บทที่ 70 องค์หญิงใหญ่
1/
บทที่ 70 องค์หญิงใหญ่
พิษรักองค์ชายโฉมงาม
(
)
已经是第一章了
บทที่ 70 องค์หญิงใหญ่
บ๗ที่ 70 องค์หญิงใหญ่ ขณะที่หญิงสาวโบยแส้ม้า นางจงใจเงื้อขึ้นราวกับจะฟาดลงบนเรือนร่างของหลีโม่ บนใบหน้าก็ผุดรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา แต่เห็นว่าหลีโม่แน่นิ่งไม่ขยับอย่างใจเย็น จึงอดเอ่ยอย่างหมดสนุกไม่ได้ “ไม่สนุกเลยสักนิด” อ๋องอานชินเห็นว่าเป็นหลีโม่ จึงพลิกกายลงจากหลังม้า “เจ้ามาแล้ว?” หลีโม่ยอบกาย “เข้าเฝ้าท่านอ๋อง” “มีธุระ?” ผู้เฝ้าทวารก้าวออกมาจูงม้าด้านหน้า อ๋องอานชินลูบหลังม้า ให้เขาจูงออกไป และเอ่ยกับหญิงสาว “ท่านเข้าไปก่อน อีกประเดี๋ยวข้าจะตามไป” หญิงสาวเอ่ยอย่างออดอ้อน “รีบหน่อยเถอะ ชักช้าไปข้าจะฆ่าตายเสีย” อ๋องอานชินมองนางอย่างขุ่นเคืองแวบหนึ่ง “เอาเถิด อีกเดี๋ยวจะไป จะกล้าทอดทิ้งนายหญิงของพวกเราอย่างเย็นชาได้อย่างไรกัน” หญิงสาวแค่นเสียง ก่อนเบือนกายเข้าไปข้างใน อ๋องอานชินเอื้อมมือลูบกระหม่อมเล็กน้อย ก่อนกล่าวกับหลีโม่ “จูงม้าไปไว้ให้ดีก่อน และเข้ามาเถิด” หลีโม่มักจะสงวนท่าทีต่อบุคคลที่ออกศึกสงครามขนาดนี้เสมอ จากนั้นจึงผูกม้าไว้ที่หน้าประตู และตามอ๋องอานชินเข้าไป ผู้ติดตามของอ๋องอานชินกรูเข้ามาต้อนรับ “ท่านอ๋องกลับมาแล้ว?” “ต้าจีน สั่งคนไปต้มชาหลงจิ่งให้คุณหนูใหญ่สักแก้ว” อ๋องอานชินสาวเท้าฉับๆ เข้าไป เรียวปากก็กล่าวบัญชาไปพลาง “ขอรับ” ผู้ติดตามขานรับ เพียงแต่เรียวหน้ากลับงงงวยเล็กน้อย หลีโม่เสมองใบหน้าของผู้ติดตามคนนั้น ในใจก็แอบสงสัย เขางงงวยอะไรกัน หลีโม่ย่อมไม่รู้เป็นธรรมดา หลายปีมานี้จวนอ๋องอานชินไม่ต้อนรับแขก ก็ต่อให้มีคนมาก็ไม่เตรียมชา อ้างตามคำกล่าวของอ๋องอานชิน เมื่อครั้นยกชามาให้ นั่นก็แฝงความหมายว่าคนผู้นี้จะคิดว่าตนเองได้รับการต้อนรับอย่างดี มักจะมารบกวนอยู่เสมอๆ นั่นเอง เข้ามาในโถงหลัก อ๋องอานชินนั่งอยู่บนเก้าอี้ถ้ายซือ ถอดแหวนในนิ้วมือออกมาเช็ดช้าๆ และไม่มองหลีโม่ ก่อนกล่าว “มีธุระอันใด” หลีโม่ลังเลเล็กน้อย ยังไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือไม่ อ๋องอานชินก็เอ่ยคำอีกครั้ง “อย่าพูดส่วนที่ไร้สาระ เลือกแต่ประเด็นหลัก” หลีโม่ฟังถ้อยวาจานี้ ก็เงยหน้าขึ้นสบมองอ๋องอานชินตรงๆ “ท่านอ๋อง หม่อมฉันเข้ามามีเรื่องอยากจะขอวอนหนึ่งอย่าง” “ประโยคนี้คือส่วนไร้สาระ เอาตรงๆ ประเด็น” อ๋องอานชินกล่าวเบาๆ “……” หลีโม่มองทางเขา และทำได้เพียงต้องพูด “เสี้ยฮ่าวหรานน้องชายข้าถูกสังหารในวังหลวง ปัจจุบันร่างอยู่ในวัง เป็นพระตำหนักฝั่งตรงข้ามกับตำหนักซีเวย ไม่ทราบว่าท่านอ๋องสามารถเข้าวังเพื่อนำร่างของน้องชายข้ากลับออกมาได้หรือไม่” “ข้าช่วยเจ้า มีข้อดีอะไรบ้าง” อ๋องอานชินเงยหน้าขึ้นขวับ สายตาเหมือนดาบคมกรีดแทงเข้ามาก็ไม่ปาน เขาไม่มีความสนใจต่อการตายของเสี้ยฮ่าวหรานเลยสักนิด หลีโม่นิ่งงันเล็กน้อย ผายมือ “หม่อมฉันไม่มีอะไรเลย” กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่มีอะไรสามารถให้เขาได้เลย อ๋องอานชินตอบรับหนึ่งคำ “ทำไมจึงตาย” ผู้ติดตามยกชามาจากนั้นก็ยืนตรงอยู่ด้านข้าง หลีโม่พูดสั้นๆ “ถูกองครักษ์ในวังฆ่าผิดตัว” อ๋องอานชินหัวเราะเย็นชา “ปัจจุบันนี้ในวังล้วนฆ่าคนได้ตามอำเภอใจแล้ว? พอฮ่องเต้ประชวร วังหลังก็เละเทะแล้วสินะ” หลีโม่ไม่เอ่ยคำ ทำเพียงมองอ๋องอานชินด้วยสายตาแฝงความวิงวอนแรงกล้า อ๋องอานชินดื่มชาหนึ่งอึก ก่อนกล่าว “ดี ครั้งนี้ข้าจะช่วยเจ้า เจ้ากลับไปเถิด” เขายกมือ เรียกผู้ติดตามมา “ต้าจีน เตรียมรถม้า” ผู้ติดตามลังเลอยู่ครู่ ก่อนเอ่ย “ท่านอ๋อง นี่เป็นเรื่องของจวนเฉิงเสี้ยง ท่านแทรกมือค่อนข้างจะไม่ดี” อ๋องอานชินลุกขึ้นยืน นิ่งงันเล็กน้อย ก่อนมองผู้ติดตาม “เรื่องในครอบครัวอันที่จริงข้าไม่ควรยุ่ง ใช่กระมัง?” ผู้ติดตามกล่าว “ใช่แล้ว อีกอย่างเสี้ยเฉิงเสี้ยงเพิ่งจะมาวิวาทกับท่านรอบหนึ่ง แม้นท่านแทรกมือในคราวนี้ คงไม่ดีกระมัง? ว่ากันในแง่ของตรรกะ เรื่องพรรค์นี้ ไม่ควรถูกควบคุมในเวลาไม่กี่วินาที” อ๋องอานชินพยักหน้า “นี่ก็คือตรรกะประการฉะนี้ อันที่จริงข้าไม่ควรยุ่งเกี่ยวเรื่องนี้ ทั้งลูกชายของพูดอื่นได้ตายลง แม้นข้ายื่นมือเข้าแทรก จะต้องก่อเกิดความสงสัยอีกครั้งเป็นแน่” “ใช่ขอรับ” ผู้ติดตามปรนลมหายใจหนึ่งเฮือก ถึงแม้จะบอกว่าก็ไม่ได้กลัวเสี้ยเฉิงเสี้ยง แต่ว่า ไม่จำเป็นต้องทำสิ่งนี้เลยนี่นา หลีโม่ลนลาน กำลังหมายจะเอ่ยคำ กลับได้ยินอ๋องอานชินพูดกับผู้ติดตาม “เจ้ายังไม่รีบไปเตรียมรถม้า?” “ท่านอ๋อง...” ผู้ติดตามมองเขาด้วยความชะงักงัน ไม่ใช่ว่าเขารู้ตรรกะข้อนี้หรือ? อ๋องอานชินสาวเท้าเดินออกไป “นี่ก็คือตรรกะประการฉะนี้ แต่ข้าไม่เคยเอ่ยถึงตรรกะแต่ไรมา” ผู้ติดตามตามออกไป “แต่ว่า เสี้ยหลีโม่คนนี้ไม่ได้ให้อะไรแก่ท่านเลย ท่านก็จะช่วยนางอย่างเต็มอกเต็มใจเช่นนี้?” “เจ้าไม่ได้ยินนางพูดว่า นางไม่มีอะไรเลยหรือ” “แต่...”ผู้ติดตามไม่เข้าใจเขาเลยจริงๆ เมื่อก่อนมีคนมาร้องขอความช่วยเหลือ แต่เขาไม่เคยให้พบเลยสักครั้ง ต่อให้เขาจะมาพร้อมกล่องเพชรนิลจินดา ก็ไม่แม้แต่จะชายตามองสักแวบด้วยซ้ำ “พูดพล่ามอะไรเล่า นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีออกหรอกหรือ ข้าช่วยเหลือคนอย่างเบิกบานใจเสมอมา” อ๋องอานชินกล่าวอย่างภาคภูมิใจ ผู้ติดตามต้าจีนฟึดฟัด เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นด้วย หลีโม่ถูกทิ้งไว้อยู่ในจวนอ๋องอานชินเช่นนี้ แม้แต่ประโยคเดียวนางยังแทรกไม่ได้ มองยังแผ่นหลังของอ๋อนอานซินนิ่งทื่อ นางออกไปยืนอยู่หน้าเฉลียง ไม่รู้ว่าควรจากหรือว่าอยู่ต่อดี ในเฉลียงทางเดินมีเงาร่างหนึ่งเดินออกมา เรือนกายสวมอาภรณ์สีแดงสด แดงพราวจนกรีดตา ราวกับเจ้าสาวก็ไม่ปาน เป็นหญิงสาวที่พบเจอเมื่อครู่นั่นเอง นางผลัดอาภรณ์ทั้งชุด สีสันอันแดงสดเขียวสดปานฉะนี้ ทำให้หลีโม่รู้สึกถึงความมีชีวิตชีวามันช่างดีจริงๆ อย่างน้อย ก็เป็นอาหารอันรื่นรมย์ทางใจ “เจ้ามีนามว่าอะไร” หญิงสาวมองสำรวจนางอย่างไม่กระมิดกระเมี้ยนเลยสักนิด และเอ่ยถามอย่างไม่เกรงใจ ราวกับว่านางเคยชินกับชี้นิ้วออกคำสั่ง หลังจากถามหลีโม่แล้ว ก็ตรงดิ่งเข้าไปนั่งลง ท่วงท่าเอาแต่ใจ “ข้าชื่อเสี้ยหลีโม่” หลีโม่ไม่รู้ว่าคนเบื้องหน้าผู้นี้คือใครกัน แต่สามารถมองออกจากความเย่อหยิ่งและเครื่องอาภรณ์ ว่าจะต้องเป็นบุคคลที่สูงศักดิ์และร่ำรวย นางปรากฏในจวนอ๋องอานชิน เป็นไปได้ไหมว่าจะเป็นคนที่อ๋องอานชินชื่นชอบ? ก็ไม่น่าแปลกใจนัก อ๋องอานชินเองก็อยู่ในวัยสามสิบกว่าๆ ย่างสี่สิบแล้ว ก็ควรจะสู่ขอภรรยาได้แล้ว ในส่วนที่เคยเอ่ยสัตย์สาบานว่าจะไม่แต่งงานจนบั้นปลายชีวิตนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นถ้อยคำคึกคะนองเมื่อครั้นหนุ่มสาว หลังจากโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็มักจะรู้สึกว่าตัวเองโง่งมนัก หลีโม่ไม่เคยเชื่อมั่นใจความรักที่ไม่มั่นคงอะไรเช่นนี้มาก่อนเลย “เสี้ยหลีโม่? ก็คือคนที่ถอนงานแต่งคนนั้น?” บัดนั้นหญิงสาวมองนางอย่างใคร่รู้ และเอ่ยพลางทอดถอนใจ “นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะดูดีขนาดนี้” หลีโม่ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เดิมคิดว่าหลังจากนางรู้ว่าตนเองคือเสี้ยหลีโม่ที่ที่ถอนงานวิวาห์คนนั้นแล้วจะดูแคลนนางอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่าจะมองนางด้วยสายตาเยินยอ ทอประกายตาอันนั้น ถ้าหากไม่ได้ตาฝาด คือความเลื่อมใส? “ก็คือเสี้ยหลีโม่ที่ถูกผู้คนทอดทิ้งเพราะถอนงานแต่งคนนั้นนั่นเอง” หลีโม่กล่าวใส่ความตนเอง หญิงสาวยกมือขึ้น “คนปากเน่าเหล่านั้น สนใจว่าพวกเขาจะพูดจากระตุ้นอะไรกัน ตัวเองมีความสุขก็พอแล้ว” บัดนั้นหลีโม่ก็ชอบหญิงสาวผู้นี้เข้าให้แล้ว “ขอถามท่านคือ?” หญิงสาวดึงมือของนางเข้าไป “ข้าชื่อซือถูจิ้ง เจ้าเรียกข้าว่าจิ้งจิ้งก็ได้” หลีโม่ร้องอ้อ มองนางอย่างพิศวง จากนั้นก็รีบคารวะอย่างรีบร้อน “หม่อมฉันคารวะองค์หญิงเจิ้นโก๋” ถึงแม้หลีโม่จะไม่ค่อยเด่นชัดในเรื่องของประวัติศาสตร์ยุคนี้ แต่ว่า ในหัวสมองกลับยังมีข้อมูลเกี่ยวกับองค์หญิงเจิ้นโก๋ผู้นี้อยู่ เมื่อครู่ได้ยินอ๋องอานชินเรียกนางว่านายหญิง เดิมคิดว่าเป็นการหยอกล้อ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องจริง ซือถูจิ้ง ชื่อนี้ทำให้ผู้คนที่ได้ฟังอยากจะขำพรืด แต่ว่า แต่ว่าฮู่ยจู่มีความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ต่อบุตรีผู้นี้ยิ่งนัก แค่หวังว่านางจะเติบโตอย่างสงบ ฮู่ยจู่ เป็นพระอัยกาของซือถูเย้น ฮ่องเต้ผู้ที่ได้สวรรคตสู่แดนนิพพานแล้ว ได้ให้กำเนิดซือถูจิ้งในช่วงเจ็ดสิบกว่าพรรษาก่อนที่จะทรุดหนักสวรรคตหนึ่งปี ราวกับได้รับสิ่งของล้ำค้า ยามประชวรนั้นก็ราวกับดีขึ้นกว่าครึ่งแล้ว การให้กำเนิดชีวิตใหม่ ทำให้เขาฝืนหยัดได้นานถึงครึ่งปีก่อนจะจากไป ก่อนที่ฮู่ยจู่จะสิ้นพระชนม์ นอกจากมอบกิจงานการหลวงแล้ว ยังกล่าวถึงองค์หญิงน้อย...ทารกแบเบาะของเขาผู้นี้โดยเฉพาะ เขาทิ้งคำสั่งเสีย บุคคลใดไม่อาจล้ำกรายชีวิตของซือถูจิ้งได้ หลังจากนางเติบโตแล้วอยากใช้ชีวิตเช่นไร ก็จงใช้ตามใจชอบ หลังจากฮู่ยจู่สิ้นพระชนม์ พระเชษฐาองค์ชายใหญ่ของซือถูจิ้งซึ่งก็คือตำแหน่งฮ่องเต้องค์ก่อนในปัจจุบัน ได้สถาปนาซือถูจิ้งเป็นองค์หญิงเจิ้นโก๋ ต่อมาฮ่องเต้องค์ก่อนได้สิ้นพระชนม์ จนมาถึงตำแหน่งฮ่องเต้ในปัจจุบัน ปัจจุบันฮ่องเต้ที่ประชวรหนัก เป็นหลานชายของซือถูกจิ้ง หลังจากเขาครองบัลลังก์ ก็สถาปนาซือถูจิ้งเป็นองค์หญิงใหญ่เจิ้นโก๋ ความซับซ้อนวุ่นวายของความสัมพันธ์ในราชวงศ์เช่นนี้ หลีโม่ไม่ใคร่แจ้งใจเท่าใดนักจริงๆ ก็เช่นเดียวกับซือถูเย้นอันที่จริงเพิ่งจะยี่สิบกว่าปี แก่กว่าอ๋องเหลียงและรัชทายาทไม่กี่ปีเท่านั้น แต่กลับมีศักดิ์เป็นเสด็จลุง องค์หญิงใหญ่ท่านนี้ เป็นพระมาตุจฉาของซือถูเย้น แต่แก่กว่าซือถูเย้นเพียงสองปีเท่านั้น ศักดิ์ของพระมาตุจฉา กลับอ่อนกว่าฮ่องเต้ในปัจจุบันยี่สิบกว่าปี และอ่อนกว่าอ๋องอานชินตั้งสิบกว่าปีเชียว
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
บทที่ 70 องค์หญิงใหญ่
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A