ตอนที่ 34ดวงมากรัก   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 34ดวงมากรัก
ต๭นที่ 34ดวงมากรัก “ฝ่าบาทเสด็จ !” เสียงร้องดังสูงของขันทีที่ตามเสด็จ ทำให้สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาทันที ทุกคนต่างลุกขึ้นยืนอยู่ตรงที่นั่งของตัวเอง แล้วคุกเข่าโขกศีรษะคำนับกับพิ้น “ถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นปีหมื่นๆปี !” “ไม่ต้องมากพิธีหรอก !” น้ำเสียงของฮ่องเต้ฟังไปแล้วเหมือนแฝงด้วยความอ่อนล้า ได้ยินมานานแล้วว่าฮ่องเต้ทรงเป็นกังวลเรื่องราชกิจ ตรากตรำพระวรกายจนไม่สบาย ร่างกายจึงไม่แข็งแรงเหมือนก่อน ทุกคนจึงรู้สึกอดเป็นห่วงฮ่องเต้ไม่ได้ เมื่อจางยวี่โหร่วลุกขึ้นจากถวายบังคมแล้ว ถึงได้เห็นร่างเพรียวบางที่สวมชุดคลุมสีขาวผู้นั้นยืนอยู่ข้างพระองค์ นางถึงได้รู้ว่าทำไมจึงไม่เห็นเขา ที่แท้เข้าวังมาก็เพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้ แล้วถึงได้ตามเสด็จมาด้วย ในเวลานั้น ลูกตาลึกที่อยู่หลังหน้ากากนั่นจ้องมองนางอย่างไม่วางตา จ้องจนจางยวี่โหร่วรู้สึกประหม่า ราวกับว่าตัวเองทำเรื่องไม่ดีอย่างนั้นหล่ะ องค์หญิงฉางเล่อพอเห็นฮ่องเต้ ก็รีบวิ่งเข้าไปหาอย่างดีใจ กอดขาฮ่องเต้พูดเสียงหวานว่า “เสด็จพ่อ ทำไมมาช้าจังเลยเพคะ” “เล่อเอ๋อ เสด็จพ่อมีเรื่องให้ทรงคิดทั้งวัน อย่าเสียมารยาทกับเสด็จพ่อสิ” เสียนเฟยรีบตำหนินางเบาๆ ฮ่องเต้เอี้ยวตัวลงอุ้มนางขึ้นมา แล้วรีบยกมือห้าม “ไม่เป็นไร เล่อเอ๋อยังเด็ก ข้าเองก็ชอบที่นางมาคุยเล่นด้วยทุกวัน ใครใช้ให้นางน่ารักขนาดนี้ล่ะ” มีบุตรสาวเมื่อแก่ แถมยังเป็นพระธิดาองค์เดียว จึงทรงทั้งรักทั้งหลงอย่างไม่ต้องสงสัย เสียนเฟยพอเห็นแบบนี้แล้วก็รู้สึกปลื้มใจนัก ฮ่องเต้พอเห็นคนจำนวนมากมายมาอยู่ในที่นี้ ก็ทรงถามอย่างประหลาดใจขึ้นทันทีว่า “จริงสิ เมื่อกี้พวกเจ้ากำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่ ทำไมถึงได้ครึกครื้นกันนักล่ะ?” หลังจากที่ฮ่องเต้ถามขึ้นแบบนี้แล้ว เฉินซูเสียนถึงกับตกใจจนสีหน้าซีดเผือด เมื่อกี้ที่นางจงใจพูดออกไปเพราะต้องการให้หลินจืออับอายขายหน้า เพื่อให้องค์ชายรองรังเกียจนาง หลังจากเกิดเรื่องการแต่งงานสลับตัวที่ฮัวเจี้ยวในครั้งนั้น ฮ่องเต้ก็ทรงมีรับสั่งห้ามให้ใครนำเรื่องนี้มาพูดต่อ แต่นางกลับเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูดต่อหน้าคนตั้งมากมาย หากฮ่องเต้ทรงทราบขึ้นมาล่ะก็ อาจทำให้ถึงกับทรงพิโรธหนักก็ได้? โชคยังดี พวกของจางยวี่โหร่วไม่ได้พูดเรื่องที่นางไร้มารยาทไปเมื่อครู่นี้ วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของเสียนเฟย จะเอาเรื่องนางมาทำให้กระเทือนอารมณ์ฮ่องเต้ได้ยังไงล่ะ? “ฝ่าบาท หม่อมฉันกับพวกของรันเอ๋อกำลังคุยกันสนุกกับองค์ชายรองเพคะ ทำให้รู้ถึงอัจฉริยะภาพที่เลื่องลือขององค์ชายรอง คำพูดทุกคำล้วนแล้วแต่มีสาระ มีเพียงไม่กี่คนที่ทำให้องค์ชายรองชื่นชมได้ วันนี้พวกเรานับว่าได้เปิดหูเปิดตากว้างขึ้นเพคะ” เสียนเฟยรีบทูลตอบ “หือ? อัจริยะภาพของหัวเอ๋อแม้แต่ข้าก็ยังเทียบไม่ได้ วันนี้กลับมีคนที่ทำให้เขายอมรับได้ เป็นใครกันหรือ ข้าอยากเห็นหน้าคนผู้นั้นนัก” ในทันทีทันใด ฮ่องเต้ก็ทรงนึกแปลกใจขึ้นมา “ก็คือหญิงสาวชุดม่วงผู้นี้ คุณหนูหลินเพคะ” พอฮ่องเต้ทอดพระเนตรใบหน้าของนาง ก็ต้องตกตะลึงขึ้นทันที นั่นเพราะเป็นใบหน้าที่ทรงจำได้ เมื่อหลายวันก่อน ยังเห็นนางอยู่ที่ห้องสมุดอยู่เลย ในตอนนั้น ยังมีอีกเรื่องที่ทำให้พระองค์ทรงปวดหัวอย่างหนักยากที่พระองค์จะติดสินใจลงไปได้ นางเป็นธิดาของหลินส้าวเจียนที่สลับตัวกับเด็กคนนั้นที่เป็นหลานสาวของจางไท่ซือที่ฮัวเจี้ยวมิใช่หรือ? ที่จริงด้วยฐานะของนางแล้ว ฮ่องเต้ย่อมต้องทรงไม่ทราบว่านางเป็นใคร แต่เพราะว่าเรื่องในครั้งนั้น ทำให้เกิดภาพจำฝังลึกในใจของพระองค์ “หือ? เจ้านี่เอง ! ข้ามาถึงก็ได้ฟังเสียนเฟยเอ่ยปากชมเจ้าแล้ว แม้แต่ลูกหัวเอ๋อก็ยังชื่นชมเจ้าถึงขนาดนี้ เจ้าคงต้องมีอะไรที่เหนือกว่าคนอื่นสินะ?” “หลินจือรีบคุกเข่ากับพื้นอย่างหวาดกลัว “ข้าน้อยไร้ความสามารถ เพียงแต่พูดโดยไม่ทันคิดเท่านั้นเพคะ” “พูดโดยไม่ทันคิดแต่กลับทำให้หัวเอ๋อชื่นชมขนาดนี้ได้ เจ้าไม่ต้องถ่อมตัวไปหรอก” เป่ยจื่อหัวพูดพลางยิ้มขึ้นว่า “หญิงสาวที่สามารถพูดว่า ‘เกิดจากโคลนตมแต่ไม่แปดเปื้อน โดนน้ำสาดแต่ไม่เป็นมาร’ เช่นนี้ได้ ที่จริงก็ไม่ได้เก่งกาจที่สุดอะไร เสด็จพ่อก็อย่าทำให้นางลำบากใจเลยพะยะค่ะ” ฮ่องเต้ทรงนิยมการประพันธ์โคลงกลอน ยิ่งในยุคที่ประเทศชาติรุ่งเรืองประชาชนสงบสุข อัจริยบุคคลผู้มีพรสวรรค์มากมายได้มารวมตัวกัน เหล่านักประพันธ์ชั้นแนวหน้าทั้งหลายต่างมาปะทะฝีมือร่ายรำบทกลอนร่วมกัน ฮ่องเต้โดยส่วนตัวแล้วทรงรู้สึกชื่นชมผู้มีอัจฉริยภาพในด้านนี้อย่างยิ่ง ดังนั้นด้วยรสนิยมในด้านนี้ของพระองค์ แววตาของพระองค์จึงมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น “หัวเอ๋อเป็นคนที่รักและชื่นชมผู้มีความสามารถ ในเมื่อเจ้าชื่นชมนางถึงขนาดนี้ เช่นนั้นควรให้นางได้เข้าร่วมในสมาคมกาพย์กลอนที่เจ้าสร้างด้วยอีกคน ถึงแม้จะเป็นหญิง แต่มีความสามารถถึงเพียงนี้ หาไม่ได้ง่ายๆ” เป่ยจื้อหัวยิ้มพลางพูดว่า “ลูกก็กำลังตามหาคนมีความสามารถอยู่ ต้องขึ้นกับว่าคุณหนูหลินจะเต็มใจหรือไม่” หลินจือถึงกับสั่นไปทั้งตัว ไม่มีปฎิกิริยาตอบสนองเป็นเวลานาน ถึงตอนนี้จางยวี่โหร่วก็เตือนนางด้วยเสียงเบาๆขึ้นที่ข้างหลังว่า “มัวอึ้งทำไมอยู่ ยังไม่รีบขอบพระทัยอีก” ในที่สุดหลินจือถึงได้รู้สึกตัว รีบคุกเข่าลงกับพื้นโขกศีรษะคำนับ “ขอบพระทัยฮ่องเต้และองค์ชายรองที่ทรงเมตตา ข้าน้อยจะตั้งใจศึกษาอย่างดี ไม่ทำให้พระองค์ต้องทรงผิดหวังเพคะ” เฉินซูเสียนที่ยืนอยู่ข้างหน้าอิจฉาจนถึงกับขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน กำมือไว้แน่นจนเล็บฝังลึกเข้าไปในกลางฝ่ามือ สมควรตายนัก ทำไมนางถึงได้เข้าใจช้านักนะ เป้าหมายของจางยวี่โหร่วกับหลินจือ…..ที่แท้ก็เป็นองค์ชายรอง ! นางชอบองค์ชายรองมาก วันวันเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตารอฟังข่าวขององค์ชาย หากองค์ชายรองออกมานอกวัง นางก็จะต้องออกไปปรากฎตัวอยู่บนถนนที่ต้องเสด็จผ่าน แต่ไม่ว่านางจะพยายามยังไง องค์ชายรองก็ไม่เคยเหลียวมองนางเลยสักครั้ง แต่มาตอนนี้ เขาเพิ่งจะเห็นหลินจือเป็นครั้งแรก กลับชมเชยนางไม่หยุดปาก สายตาก็คอยจับจ้องไปที่ร่างของนางตลอด จางยวี่โหร่วสังเกตเห็นอาการของเฉินซูเสียนในสายตาตลอด จึงยิ้มเยาะขึ้นในใจ ดูสิว่าต่อไปนางจะยังกล้าทำอวดดียังไงอีก ……. งานเลี้ยงเริ่มขึ้นแล้ว เสียนเฟยถือเป็นตัวเอกของงานวันนี้ จึงได้นั่งเคียงข้างฮ่องเต้ ไม่รู้ว่าเป่ยจื่อหัวเป็นเพราะสนใจในความสามารถของหลินจือจริงๆ ถึงได้เชื้อเชิญนางให้มานั่งร่วมกับตนเอง นี่นับว่าเป็นเกียรติอันสูงส่งอย่างหาที่เปรียบมิได้ ไม่เพียงเฉินซูเสียนเท่านั้น แต่สายตาของบรรดาคุณหนูทั้งหลายก็มองกันตาไม่กระพริบ แววตาเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา ไม่เป็นไรน่า วันหลังยังมีโอกาสให้ได้แสดงความรู้ความสามารถอีก ถึงตอนนั้นพวกนางจะพยายามเค้นความสามารถของตัวเองออกมาอย่างสุดกำลังเพื่อพัฒนาจุดเด่นของตัวเองแน่นอน เป่ยจื่อห้าวรีบลุกขึ้นเชื้อเชิญ หวังให้จางยวี่โหร่วได้นั่งอยู่ข้างตัว แต่ทันทีที่คำพูดหลุดจากปากของเขา ก็มีมืออันขาวใหญ่เพรียวบางเห็นข้อต่อชัดเจน ยึดมือของจางยวี่โหร่วไว้แล้ว ไม่ต้องเงยหน้ามอง ก็เห็นแววตาเย็นชานั้นที่อยู่เหนือศีรษะได้ แขนเสื้อสีขาวของเขากับชุดกระโปรงผ้ามัสลินสีแดงของนางสอดประสานกัน ราวกับเป็นเนื้อเดียวกัน ในเวลานี้ ก็มีสายตาหลายคู่จ้องมองตามไป จางยวี่โหร่วรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นมนุษย์ประหลาดหัวโต ชิงผินอ๋องกลายเป็นจุดสนใจที่คนทั้งงานต่างจ้องมองมาเป็นจุดเดียว คนมากมายเพิ่งเคยเห็นเขาเป็นครั้งแรก เพราะไม่เคยมีวาสนาได้พบหน้า แต่ก็กลับโดนหน้ากากหมาป่าที่ดูน่ากลัวนั่นทำเอายืนนิ่งตะลึง เมื่อมองดูอีกทีก็สัมผัสได้ถึงไอที่แสนเย็นยะเยือกออกจากร่างของเขา แถมยังมีข่าวลือที่น่ากลัวนั่นอีก จึงมีน้อยคนนักที่กล้ามองเขาตรงๆ ดูท่าคงจะเป็นดังข่าวลือที่ว่านั่น ชิงผินอ๋องกับองค์ชายสามล้วนหมายปองจางยวี่โหร่ว พวกเขาถึงได้ดูฉากเด็ดไปเมื่อกี้นี้ น่าจะมีตอนต่อไปอีกสินะ? จางยวี่โหร่วรู้สึกปวดหัวแปล๊บขึ้นมา ถ้าเกิดเหตุขึ้นต่อหน้าเหล่าราชนิกูลและขุนนางชั้นสูงมากมายขนาดนี้ แล้วพวกเขาเกิดทะเลาะกันจริงล่ะก็ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ นางรีบพาตัวเองออกจากมือของหันยี่ฉี แล้วรีบเดินดุ่มๆไปที่ข้างเสียนเฟย ไปนั่งกับองค์หญิงฉางเล่อ ใครก็ไปรังควานนางไม่ได้แล้ว 
已经是最新一章了
加载中