ตอนที่ 39บทลงโทษของสามี   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 39บทลงโทษของสามี
ต๭นที่ 39บทลงโทษของสามี จางยวี่โหร่วถูกอุ้มตลอดทางที่ออกจากวัง หลังจากนั้นก็ถูกนำตัวไปไว้บนรถม้า รถม้าขับออกไปตามทาง แต่พวกเขาสองคนไม่พูดไม่จา แต่เดิมห้องโดยสารก็คับแคบอยู่แล้ว มาบวกกับลมหายใจหนักๆเย็นยะเยือกของเขาที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายในเวลานี้ ทำให้รู้สึกตรึงเครียดจนแทบจะหายใจไม่ออก เขาไม่พูด จางยวี่โหร่วจึงไม่รู้จะพูดอะไดี นางคิดว่าเรื่องของนางไม่จำเป็นต้องบอกให้เขารู้ทุกเรื่อง เพราะถึงยังไงนางก็ไม่ได้ทำเรื่องผิดบาปในใจ แต่นางก็รู้สึกขอบคุณเขาอย่างยิ่งที่ช่วยพูดให้นางในงานเลี้ยง แถมยังพาตัวนางออกมาอีกด้วย ไม่อย่างนั้นแล้วนางคงจบไม่สวยแน่ คงไม่พ้นต้องให้คนทำเปลหามนางออกมาซะล่ะมั้ง ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ทันใดนั้นรถม้าก็หยุดลง แล้วจึงได้ยินคนขับรถม้าพูดขึ้นว่า “ถึงแล้วขอรับ” จางยวี่โหร่วรู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อยภาระหนัก ไม่ต้องทนนั่งอยู่กับเขาในนี้อีกแล้ว นางแหวกม่านหน้าต่างอออก เห็นป้ายที่ติดอยู่ตรงด้านนอกประตูสลักอักษรคำว่า “ตำหนักไท่ซือ” ก็นึกอยากลงจากรถโดยเร็ว แต่ในตอนที่นางเพิ่งจะลุกขึ้นนั้น ผ้าพันเอวกลับโดนมือใหญ่มือหนึ่งเหนี่ยวไว้ ทำให้นางล้มลงทั้งตัวไปอยู่บนร่างของเขา เท้าที่พลิกไปก่อนหน้านี้พอมาล้มอีกครั้งจึงรู้สึกปวดขึ้นมาทันที จางยวี่โหร่วปวดจนต้องร้องขึ้นมาเบาๆ ถึงกับเหงื่อไหลออกมา “เฮ้ จะทำอะไรน่ะ?” ถ้าไม่เพราะเขาดึงนางเมื่อกี้แล้วล่ะก็ นางคงไม่ต้องล้มเจ็บตัวแบบนี้ ตั้งใจแกล้งกันชัดๆ ท่ามกลางความมืด ดวงตาที่ดูลึกลับของเขา ยังดูดำมืดเสียยิ่งกว่าความมืดในยามนี้ ริมฝีปากบางนั้นขยับเบาๆ น้ำเสียงที่ออกมานั้นทำให้รู้สึกหนาวสั่น แต่ละคำที่ออกจากปากราวกับก้อนน้ำแข็งที่ถูกพ่นออกมา “หึ….ทีตอนให้ท่าผู้ชายอื่นไปเมื่อกี้เจ้ายังรู้สึกดีอยู่เลยไม่ใช่หรือ ทำไมพอเป็นสามีตัวเองเข้ากลับทำท่ายังกับว่าถูกบังคับขืนใจอย่างนั้นแหล่ะ เจ้านี่ช่างตลกจริงๆ” จางยวี่โหร่วรู้สึกได้อยู่แล้วว่า ตลอดทางเขาข่มอารมณ์เอาไว้ตลอด แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่ยอมระบายมันออกมา ตอนนี้ในที่สุดก็เห็นเขาระบายอารมณ์ออก ตัวเองก็รู้สึกโล่งใจอย่างไม่รู้สาเหตุ “ข้าไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่ผิดต่อท่านนี่ ท่านก็อย่าได้เข้าใจผิดไปเองสิ” ยิ่งกว่านั้น ดันใช้น้ำเสียงแปลกๆมาพูดกับนาง ทำให้นางฟังแล้วรู้สึกไม่สบายใจ “เข้าใจผิด?“ เขาเงยคางของนางขึ้นอย่างแรงด้วยความโกรธ โดยไม่สนใจว่าจะทำให้ผิวบอบบางของนางต้องเจ็บปวด “สายตาทุกคู่เห็นหมดว่าไปเที่ยวกอดคลำกับชายอื่น เจ้าคิดว่าข้าตายไปแล้วหรือไง?” ในเมื่อเขาถามขึ้นมาแล้ว หากนางไม่อธิบายให้เขาเข้าใจล่ะก็น่ากลัวว่าเรื่องจะจบไม่สวย จางยวี่โหร่วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า “ข้านึกว่าท่านอ๋องฉลาดเหนือคนอื่น คาดการณ์เรื่องราวได้ดั่งเทพ สงสัยคงต้องขอคืนคำพูดนั้นเสียแล้ว” ไม่ต้องเห็นสีหน้าของเขาก็รู้ว่า จะแสดงอารมณ์โกรธออกมาสักขนาดไหน คงจะนึกไม่ถึงว่าจะมีผู้หญิงแบบนี้อยู่ เห็นชัดๆอยู่ว่าทำเรื่องที่ไร้ยางอายแท้ๆ แต่กลับมาทำเสียงแข็งอ้างเหตุผลอยู่ตรงนี้ ช่างไม่สมเหตุสมผลเลยจริงๆ “ก็ได้ ถ้างั้นเจ้าลองหาเหตุผลดีๆมาอธิบายให้ข้าฟัง ไม่อย่างนั้นข้าจะลงโทษเจ้าตามกฎของบ้านแน่นอน” กฏของบ้าน? กฏบ้านบ้าบออะไร? จางยวี่โหร่วได้ยินแล้วรู้สึกพูดไม่ออก ท่าทางเขาจะเล่นบทบาทสามีสมจริงสมจังเกินไปหน่อยแล้ว “ที่จริงข้าคิดจะช่วยคน เหตุการณ์ในตอนนั้น ทำให้ข้าไม่มีทางอื่น” “ช่วยคน?” ฝ่ายชายรู้สึกตกใจ ไม่แสดงปฎิกิริยาอะไรออกมา เขานึกวิเคราะห์อย่างละเอียด จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป “เจ้าคิดช่วยรัชทายาท?” พอคิดถึงตอนที่นางปัดถ้วยเหล้าของรัชทายาทหกถึงสองครั้งแล้ว พอพูดแบบนี้ จึงมีความเป็นไปได้เดียวเท่านั้น “ไม่ผิดแน่ ในเหล้าของรัชทายาทมีพิษ?” “ท่านก็ยังไม่นับว่าโง่นี่” ถึงยังไงเขาก็ล่วงรู้ความลับของนางหลายเรื่องแล้ว เรื่องนี้จึงไม่จำเป็นต้องปิดบังอีก ฝ่ายชายเอาเหตุและผลมาพิจารณาอย่างละเอียดอีกครั้ง ถึงได้มองมาที่นางด้วยแววตาใหม่ “เป็นเพราะเหล้ากุ้ยฮัวของเสียนเฟย คนที่เทเหล้าล้วนแต่เป็นคนของเสียนเฟยทั้งสิ้น อีกทั้งเหล้าของทุกคนล้วนเทออกจากกาเดียวกัน แล้วทำไมทุกคนดื่มแล้วถึงไม่เป็นอะไร มีแต่รัชทายาทที่โดนพิษคนเดียว หรือว่าเสียนเฟยต้องการทำร้ายรัชทายาท?” “มีคนตั้งมากมายจ้องมองขนาดนั้น หากเสียนเฟยเลือกที่จะลงมือในงานจริง เท่ากับตัวเองรนหาที่ตายชัดๆ แม้แต่คนที่มีสมองคิดน้อย ก็ไม่กล้าทำอะไรโง่ๆแบบนี้หรอก” แสดงว่ามีคนอื่นคิดให้ร้าย คงจะจริง ยัยเด็กนี่กับเสียนเฟยสนิทสนมกันมาก คงคิดจะช่วยนางให้พ้นวิกฤตเป็นแน่ “ถ้าเจ้ารู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรก ก็ต้องไปบอกเสียนเฟยให้รู้ตัวก่อน แต่ถ้าเจ้ามารู้ในภายหลัง ในสภาพการณ์อย่างนั้น เจ้ารู้ได้ยังไงว่าในเหล้ามีพิษ?” ไม่ว่าเขาจะคิดยังไง ก็คิดไม่ออก หรือนางมีญาณวิเศษสามารถทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้? แต่ที่เขาไม่รู้ก็คือ เหตุการณ์นี้เป็นสิ่งที่จางยวี่โหร่วประสบมากับตัวเองในชาติก่อน ไม่อย่างนั้นแผนการณ์ที่จงใจเตรียมมาอย่างดีขนาดนั้น นางจะไปรู้ได้ยังไงกัน? “นั่นก็เพราะว่า…...” นางคิดเหตุผลออกมาจนได้ “เพราะระหว่างที่ข้าไปที่ชุนจิ่งไถเกิดได้ยินคนคุยกันที่ด้านหลังเขาจำลองว่าจะทำร้ายรัชทายาท ข้าจึงได้คิดเตรียมการไว้ตั้งแต่แรก เพราะหากรัชทายาทเกิดตายจริงล่ะก็ ข้าไม่อยากคิดถึงผลลัพธ์เลย จะต้องมีคนมากมายที่ต้องตายเพราะพัวพันกับเรื่องนี้แน่” เขาย่อมรู้ถึงผลลัพธ์ของเรื่องนั้นดี ดังนั้นพอได้ฟังที่นางอธิบายแล้ว จึงรู้ว่าที่นางทำไปทั้งหมดก็เพื่อช่วยเหลือคน ความโกรธที่อยู่ในใจจึงหายไปกว่าครึ่ง “ดีมาก เรื่องใหญ่ขนาดนี้เจ้ายังกล้าปิดบังข้าอีก เจ้าช่างเป็นผู้หญิงที่ดื้ออย่างไม่มีใครเปรียบ ยังไงข้าก็ต้องลงโทษเจ้าตามกฎของบ้าน” อะไรกัน นางก็อธิบายไปหมดแล้วนี่ ทำไมถึงจะยังทำโทษอีกล่ะ คนๆนี้มีเหตุผลบ้างหรือเปล่า ! จางยวี่โหร่วยังไม่ทันมีปฎิกิริยาตอบโต้ ก็ถูกเขาดึงเข้ามากอดในอกแน่น ทำเอาร่างของนางกดทับอยู่บนที่นั่งอ่อนนุ่มบนรถม้า จากนั้นจูบอันร้อนแรงก็ได้แย่งลมหายใจออกจากปากนางไป พอมาถึงตอนนี้ นางถึงได้เข้าใจว่า ที่ว่า”กฎบ้าน”นั้น หมายความแบบนี้นี่เอง สุดท้ายจางยวี่โหร่วก็ถูกหันยี่ฉีอุ้มลงมาจากรถม้าจนได้ ส่งนางกลับเข้าตำหนักไท่ซือ ขณะที่กำลังลงจากรถ หน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง ลมหายใจสั่นไหว เอาหัวซุกอยู่ในอกของเขาโดยไม่ขยับเขยื้อน ส่วนฝ่ายชายที่อุ้มนาง มีอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่าได้เจอเรื่องอะไรดีๆมา ถึงแม้จะมองไม่เห็นสีหน้าของเขา แต่ไอเย็นยะเยือกที่ออกมาจากร่างของเขานั้นจางหายไปแล้วไม่น้อย ทำให้รู้สึกเหมือนว่าผืนดินที่หนาวเย็นแห้งแล้งกำลังต้อนรับลมใบไม้ผลิอันอบอุ่น หลังจากพาจางยวี่โหร่วเข้าตำหนักไปแล้ว เขาก็ไม่ได้อยู่ทำอ้อยอิ่ง รีบจากไปโดยเร็ว แต่ในตอนที่เสี่ยวฟงเข้าไปช่วยนางอาบน้ำ ใบหน้าของจางยวี่โหร่วยังคงแดงเรื่ออยู่ ใบหน้าที่สวยงามอยู่แล้วเมื่ออยู่ใต้แสงโคมไฟยิ่งทำให้ดูงดงามน่าหลงใหลยิ่งขึ้น แม้ในตอนขากลับเสี่ยวฟงจะไม่ได้นั่งมาในรถม้าคันเดียวกับนาง แต่พอเห็นท่าทางของนางแบบนี้แล้ว ก็พอจะนึกภาพออกว่าระหว่างนางกับชิงผินอ๋องเมื่อครู่นี้มีเรื่องดีๆอะไรเกิดขึ้น 
已经是最新一章了
加载中