ตอนที่ 103 ประกาศเรื่องน่ายินดี   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 103 ประกาศเรื่องน่ายินดี
ต๭นที่ 103 ประกาศเรื่องน่ายินดี ร่างกายของซือถูเย้นแข็งทื่อไปราว ๆ 15 นาที ย่อมไม่ใช่เพราะการสัมผัสแนบชิดของแม่นางแต่อย่างใด เพียงแต่ นางคลอเคลียทรวงอกของเขาราวกับแมวน้อย ทำให้จิตใจของเขาเต้นระนาวไปราว ๆ 15 นาที แต่ว่า ความรู้สึกนี้ นำมาซึ่งความรู้สึกสึกสบายใจอย่างมหัศจรรย์ ในตอนที่ยื่นมือออกไป ทำท่างจะกอดนางกลับนั้น นางกลับผละออก จากนั้นก็คลำร่างกายของตัวเอง สุดท้ายก็ทำได้เพียงแค่ล้วงไปหยิบที่ปักเข็มชิ้นหนึ่งและผ้าเช็ดหน้าออกมาผืนหนึ่งออกมาจากกระเป๋า อีกทั้งยังเป็นผ้าเช็ดหน้าที่สกปรกมากด้วย นางรู้สึกลำบากใจ พร้อมทั้งลูบไล้ปิ่นเกล้ามวยนั้นอีกครั้ง เพียงแต่ว่าหากดึงปิ่นปักผมนั้นลงมา ผมก็จะถูกปล่อยลงมา แต่ว่า นางก็ยังดึงลงมา แล้วปักมันลงบนที่ปักเข้ม จากนั้นก็นำผ้าเช็ดหน้าและปิ่นปักผมนั้นวางลงบนฝ่ามือ “ท่านลองดูว่าต้องการอันไหน?” ซือถูเย้นมองไปทางสิ่งของของนาง ก่อนจะเห็นกำไลสะกดจิต “กำไลนี้........” “นี่ไม่ได้เพคะ กำไลวงนี้ไม่ได้ มันสำคัญมาก คุ้มค่ามากพอให้ระลึกถึง” หลี่โม่ตื่นตกใจอย่างมาก จากนั้นก็รีบนำมือนั้นซ่อนทันที ซือถูเย้นรู้ว่ากำไลวางนี้พิเศษมาก เพราะเคยเห็นตอนที่นางทำการฝังเข็มให้แก่อ๋องเหลียง นางใช้กำไลต้านทานไว้ “ข้าจะบอกว่า กำไลวงนี้น่าเกลียดมาก ข้าไม่อยากได้หรอก” เขาหยิบปิ่นปักผมขึ้นมา เพื่อเกล้าผมของหลี่โม่ขึ้นมา ผมทรงนี้น่าเกลียดมาก แต่สามารถก็ทำให้มั่นคงได้ “เจ้าไม่ต้องให้ของขวัญอะไรแก่เปิ่นหวังหรอก หากอยากจะให้ ก็ให้แค่ถุงหอมที่เย็บปักถักลายก็พอ” ซื้อยังเร็วกว่าเสียอีก นางไม่รู้เรื่องเย็บปักถักร้อย แต่ ก็ไม่ยากไปสำหรับนาง เมื่อกลับไปก็แค่บอกให้หยางมามาหรือไม่ก็เย็นเอ๋อร์มาช่วยก็ได้แล้ว บรรยากาศภายในห้อง ได้แปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่นมากยิ่งขึ้น หลี่โม่รู้สึกได้ถึงความสบายจากการเคลื่อนไหวอย่างมุทะลุดุดันของเขา ถึงแม้ว่าในตอนที่ช่วยนางเกล้าผมขึ้นมา จะดึงลูกผมหลายสิบเส้นจนขาด ส่งผลให้นางรู้สึกเจ็บจนต้องกัดฟันกรอดก็ตาม แต่ก็ยังทำให้นางรู้สึกดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นใบหน้าของเขาที่แอบแสดงออกถึงความอักอ่วนในตอนดึงเส้นผมของนาง เมื่อเกล้าผมเสร็จ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู “เกาะ เกาะ เกาะ” ดังขึ้น หลังจากนั้นเสียงที่ดูร้อนใจของเซี่ยวโธ่ก็ดังขึ้นว่า “พวกท่านคุยอะไรกัน? คุยเสร็จแล้วหรือไม่? เราต้องเดินทางกันแล้ว” กริชในมือของหลี่โม่ที่ถูกดึงออกมาจากฝัก ก็ได้รีบเก็บกลับเข้าไปอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เพื่อยับยั้งไม่ให้พุ่งเข้าไปทำร้ายเซี่ยวโธ่ ก่อนจะเดินไปเปิดประตู แล้วพูดขึ้นด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกใด ๆว่า: “ออกเดินทางได้แล้ว” เซี่ยวโธ่มองไปทางกริชที่อยู่มือของนาง จึงได้อุทานขึ้นมาเสียงหนึ่ง จากนั้นก็มองไปทางซือถูเย้นด้วยความประหลาดใจ ซือถูเย้นยืนขึ้นและพูดขึ้นว่า :“ไป!” ใบหน้าที่ไม่ได้แสดงออกถึงความรู้สึกใด ๆ แม้กระทั้งสายตาก็ยังไม่มองมาทางเซี่ยวโธ่แต่อย่างใด ปล่อยให้เซี่ยวโธ่จ้องเขม็งไปทางเขาด้วยแววตาสงสัย เซี่ยวโธ่กลับส่งเสียงกระซุบกระซิบอย่างเงียบๆ กริชด้ามนี้เป็นของที่ฮ่องเต้ส่งมอบให้แก่เขา ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นสมบัติล้ำค่ามาโดยตลอด ไม่ให้เปรอะเปื้อนแม้แต่เลือดสักหยด แต่ตอนนี้กลับส่งมอบให้แก่เสี้ยหลี่โม่อย่างนั้นหรือ? แต่ทุกอย่างเท่ากับการช่วยชีวิต ถึงจะส่งมอบกริชให้ก็ไร้ประโยชน์ เซี่ยวโธ่คิดเช่นนี้ ณ งานเลี้ยงยามค่ำคืนในวัง ครั้งนี้เฉิงเสี้ยงเสี้ยเอ้อระเหยลอยชายไปมา อีกทั้งเขายังพาหลี่ซื่อและหลิงหลงฮูหยินเข้าร่วมงานเลี้ยงด้วย คืนนี้หลี่ซื่อแต่งตัวมาด้วยชุดกระโปรงทรงจีบสีแดงสดที่สวมใส่ขนาดเข้ากับตัวพอดี ใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยสีแดงไม่ได้แสดงสีหน้าตื่นเต้นดีใจแต่อย่างใด อีกทั้งยังไม่ได้สวมใส่เครื่องประดับมากมายอีกด้วย บนใบหูสวมใส่แค่เพียงเครื่องประดับหยกสีเขียว ซึ่งมองออกอย่างชัดเจนว่ามันไม่ได้มีมูลค่ามากเท่าไหร่นัก นาง หลิงหลงฮูหยินและเสี้ยโล่เยว่เดินเข้ามาในงานพร้อมกัน รูปร่างและจิตใจที่งดงามกว่าและเสี้ยโล่เยว่ดูวัยรุ่นกว่ามากทีเดียว หลิงหลงฮูหยินไม่จำเป็นต้องพูดถึง นางประดับแต่งแต้มด้วยไข่มุกและเพชรไปทั่วทั้งศีรษะ อีกทั้งยังใช้ผ้าไหมที่มีราคาแพงที่สุด แต่ถึงจะสวมใส่ของมีค่า แต่กลับไม่ได้ดูมีค่าสูงส่งแต่อย่างใด เพราะเรื่องการอภิเษกสมรสระหว่างองค์รัชทายาทและเสี้ยโล่เยว่ได้มีกำหนดการออกมาแล้ว ดังนั้น คืนนี้เฉิงเสี้ยงเสี้ยจึงได้พาแม่ลูกเข้าวังมาด้วย ทำให้พวกนางดูโดดเด่นเป็นจุดรวมสายตาของเหล่าทหารพลเรือนและเชื้อพระวงศ์ไม่น้อย การปรากฏตัวของหลี่ซื่อ ดึงดูดสายตาความสนใจเป็นจำนวนมาก หญิงสาวผู้หายสาบสูญไปจากสายตาของทุกคนเป็นเวลากว่า 10 ปีผู้นี้ได้ปรากฏตัวขึ้นมาราวกับออกมาจากภาพวาด ทำให้ทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ต่างก็นึกถึงช่วงเวลาที่บุรุษผู้ส่งส่งและมีความสามารถในแคว้นจิงต่างพากันวิ่งไล่ตามจีบนางก่อนหน้านั้น ดวงตาของอ๋องอานชินไม่เคยละสายตาไปจากใบหน้าของหลี่ซื่อตั้งแต่นางปรากฏตัวออกมาแต่อย่างใด อ๋องฉีที่นั่งอยู่ด้านข้างของอ๋องอานชินก็พูดขึ้นน้ำเสียงเบาๆว่า: “แม่นางหลี่ไม่ต่างอะไรกับเมื่อก่อนเลยจริงๆ” ในตอนที่ประเทศทั้งสองเข้าร่วมสงคราม อ๋องอานชินและอ๋องฉีเริ่มไปมาหาสู่กัน ถึงแม้ว่าในตอนนั้นจะอยู่ในสถานะของศัตรูก็ตาม แต่วีรบุรุษต่างก็มองเห็นวีรบุรุษด้วยกัน เรื่องที่อ๋องอานชินทุ่มเทความรักให้แก่หลี่ซื่อ อ๋องฉีเองก็รู้ สุดท้ายความรู้สึกช่วงเวลานี้ก็จบลงโดยไม่มีใครต้องเจ็บ ทำให้เขาในตอนนั้นรู้สึกเสียใจอย่างยิ่งยวด เมื่อเฉิงเสี้ยงเสี้ยเห็นทุกคนเบนความสนใจทั้งหมดไปทางหลี่ซื่อ ในใจจึงรู้สึกพึงพอใจอย่างมาก คืนนี้เขาพาหลี่ซื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงด้วย เป้าหมายก็ชัดเจนอยู่แล้ว นั้นก็คือต้องการใช้หลี่ซื่อให้เป็นจุดดึงดูดความสนใจของทุกคน ก่อนออกเดินทาง เขาได้สอนหลี่ซื่อไว้เป็นที่เรียบร้อย หากมีการโต้เถียงกันเรื่องเข้ารับตำหน่งผู้บริหารประเทศ นางจะต้องออกมายืนอยู่ข้างองค์รัชทายาท เขารู้ผลกระทบของหลี่ซื่ออย่างลึกซึ้ง หลี่ซื่อมีชื่อเสียงเช่นนี้ได้ ไม่เพียงแต่เพราะนางเป็นหญิงสาวผู้มีความรู้เท่านั้น อีกทั้งยังเป็นเพราะว่านางยังเคยได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ให้จัดตั้งเวทีอภิปรายด้านการเมืองอีกด้วย การอภิปรายนี้ฮ่องเต้ก็ได้เข้าร่วมการโดยไม่ออกเสียง อีกทั้งนางยังเคยแสดงความคิดเห็นทางด้านการเมืองที่สร้างความตื่นตกใจแก่คนที่นั่งอยู่ ณ ที่แห่งนั้นไม่น้อย ฮ่องเต้เองก็ต่างชื่นชมไม่ขาดปาก ว่าหากหลี่ซ่วยหยุ่นเกิดมาเป็นบุรุษจะต้องเป็นแขนขวาแขนซ้ายของกษัตริย์ได้อย่างแน่นอน *กำหนดสรรพนามของฮ่องเต้ขึ้น นั่นคือคำว่า (จิ้น) นั่นเอง* หลิงหลงฮูหยินและเสี้ยโล่เยว่เคยเห็นหลี่ซื่อช่วงชิงมาได้ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานมาแล้ว ส่งผลให้ในใจเกิดความรู้สึกไม่สบายใจอย่างแท้จริง และคิดว่าพวกนางคงจะกลายเป็นหัวข้อหลักตั้งแต่นั้นมา เพราะจุดประสงค์การอภิเษกสมรถฮองเฮาได้มีกำหนดการออกมาแล้ว เสี้ยโล่เยว่จึงคิดว่าคืนนี้ได้กลายเป็นเป้าหมายของการอิจฉาริษยาของเหล่าหญิงสาวไปแล้ว แต่นางไม่รู้ว่าจุดประสงค์นี้ต้องปิดบังเป็นความลับ ฮองเฮาก็ต่างไม่รู้ แล้วคนอื่น ๆจะรู้ได้อย่างไร? นางสนมในวังย่อมต่างก็อยากเข้าร่วมทั้งนั้น ถึงแม้ว่าหมุยเฟยและอี๋เฟยจะนั่งด้วยกันก็ตาม แต่อี๋เฟยกลับแสดงออกถึงความเย็นชาต่อหมุยเฟยอย่างมาก มีหลายครั้งที่หมุยเฟยคิดอยากจะพูดกับนาง แต่นางก็มักจะเมินหน้าหนีไม่สนใจอยู่เสมอ ในใจของหมุยเฟยร้อนระอุมาก เมื่อเห็นองค์ชายสามและองค์ชายเจ็ดต่างพากันหยอกล้อด้วยกัน เมื่อถูกอี๋เฟยตำหนิดุด่าเสียงดัง นางแทบจะอดกลั้นความโกรธเคืองไม่ได้เลย คณะทูตที่อ๋องฉีพามาด้วยมีราว ๆ 10 คน ขนาดของงานเลี้ยงในคืนนี้กว้างขวางมากด้วย ถึงแม้ว่าตำหนักจะใหญ่โตก็ตาม แต่ก็ยังเบียดเสียดกันอย่างเห็นได้ชัดอยู่ดี คนในวังต่างก็ลำเลียงอาหารออกมากันอย่างขวักไขว่ จานชามสวยงามที่ถืออยู่ในมือ อาหารอันโอชะที่ประดับตกแต่งอยู่บนจาน กลิ่นหอมของไวน์ที่แทรกซึมอยู่ทุกอณูห้อง เฉลิมฉลองปาร์ตี้กันอย่างสนุกสนาน ราวกับว่าวันนี้เป็นงานเลี้ยงใหญ่งานหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น ทุกคนล้วนแล้วแต่แสร้งทำเป็นว่าทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี แต่ในใจกลับเป็นคนละเรื่อง ทุกคนต่างก็รู้ว่าหลังจากที่รับประทานงานเลี้ยงในคืนนี้เสร็จแล้ว การแสดงก็จะเริ่มต้นขึ้น องค์รัชทายาทได้ดื่มอวยพรให้แก่อ๋องฉีอยู่หลายครั้ง แสดงอากัปกิริยาให้ทุกคนเห็นได้ชัดเจน ด้วยการยกแก้วขึ้น เหลียงไถ้ฝู้ต่างรีบคล้อยตาม เพื่อเชื้อเชิญทุกคนยกแก้วขึ้นพร้อมกัน เพื่อดื่มฉลองให้แก่อ๋องฉีและให้แก่องค์รัชทายาท สำหรับอากัปกิริยาของเหลียงไถ้ฝู้ ราชนิกุลและเหล่าขุนนางที่เป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบางส่วนก็ต่างรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงได้สนับสนุนผลัดดันองค์รัชทายาทขึ้นครองบัลลังก์ หลังจากผ่านการดื่มสุราเวียนวนอยู่สามรอบ เฉิงเสี้ยงเสี้ยก็ได้ยืนขึ้น จากนั้นก็ยกแก้วสุราที่อยู่ในมือขึ้นมา ก่อนยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า: “วันนี้เหล่าขุนนาง ราชนิกุลต่างมารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก อีกทั้งอ๋องฉีจากแคว้นเป่ยม่อก็ยังประทับอยู่ ณ ที่แห่งนี้ด้วย ข้าน้อยก็ดื่มให้แก่ทุกคน และขอประกาศข่าวดีเรื่องหนึ่งอย่างเป็นทางการ” ทุกคนต่างหยุดทุการเคลื่อนไหว จากนั้นก็จ้องมองไปทางเฉิงเสี้ยงเสี้ยด้วยความอยากรู้ ประกาศข่าวดี? ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่มั้ง ถึงแม้ว่าจะบอกว่าเป็นการจัดงานเลี้ยงต้อนรับตัวแทนคณะทูตก็เถอะ แต่อ๋องซื่อเจิ้งก็สิ้นพระชนม์ไปได้ไม่นาน ก็น่าจะยังมีความโศกเศร้าอาดูรกันอยู่แล้ว เรื่องน่ายินดีอะไรล้วนแล้วแต่ไม่สมควรนำมาประกาศครึกโครมกันในช่วงเวลานี้ทั้งสิ้น สีหน้าของฮองเฮาไร้ซึ่งชีวิตชีวาไปชั่วขณะ เรื่องนี้นางไม่ได้รายงานตรงต่อฮองไทเฮาแต่อย่างใด ตั้งใจว่าจะรายงานหลังจากที่งานเลี้ยงคืนนี้จบลงแล้ว นึกไม่ถึงว่าเฉิงเสี้ยงเสี้ยจะรีบร้อนเช่นนี้ จนสร้างความวุ่นวายให้แก่แผนการของนาง ฮองเฮาไม่เข้าใจ เฉิงเสี้ยงเสี้ยไม่ใช่คนรีบร้อน เขาไม่เหมือนกับหลิงหลงฮูหยิน ที่คิดว่าฮองเฮาจะให้ความสำคัญกับตัว จุดประสงค์นี้ น่าจะเป็นของฮองไทเฮาถึงจะถูก ดังนั้นเขาจึงกลัวว่าหลังฮองไทเฮาจะไม่ยอมรับหลังจากนี้ ดังนั้นจึงอยากประกาศต่อหน้าทุกคน ทำให้ฮองเฮาไม่มีโอกาสได้เสียใจภายหลัง เมื่อฮองไทเฮาได้ยินคำพูดของเฉิงเสี้ยงเสี้ย ใบหน้าจึงแสดงออกถึงความเคร่งขรึมเล็กน้อย ประกาศข่าวดีในช่วงเวลานี้? เป็นเฉิงเสี้ยงของแคว้นต้าโจวที่ดีจริงๆเลย! นางอยากจะเข้าไปขัดขวาง แต่ซุนกงกงกลับพูดขึ้นว่า: “ไทเฮา ท่านขัดขวางไม่ไหวหรอกเพคะ รอให้ผ่านไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
已经是最新一章了
加载中