ตอนที่ 27มีโอกาสเงยหน้าอ้าปาก   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 27มีโอกาสเงยหน้าอ้าปาก
ต๭นที่ 27มีโอกาสเงยหน้าอ้าปาก แม้จางยวี่โหร่วยังไม่รู้หนทางช่วย แต่นางก็ไม่อาจไม่เหลียวแลหลินจือได้ ยิ่งหลังจากที่ได้ฟังหลินจือพูดแบบนี้แล้ว จางยวี่โหร่วยิ่งรู้สึกว่านางเป็นหญิงสาวที่ซื่อตรงและจริงใจ จึงอยากสนิทสนมกับนางให้มากขึ้น หลินจือเป็นคนที่ล่วงรู้ความลับของนาง คำพูดที่พูดเมื่อกี้แสดงว่านางคิดเผื่อนางไว้ด้วย ไม่ว่าเป็นเพราะอยากทำเพื่อตัวเองหรือทำเพราะเห็นใจนาง นางก็ไม่อาจปล่อยให้หลินจือต้องได้รับความลำบากจากเรื่องนี้ ตอนนี้ ถือว่าเป็นโอกาสดี ไม่ว่าจะเป็นนางหรือหลินจือ ก็ควรใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้เพื่อจะกลับมาเงยหน้าอ้าปากได้ “น้องหลิน วันมะรืนนี้จะเป็นวันเกิดของพระสนมเสียนเฟย ในวังจะมีงานเลี้ยงกลางคืน นางก็ตามพี่เข้าไปในวังด้วย จะได้ไปอวยพรพระสนมพร้อมกัน” เสียนเฟย เป็นพี่สาวแท้ๆของพี่สะใภ้คนรองของจางยวี่โหร่ว มีใบหน้าที่งดงามยิ่ง เข้าวังไปเมื่อเจ็ดปีก่อนได้รับการโปรดปรานจากฮ่องเต้แต่งตั้งให้เป็นเสียนเฟย จางยวี่โหร่วสนิทสนมกับพี่สะใภ้รองมาก ดังนั้นเสียนเฟยจึงเห็นนางมาตั้งแต่เล็ก รักใคร่นางเสมือนเป็นน้องสาวแท้ๆ เสียนเฟยไม่มีบุตรชาย มีแต่องค์หญิงหนึ่งองค์ อายุเพิ่งจะห้าขวบ หนานฉู่มีองค์หญิงองค์นี้เพียงองค์เดียว ดังนั้นฮ่องเต้จึงรักเอ็นดูนางมาก อีกทั้งเสียนเฟยเป็นผู้มีจิตใจงดงามอ่อนโยน ไม่ชอบแก่งแย่งชิงดี จึงได้ใจฮ่องเต้ไป แต่เสียนเฟยมีร่างกายอ่อนแอ จึงอยู่แต่ในวังไม่ค่อยได้ออกไปไหน ครั้งก่อนที่ได้ยินว่าจางยวี่โหร่วเกิดเรื่อง ก็เป็นห่วงจนถึงกับล้มป่วย ทำให้ฮ่องเต้เป็นกังวลมาก ดังนั้น จึงถือโอกาสวันครบรอบวันเกิดจัดงานฉลองให้พระสนมอย่างครึกครื้น เพื่อทำให้นางได้ยิ้มออก ร่างกายก็จะได้ดีขึ้นบ้าง “ด้วยฐานะอย่างข้า จะเข้าร่วมงานฉลองวันประสูติของเสียนเฟยได้อย่างไรกัน?” พอหลินจือได้ฟังจบ ก็รีบแย้งขึ้นมาทันที บิดาของนางมีตำแหน่งเป็นแค่สี่ผิ่นรองส้าวเจียน ไม่มีสิทธิ์เข้าไปในเขตพระราชฐานได้ถ้าไม่ได้รับอนุญาต ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนางเข้าไปใหญ่ “ไม่เป็นไร แค่เจ้าตามข้าเข้าไป ใครก็ขวางเจ้าไม่ได้” หากว่าหลินจือไม่มีคุณสมบัติพอ แล้วจ้าวซินซินที่เป็นเพียงบุตรสาวของสเยนกัวผู้น้อยคนหนึ่งยิ่งไม่มีคุณสมบัติมากกว่าหรือ? ก่อนหน้านี้มีครั้งไหนบ้างที่นางไม่พาจ้าวซินซินเข้าวัง ให้ได้มีโอกาสได้อยู่ท่ามกลางบรรดาลูกท่านหลานนางผู้มีชาติตระกูลทั้งหลาย ทว่านางไม่เพียงไม่สำนึกในบุญคุณ แต่กลับหาทุกวิถีทางเพื่อที่จะทำร้ายนาง ต่อไป นางจะไม่มีโอกาสดีเช่นนั้นอีกแล้ว พอถึงตอนนี้ เด็กรับใช้ปิงเอ๋อที่ตามติดหลินจือก็พูดอย่างกังวลว่า “แต่ว่า ในวันนั้นคุณหนูแห่งตำหนักเฉินกั๋วกงก็คงจะไปด้วย เกิดนางเห็นคุณหนูของเราเข้า ก็เท่ากับเอาหนูไปให้หมาป่าขย้ำสิคะ” ดูท่าทาง นางคงเคียดแค้นเฉินซู่เสียนมาก แสดงว่าคงไม่ใช่แค่ครั้งแรกที่พวกนางถูกรังแก จางยวี่โหร่วก็เคยรู้จักกับเฉินซู่เสียนมาก่อน ชาติก่อนนางก็เป็นคนชอบอาละวาดชี้นิ้วบงการแบบนี้ แต่นี่ไม่ใช่นิสัยเดิมของนาง และนางก็ไม่อยากทำตัวแบบนั้นด้วย ตอนที่หลังจากที่นางโดนให้ร้ายจนต้องเข้าคุก จ้าวซินซินได้มากระซิบบอกนางว่า คนที่รวบรวมหาพยานหลักฐานว่าตระกูลจางทุจริตคิดไม่ซื่อนั้น ก็คือเฉินกั๋วกง บิดาของเฉินซู่เสียนนั่นเอง เฉินกั๋วกงต่อหน้าบิดาของนางนั้นแสดงท่าทางเคารพนบนอบนัก ในท้องพระโรงไม่ว่าเรื่องอะไรที่บิดาของนางทูลเสนอความเห็น เขาก็จะพูดเห็นด้วยตลอด กลับนึกไม่ถึงว่าทั้งหมดเป็นเรื่องหลอกลวง แท้จริงแล้วเขาเป็นแค่คนถ่อยที่เปรียบเหมือนต้นหญ้าริมกำแพง ได้แต่โอนเอนไปตามบารมีของคนอื่นเท่านั้น ดังนั้น แม้หลินจือจะไม่เอ่ยขึ้น นางก็จะไม่มีวันปล่อยคนจากตำหนักเฉินกั๋วกงไปแน่ นางจับมือของหลินจือไว้ แล้วมองจ้องไปที่นาง “เจ้ากลัวหรือเปล่าล่ะ?” หลินจือรู้สึกตกใจ แต่แล้วก็ส่ายหน้า “ไม่กลัวค่ะ แม้แต่ความตายข้ายังไม่กลัว แล้วทำไมข้าต้องกลัวนางด้วย เพียงแต่ข้า…..ไม่อยากให้พี่ต้องมาเกี่ยวข้องด้วย และไม่อยากทำให้ท่านพ่อต้องลำบาก” ฐานะ เป็นเสมือนผากว้างที่นางไม่อาจข้ามพ้นไปได้ ฐานะของเฉินกั๋วกงอยู่เหนือกว่าบิดาของนาง หากนางมีปัญหาขึ้นมากับเฉินซู่เสียนแล้ว บิดาของนางย่อมต้องถูกเฉินกั๋วกงให้ร้ายเป็นแน่ ด้วยเหตุนี้ทุกครั้ง นางจึงได้แต่กล้ำกลืนฝืนทนมาตลอด นางไม่ใช่จางยวี่โหร่ว ที่มีความมั่นใจตัวเองขนาดนั้น ที่แม้แต่การแต่งงานสลับตัวที่ฮัวเจี้ยวก็ยังกล้าที่จะทำ กลับกันถ้าเป็นนางล่ะก็ คงไม่มีทางคิดหาทางออกอย่างนี้ได้แน่ “แต่ถ้าเอาแต่อดทนอย่างเดียวจะยิ่งกลับทำให้ฝ่ายตรงข้ามร้ายกับเรามากขึ้น มีแต่ต้องเปลี่ยนตัวเราเองให้เข้มแข็งมากขึ้นไปอีก ถึงจะคุ้มครองตัวเอง คุ้มครองคนในครอบครัวเราได้” หากหลินจือเป็นชาย เมื่อได้ฟังคำพูดนี้แล้วคงเกิดความฮึกเหิมในใจขึ้นทันที ทว่านางเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น ผู้หญิงจะเปลี่ยนตัวเองให้เข้มแข็งมากขึ้นได้ยังไงกัน? คงเป็นเพราะอ่านความกังวลใจของนางออก จางยวี่โหร่วจึงได้ยิ้มอย่างมีเลศนัยออกมา “ข้าได้ยินว่าเจ้าเต้นรำเก่งมาก ข้าจะให้เจ้าได้แสดงฝีมือให้ทุกคนเห็นในงานวันมะรืนนี้ หากเจ้าไม่อยากโดนคนรังแกไปตลอดชีวิต ไม่อยากโดนคนนินทาว่าร้ายจนไม่อาจเงยหน้ามองใครได้อีกแล้วล่ะก็ ถ้าอย่างนั้นในวันงานเจ้าต้องแสดงให้สุดฝีมือ” ฐานะของหลินจือไม่สูงส่ง ชื่อเสียงในตอนนี้ก็ไม่ดีเท่าไร หากคนทั่วไปรู้ว่านางเป็นเจ้าสาวที่หนีการแต่งงานกับอ๋องชิงผิน เป็นผู้หญิงที่องค์ชายสามไม่ต้องการหลังจากกราบไหว้ฟ้าดินแล้วล่ะก็ ใครจะยังกล้าแต่งกับนางอีก? ดังนั้น นางจึงต้องทำให้หลินจือกลับมายืนได้อย่างโดดเด่นอีกครั้ง ให้โอกาสนางได้แสดงตัวตนของตัวเองออกมา ให้ความเจิดจรัสของนางกลบข้อด้อยพวกนั้นเสีย มีแต่ทำเช่นนี้จึงจะทำให้นางมีโอกาสได้เจอกับเจ้าบ่าวอย่างที่ปรารถนา ความรู้สึกผิดบาปที่อยู่ในใจก็จะได้น้อยลง หลินจือเป็นผู้หญิงฉลาด จึงเข้าใจเป็นอย่างดี นางเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว จึงมีรอยยิ้มเผยขึ้นบนใบหน้า “พี่ยวี่โหร่ว ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะไม่ทำให้พี่ผิดหวังแน่นอนค่ะ” …….. เป็นเวลาดึกแล้ว แต่ภายในห้องหนังสือแห่งหนึ่ง กลับมีแสงไฟสว่างลอดออกมา คนผู้หนึ่งแต่งชุดขาวกำลังจับพู่กันเขียนหนังสือด้วยลายมือหวัดอยู่ที่โต๊ะ พู่กันขนหมาป่าที่อยู่ระหว่างปลายเล็บสีขาวของเขาร่ายรำราวกับหงส์ร่อนมังกรบิน ด้วยความรวดเร็ว กระดาษขาวแผ่นนั้นก็เต็มไปด้วยลายมือทั้งแผ่น รอจนแห้งแล้วพับทบกัน แล้วก็ใส่เข้าไปในซองจดหมายฉบับหนึ่ง ทันใดนั้น ภายในห้องก็ปรากฏร่างของคนใส่ชุดดำร่างหนึ่งขึ้น ด้วยพลังยุทธ์ในเพียงพริบตาเดียว ราวกับว่าออกมาจากอากาศธาตุ เห็นชัดว่าคนผู้นี้มีวิทยายุทธ์ที่สูงล้ำ แต่เขากลับแสดงความจงรักภักดีต่อชายผู้นั้น พอเห็นเขาก็รีบคุกเข่าลงกับพื้น โคกศีรษะคำนับ “ข้าน้อยถวายบังคมท่านอ๋อง” ในที่สุดชายผู้นั้นจึงได้เงยหน้ามองเขาอย่างเฉยเมย หน้ากากหมาป่าสัมฤทธิ์ที่สะท้อนกับแสงไฟยิ่งทำให้ดูน่ากลัวมากขึ้น ดวงตาที่ลึกไม่ว่าผู้ใดเมื่อเห็นแล้วก็รู้สึกถึงความกดดันอย่างหนัก “เย่นหลิน เรื่องที่ข้าสั่งให้เจ้าไปจัดการ ทำเสร็จหรือยัง?” “พะยะค่ะ ข้าน้อยได้แจ้งกับ”ทางนั้น”ไปแล้วว่า ช่วงนี้ท่านอ๋องจะยังอยู่ในเมืองหลวง หากไม่เป็นเรื่องสำคัญจริงๆแล้วห้ามเข้าไปรบกวน จะได้ไม่ไปแหวกหญ้าให้งูตื่น ส่วนทางชายแดนนั้นได้ส่งคนไปเฝ้าดูแล้ว หากแค้วนเยกับแคว้นเซียวบุกเข้ามาอีก ก็จะสั่งสอนพวกนั้นเสียให้เข็ดหลาบ” “เย่นอิ่งล่ะ?” “ได้ทำตามที่ท่านอ๋องสั่งไว้ นางได้ลอบเข้าไปอยู่หน่วยในของแคว้นเยได้สำเร็จ ถ้าได้ข่าวอะไร ก็สามารถส่งข่าวให้เราได้ตลอดเวลาพะยะค่ะ” “ทำได้ดีมาก ไม่เสียทีที่เป็นผู้ช่วยคนสนิทของข้า มีเจ้าสองคนพี่น้องอยู่รับใช้ ข้าจึงสามารถนอนได้อย่างสบายใจ” เย่นหลินเงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นถึงใบหน้าของชายหนุ่มที่สง่างาม ดูจากท่าทางอายุไม่น่าเกิน 17-18 ปี แต่กลับมีแววตาที่ล้ำลึกมากด้วยประสบการณ์ บางครั้งแฝงแววอำมหิตออกมา ลักษณะไม่เหมือนที่ชายหนุ่มควรเป็นสักนิดเดียว เขากับเย่นอิ่งเป็นนักฆ่าเลือดเย็นที่อยู่ข้างกายเขา เป็นผู้คุ้มกันชั้นหนึ่ง ตั้งแต่เด็กก็เติบโตมาท่ามกลางดงคาวเลือด ใครก็ตามที่เป็นเป้าสังหารของพวกเขา ไม่มีใครสามารถรอดไปได้ในสามฝ่ามือ 
已经是最新一章了
加载中