บทที่ 84 พาตัวหลีโม่ไป   1/    
已经是第一章了
บทที่ 84 พาตัวหลีโม่ไป
บ๗ที่ 84 พาตัวหลีโม่ไป ไม่กุ้ยเฟยที่เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ก็พลันเดินสาวเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว ผ่านไปชั่วขณะนางก็เดินกลับมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น ข่าวลือเรื่องอาการทรุดหนักของซือถูเย้นก็แพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว ถึงอ๋องอานชินจะพยายามคิดหาทางปิดข่าวยังไง ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะไท่เฟยไม่ให้ความร่วมมือ กลังจากที่หมอหลวงบอกไม่มีทางรักษาแล้ว นางก็พลันร้องแหกปากโวยวายเรียกนักพรตเข้ามาพบเพื่อหาทางรักษา เซียวโธ่เองก็สามารถสืบประวัติของนักพรตผู้นี้ได้แล้ว แล้วก็พลันสั่งให้คนรีบเข้าไปพบอ๋องอานชินทันที เพราะว่าไท่เฟยได้ออกคำสั่งเอาไว้ว่าห้ามเขาเข้าไปใกล้ตำหนักอ๋องแม้แต่ก้าวเดียว อ๋องอานชินออกมาจากตำหนักซื่อเจิ้ง รถม้าของเซียวโธ่ก็มารอที่ปากซอยแล้ว เขาขึ้นไปบนรถม้า แล้วดึงม่านลงทันที แล้วเซียวโธ่ก็พูดขึ้นอย่างรีบร้อน:“ข้าได้สืบอย่างละเอียดแล้ว นักพรตผู้นี้มีชื่อว่า เถาเด๋อ เป็นเจ้าสำนักวัดเต๋าฝูเต๋อ ตอนที่ท่านอ๋องออกไปดูแลแคว้น เขาก็เข้ามาตีสนิทกับไท่เฟย ตอนที่ฮ่องเต้อาการทรุดหนัก ไท่เฟยเคยให้เขาเข้าไปดูอาการฮ่องเต้ แล้วก็มีข่าวเล็ดรอดออกมาว่า กุ้ยไท่เฟยบอกให้เถาเต๋อทำพิธี เพื่อให้ฮ่องเต้อาการแย่ลง แล้วเพื่อเสริมบารมีให้กับท่านอ๋อง แล้วเขาก็จะสามารถมีวันที่เงยหน้าขึ้นมาได้ เถาเต๋อผู้นั้นจึงได้เริ่มทำพิธีถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน ไม่คาดคิดว่าหลังจากนั้นไม่กีวัน ฮ่องเต้ที่อาการหนักมากกลับสั่งให้ท่านอ๋องควบคุมแคว้น กุ้ยไท่เฟยถึงได้เชื่อนักพรตผู้นี้โดยไม่มีสงสัย ตอนที่ท่านอ๋องเกิดเรื่องขึ้น เถาเต๋อก็อยู่ในตำหนักอ๋องพอดี เพราะกุ้ยไท่เฟยได้เชิญเขามาเทศนา” อ๋องอานชินสะดุ้งเฮือก ถ้าหากว่าที่พูดมานี้เป็นความจริง งั้นก็แปลว่ากุ้ยไท่เฟยทำพิธีไสยศาสตร์ใส่ฮ่องเต้อย่างนั้นหรือ?นี่เป็นความผิดสูงสุดที่ต้องโดนประหารเลยนะ อ๋องอานชินก็พลันนึกถึงท่าทางที่กุ้ยไท่เฟยมีต่อฮองไทเฮาแล้ว ดูเหมือนว่านางได้วางแผนให้อาเย้นแย่งชิงบัลลังค์เอาไว้แล้ว เพียงแต่อาเย้นไม่รู้ก็เท่านั้น ถ้าหากว่าคิดไม่ผิดละก็ นอกจากเรื่องการทำพิธีนี้แล้ว นางต้องมีแผนการอย่างอื่นอีกแน่นอน “คนผู้นี้ใกล้ชิดกับใครมากที่สุดหรือ?”อ๋องอานชินถามขึ้น “ไม่เคยเข้าไปใกล้กับองค์รัชทายาทมาก่อน แต่ว่ามีคนเคยเห็นเหลียงฉีลูกชายคนโตของใต้เท้าเหลียงไถ้ฝู้เคยไปที่วัดเต๋าฝูเต๋อครั้งนึง แต่ว่าไม่มีหลักฐานที่แสดงว่าเถาเต๋อเป็นคนขององค์รัชทายาท” อ๋องอานชินส่ายหัวแล้วพูดขึ้น:“ข้าคิดว่า เถาเต๋อผู้นี้ต้องเป็นคนของใต้เท้าเหลียงไถ้ฝู้ ไม่มีทางที่จะบังเอิญที่เขาจะมาเป็นแขกในตำหนักอ๋องพอดีขนาดนั้น อีกอย่างจื่นเฉิงฮูหยินทำไมอยู่ดีๆถึงได้ไปหากุ้ยไท่เฟยที่ตำหนักได้?ภาระหน้าที่ของจื่นเฉิงก็มีมากมาย บางครั้งออกไปทำงานเป็นเดือนก็ไม่กลับมา ก็ไม่เคยเห็นนางไปหาไท่กุ้ยเฟยเลย และที่บังเอิญไปกว่านั้นก็คือหมอของร้านยาฮู่ยหมินก็ดันอยู่ในตำหนักนั้นพอดี ถ้าบังเอิญแค่ครั้งเดียวก็คือความบังเอิญ ครั้งที่สองก็อาจจะบังเอิญ แต่ว่าเรื่องบังอัญหลายอย่างเกิดขึ้นพร้อมกันแบบนี้ มันก็ไม่น่าจะใช่เรื่องบังเอิญแล้วล่ะ แต่เป็นการจงใจของใครบางคนมากกว่า” “ข้าก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แล้วเสี้ยหลีโม่ล่ะ?ได้เจอนางสักครั้งหรือไม่?”เซียวโธ่ถามขึ้น อ๋องอานชินส่ายหน้า:“ไม่มีทางได้พบเลย ไท่เฟยไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปพบนางเลย ไม่ยอมให้ใครเข้าไปใกล้เลยด้วย” “บุกเข้าไปก็ไม่ได้หรือ?”เซียวโธ่พูดอย่างร้อนใจ“ถ้ายังปล่อยให้นักพรตคนนั้นรักษาต่อไปก็ ท่านอ๋องต้องไม่รอดแน่ๆ” “ข้าเองก็คิดว่าจะใช้ไม้แข็งแล้ว”อ๋องอานชินเปิดม่านออกแล้วลงจากรถม้าไป สีหน้าก็ไม่แคร์อะไรทั้งนั้น แล้วเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว เซียวโธ่ร้อนใจอย่างมาก แต่ว่าด้านหน้าประตูมีคนของไท่เฟยคอยเฝ้าอยู่ โดยที่เขาไม่สามารถจะเข้าไปได้เลย พอนึกถึงตอนที่ไอ้นักพรตลวงโลกบอกว่าเขาเป็นคนที่ทำให้ท่านอ๋องดวงไม่ดีแล้ว ก็พลันโมโหขึ้นมาทันที อยากไปตัดหัวมันมาทำเป็นลูกบอลเตะเล่นซะตอนนี้ อยู่ดีก็มีรถม้าคันเล็กออกมาจากด้านหลังตำหนัก บนรถม้ามีคนนั่งอยู่สามคน คนแรกคือคนควบมาอีกสองคนนั้นเป็นทหารคุ้มกัน คนควบม้านั้นมีท่าทางลับๆล่อๆ หลังจากที่มองดูรอบด้านแล้วก็พลันควบรถม้าออกไปอย่างรวดเร็ว เซียวโธ๋มองเห็นแล้วดูน่าสงสัย แต่เขาก็ไม่ต้องเดาเลยว่า ข้างบนรถม้านั้นต้องเป็นหลีโม่อย่างแน่นอน นางถูกกักตัวที่คุกใต้ดินมาถึงสองวัน คุกที่อับชื้นไม่มีแสงสว่างเล็ดลอดเข้าไปได้เลย จนนางไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ จนนางลืมที่ต้องกดเอากำไลออกไปชาร์จแบต จนตอนนี้แบตก็เกือบจะไม่เหลือแล้ว ร่างของนางถูกมัดเอาไว้ รวมถึงปกก็ถูกปิดเอาไว้อย่างแน่น แล้วก็ถูกคนโยนขึ้นไปบนรถม้า แค่นางใช้หัวเข่าคิดก็รู้ว่าเป็นไท่เฟยที่ต้องการฆ่านางปิดปาก หลังจากที่รถม้าวิ่งออกไปจากประตูด้านข้างแล้ว นางก็มองเห็นเซียวโธ่จากรูของผ้าม่าน แต่นางไม่สามารถร้องออกมาได้ เรื่องราวเริ่มขับขัน นางพยายามงอตัว แล้วพยายามยื่นสองเท้าที่ถูกมัดเอาไว้ออกไปตรงผ้าม่าน แล้วพยายามถอดรองเท้าออกเพื่อให้หล่นลงพื้นดิน เพื่อจะได้ทำให้เซียวโธ่เห็นเข้า แต่ตอนที่รองเท้าหล่นงมานั้นเป็นตอนที่เซียวโธ่เอาผ้าม่านลงทันที แล้วกลับเข้ามาในรถม้า หลีโม่เห็นแสงแดดจากด้านนอกก็พยายามใช้เท้าเขี่ยผ้าม่านออก เพื่อให้กำไลได้รับแสงแดด แล้วเรี่ยวแรงก็จะมีเยอะขึ้น แต่ว่าเพียงแค่ชั่วขณะนางก็ถูกทหารจับได้ แล้วก็พลันเข้ามาในรถม้าทันที แล้วก็ดึงผมนางลากเข้ามาทันที อีกมือนึงก็ทุบไปที่ศีรษะของนาง พลันพูดขึ้นอย่างโมโห:“อยากร้องให้คนช่วยงั้นหรือ?อยากตายเร็วๆใช่มั้ย?” หลีโม่ที่ถูกขังมาสองวัน ข้าวเม็ดนึงก็ไม่ได้ตกถึงท้องเลย ร่างกายนางตอนนี้ก็เริ่มอ่อนแออย่างมาก โดนทุบแค่ครั้งเดียว นางก็หมดสติไปทันที อ๋องอานชินพยายามบุกเข้าไปช่วยนาง แต่กลับพบว่าหลีโม่ได้ถูกคนนำตัวไปแล้ว เขาก็เดินออกมาจากตำหนักอย่างรวดเร็ว แล้วพลันเปิดผ้าม่านรถม้าของเซียวโธ่ออก“หลีโม่ถูกคนนำตัวไปแล้ว ต้องถูกไท่เฟยเอาตัวไปฆ่าปิดปากอย่างแน่นอน” เซียวโธ่ตกใจจนสะดุ้ง“เมื่อกี้มีรถม้าออกมา ไม่รู้ว่าเป็นคนที่พาตัวนางไปหรือไม่!” อ๋องอานชินหันไปมองทันที แล้วเห็นบางอย่างอยู่บนพื้น เขาก็เข้าไปดูทันที เซียวโธ่ก็ออกไปดูเหมือนกัน แล้วพูดขึ้นอย่างตกใจ:“รองเท้าปักลาย?หน้าประตูของจวนซื่อเจิ้งจะมีรองเท้าแบบนี้ได้อย่างไรกัน?” อ๋องอานชินพูดขึ้นเสียงหนักแน่น:“หลีโม่” เซียวโธ่พูดขึ้นมาอย่างตกใจ“ไม่ดีแล้ว!”เข้ารีบตรงดิ่งกลับไปขึ้นรถม้าทันที แล้วก็พลันหันไปสั่งคนควบม้า:“ออกรถ ตามรถม้าคันนั้นไป” อ๋องอานชินก็พลันอยากจะตามมา เซียวโธ่จึงเปิดม่านออกมาแล้วพูดขึ้น“เจ้ากลับไปคอยดูแลท่านอ๋อง แล้วดูแลเขาอย่างสุดความสามารถ” อ๋องอานชินหยุดลงทันที แล้วดวงตาก็เปล่งความโมโหออกมาทันที พลันกำหมัดแน่น แล้วเดินกลับเข้าไปในตำหนักทันที พึ่งจะเดินเข้ามาด้านในตำหนัก ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของไท่เฟยที่เหมือนกับจะขาดใจ อ๋องอานชินนิ่งไปทันทีแล้วรีบเดินตรงดิ่งเข้าไป มองเห็นหย้วนพ่านกับหมอหลวงที่นั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น กุ้ยไท่เฟยก็จับตัวของซือถูเย้นเอาไว้ข้างๆ แล้วร้องไห้ออกมาอย่างหนัก ซือถูจิ้งก็ยืนร้อไห้อยู่ด้านข้าง พอเห็นอ๋องอานชินเดินเข้า นางก็พลันพุ่งตัวเข้ามากอดอ๋องอานชินทันที“น้องเจ็ดตายแล้ว” อ๋องอานชินก็พลันตัวอ๋อนลงทันที แล้วก็พลันหันไปมองซือถูเย้นที่นอนอยู่บนเตียงใบหน้าซีดเซียว เรี่ยวแรงที่หายไปหมดก็พลันส่งไปถึงหัวใจ เขาทำอะไรผิดไป ก็เหมือนกับตอนนั้นที่เขาเองก็ได้แค่มองเสด็จพ่อของเขาจากไปโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย เขามันก็เป็นได้แค่คนที่ไม่มีประโยชน์อะไรคนนึงก็เท่านั้น เขาหลับตาลงทันที พอเริ่มอาการดีขึ้นมานิดหน่อยถึงลืมตาขึ้น แล้วพลันหันไปรับสั่ง“ห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ บอกแค่ว่าท่านอ๋องกำลังรักษาตัวอยู่ ห้านคนในตำหนักออกไปข้างนอก หมอหลวงก็ห้ามออกไป เรื่องภายในตำหนักนี้ นอกจากห้ามเอาออกไปพูดข้างนอกแล้ว คนด้านในตำหนักก็ห้ามออกไปเช่นเดียวกัน” แล้วเขาก็พลันหันไปมองหานักพรตผู้นั้น แต่หาไม่เจอ พลันพูดขึ้นอย่างโมโห:“ทหาร ไปจับตัวนักพรตมาให้ข้า” ทหารรับคำสั่งแล้วรีบออกไปตามหาเขาทันที หลังจากที่รับสั่งเสร็จเข้าก็เดินเข้ามาจับแขนกุ้ยไท่เฟยเอาไว้ทันที แล้วก็จ้องมองนางอย่างทรมาน พลันพูดขึ้น:“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ต้องมาเสียใจ กุ้ยไท่เฟยโปรดระงับความโศกเศร้าเอาไว้ก่อน” ในขณะที่กุ้ยไท่เฟยจมกับความโศกเศร้า ก็พลันแสดงความเคียดแค้นและโทษคนอื่นทันที กุ้ยไท้เฟยกำหมัดแน่นแล้วชกเข้าไปที่อ๋องอานชินทันทีแล้วพลันพูดขึ้น:“เป็นเพราะเจ้า ทำไมพวกเจ้าไม่บอกตระกูลอายให้เร็วกว่านี้?ทำไมถึงได้ให้เสี้ยหลีโม่เป็นคนรักษาเขา?นั่นมันเป็นคนที่ทำร้ายคนอื่นชัดๆ เป็นเพราะพวกเจ้าทำร้ายอาเย้นจนต้องมาตายแบบนี้” อ๋องอานชินกำมือนางเอาไว้แน่น ตอนแรกอยากจะจัดการกุ้ยไท่เฟย แต่พอเห็นหน้าของนางที่เต็มไปด้วยน้ำตา จนไม่เป็นผู้เป็นคน ก็เลยทำให้อดทนเอาไว้ได้ แล้วจึงปล่อยนาง พลันเดินออกไปทันที ถ้าหากว่าวันนี้เดาไม่ผิดละก็ ตอนเย็นจะต้องมีคนมาถามไถ่ข่าวคราวอย่างแน่นอน ต้องจับตัวนักพรตจอมหลอกลวงคนนั้นเอาไว้ โดยที่ไม่ให้มันได้สามารถปล่อยข่าวออกไปได้ และยิ่งไปกว่านั้นถ้าเดาไม่ผิดละก็ คนๆนั้นจะต้องเป็นคนของใต้เท้าเหลียงไถ้ฝู้อย่างแน่นอน เรื่องที่อาเย้นเสีย ไม่สามารถแพร่งพรายออกไปได้ ไม่อย่างนั้นเหลียงไถ้ฝู้ต้องบีบบังคับองค์รัชทายาทอย่าแน่นอน องค์รัชทายาทไม่ได้น่ากลัวอะไร แต่บุคคลที่น่ากลัวจริงๆแล้วคือ เหลียงไถ้ฝู้ แค่องค์รัชทายาทขึ้นครองราช แคว้นนี้ต้องตกอยู่ในกำมือของเหลียงไถ้ฝู้อย่างแน่นอน
已经是最新一章了
加载中