นหลักคือหยางมามากลัวคนจะนินทา อย่างไรเสีย ตอนนี้น้ำสกปรกบนร่างกายนางก็มีเพียงพอแล้ว ถึงแม้หยางมามาไม่ได้ออกปาก แต่ว่าหลีโม่กลับรู้ถึงเรื่องที่นางเป็นกังวลใจ พลางกล่าว “มามาอย่าได้กังวลกับข้าเลย ข้าไม่มีอะไรจะต้องเสียแล้ว” หยางมามาพยักหน้า “เป็นเยี่ยงนั้นจริงๆ ก็ไปเถิด” หลีโม่ออกไปข้างนอกยามวิกาล และใช้รถม้าของจวน คนขับรู้ว่านางไม่เป็นที่โปรดปรานในจวน ดังนั้นจึงไม่เต็มใจส่งหลีโม่ออกไปยามค่ำคืน ทั้งนางยังไม่ได้พาสาวใช้ไปด้วย หลีโม่เองก็มิได้ขอร้องเขา จูงอาชาออกมาจากคอกม้า เขย่งกายขึ้นหลังม้า ก่อนจะควบอาชาออกไป คนขับมองนางอย่างตกใจ คุณหนูใหญ่ขี่ม้าเป็นตั้งแต่เมื่อใดกัน ดูท่วงท่าที่นางควบม้านั้น มีความชำนาญเป็นอย่างมาก หลีโม่มาถึงจวนอ๋องซื่อเจิ้ง ขอเข้าพบซือถูเย้น แต่ว่าคนในจวนกลับแจ้งหลีโม่ว่าซือถูเย้นออกไปข้างนอกจนป่านนี้ยังไม่กลับ หลี่โม่แอบประหลาดใจ ออกไปตั้งแต่เมื่อคืนวาน จนถึงคืนวันนี้ยังไม่กลับมาอีก? นึกถึงตอนที่เขาออกไป จื่นเฉิงเองก็สวมชุดเกราะอยู่... นางถามผู้เฝ้าทวาร “ท่านอ๋องจะกลับมาเมื่อใด” ผู้เฝ้าทวารส่ายหน้า “บอกแน่นอนไม่ได้ แต่ว่าโดยปกติออกไปเยี่ยงนี้ จะใช้เวลาสามหรือห้าวันกว่าจะกลับมา” สามหรือห้าวัน ร่างของฮ่าวหรานคงเหม็นคลุ้งแล้ว พระตำหนักนั้นแทบจะไร้คนพำนักอยู่ โดยทั่วไปไม่อาจมีคนไปยังที่ตรงนั้น รอจนฮ่าวหรานถูกค้นพบ ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่องในอีกกี่วันถัดมาแล้ว หลีโม่ควบม้าจากไป ในใจไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างไรดี ตอนนี้นางไม่สามารถเข้าวังไปนำร่างของฮ่าวหรานกลับมาได้ เรื่องนี้ มีเพียงอ๋องซื่อเจิ้งเท่านั้นที่จะทำได้ แต่ว่า ถ้าหากอ๋องซื่อเจิ้งต้องรอหลังจากนี้อีกหลายวันกว่าจะกลับมา ก็ไม่อาจรอได้เป็นอันขาด เป็นครั้งแรก ที่รู้สึกว่าในยุคสมัยนี้ไร้เครือข่ายบุคคลนั้นเป็นไปไม่ได้เลย นางนึกถึงคนๆ หนึ่ง แต่ว่า นางไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทีอย่างไร ถ้าหากเป็นอย่างที่อ๋องซื่อเจิ้งเล่าขานเช่นนั้นจริงๆ ธุระนี้เขาจะต้องช่วยเหลือได้เป็นแน่ แต่ว่า วันนั้นเห็นว่าเขาดูเหมือนจะไม่ใคร่สนใจมารดานัก แม้แต่ภาพม้วนนั้นยังไม่ได้ดู ทำเพียงเอ่ยถามผิวเผินประโยคเดียวว่านางสบายดีหรือไม่ หลังจากสอบถามคนตลอดทาง ก็มายังหน้าประตูจวนอ๋องอานชิน นางลังเลอยู่สักพัก ไม่รู้ว่าควรเข้าไปหรือไม่ ขณะที่กำลังไม่แน่อกแน่ใจ ก็เห็นว่ามีสองคนควบอาชาละลิ่วมา หลีโม่จูงม้าถอยมายืนอยู่ข้างๆ มองอย่างจดจ้อง เป็นอ๋องอานชินและสตรีนางหนึ่ง สตรีผู้นี้อายุราวๆ ยี่สิบหกยี่สิบเจ็ด ใบหน้าสดใส สวมอาภรณ์สีเขียวปักลวดลายดอกเบญจมาศ ลักษณะมีเสน่ห์อรชร มีภาพลักษณ์เป็นบุคคลชมชอบเหยียดหยามอยู่บ้าง นางและอ๋องอานชินควบม้ามาด้วยกัน ตอนที่ม้าสัญจรมายังเบื้องหน้าหลีโม่ก็หยุดตีบังเหียน สตรีผู้นั้นโบยแส้ม้า หัวม้าเชิดขึ้นส่งเสียงฟู่ หลีโม่นิ่งขรึมไม่ขยับ เงยหน้าขึ้นอย่างนวยนาด 
已经是最新一章了
加载中