ตอนที่ 80 เกือบถูกบีบคอตายทั้งเป็น   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 80 เกือบถูกบีบคอตายทั้งเป็น
ต๭นที่ 80 เกือบถูกบีบคอตายทั้งเป็น ดี ตอนนี้เขาบีบคั้นนางเช่นนี้ ถ้างั้นนางก็ไม่เกรงใจแล้ว จางยวี่โหร่วสูดหายใจเข้าลึก ๆ คำหนึ่ง หลังจากนั้นมองดูเขาอย่างเย็นชา “ข้าก็เคยคิดว่าเราเป็นเหมือนเมื่อก่อนที่สวยงามปานนั้นมาตลอดจริง ๆ แต่เจ้าไม่รู้สึกว่าเกิดเรื่องมากมายเช่นนั้น ความรักระหว่างเราก็ได้เริ่มเสื่อมเปลี่ยนไปแล้วหรือ?” เกมนี้ เดิมนางยังสามารถเล่นได้ต่อไปนานอีกนิด แต่ตอนนี้เขาเองได้ทำลายความสมดุลของเกมนี้แล้ว ดังนั้นจางยวี่โหร่วไม่ต้องสุภาพกับเขาอีก เป่ยจื่อห้าวแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจถามว่า “โหร่วเอ๋อร์ นี่เจ้าหมายความว่าอะไร เจ้าคิดกล่าว...เจ้าไม่รักข้าแล้วหรือ?” เห็นได้ชัดว่าเขาจึงเป็นชายรานน้ำใจคนนั้น ตอนนี้ยังคิดจะเอาหม้อครอบลงบนศีรษะของจางยวี่โหร่ว นางต้องไม่แบกกะทะแทนเขาแน่นอนเด็ดขาด “หมายความอะไร องค์ชายสามควรรู้กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้องจึงถูก จิตใจของผู้หญิงล้วนอ่อนไหวเปราะบางมาก ในเวลาที่ข้าหมดหวังไร้การช่วยเหลือที่สุด แน่นอนข้าหวังว่าผู้ชายที่ข้ารักจะปรากฏขึ้นช่วยหนุนฟ้าทั้งผืนขึ้นมาเพื่อข้า สามารถไม่สนทุกสิ่งเพื่อข้าแม้ว่าต้องเป็นศัตรูกับทั้งโลก เพียงน่าเสียดาย...” นางจงใจหยุดลงพักหนึ่ง วาจาที่เหลือไม่ต้องพูดอะไรออกจากปากอย่างตั้งใจอีกแล้ว เป่ยจื่อห้าวก็เข้าใจว่าที่นางพูดถึงคืออะไรทันที ดังนั้นรีบออกปากอธิบายว่า “เจ้ามิใช่โกรธข้าเพราะวันนั้นที่ท้องพระโรงข้าไม่ได้ช่วยเจ้าลงทัณฑ์อย่างรุนแรงต่อเฉินกั๋วกงพ่อลูกด้วยกันหรือ? ข้าก็จำใจด้วย เสด็จพ่อก็ทรงประชวรกลายเป็นแบบนั้น ข้ามิอาจทำใจให้เขาต้องทำงานหนักเพื่อการนี้ แต่เจ้าคิดว่าถ้าหากก่อเรื่องวุ่นวายหนักต้องปิดฉากจบไม่ดีแน่นอน เฉินกั๋วกงก็มีหลายพรรคพวกในราชสำนัก พวกเจ้าก็มิอาจสามารถเอาเปรียบอะไรได้” วาจานี้ของเขา อย่างมากก็เพียงหลอกตัวเขาเองเท่านั้น จางยวี่โหร่วจะสามารถเชื่อได้อย่างไรอีก หรือว่านางเป็นคนงี่เง่าหรือ จะไม่รู้ว่าวันนั้นการกระทำของเขาเป็นการช่วยแก้ต่างให้เฉินกั๋วกงพ่อลูกชัด ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเขามาสร้างปัญหาแล้วถ้างั้นภัยของเฉินซูเสียนอย่างน้อยที่สุดก็เป็นจองจำในคุก เขาต้องได้เห็นองค์ชายสองเพราะหลังจากที่ช่วยนางเจรจาจนขัดใจกับตระกูลเฉินอย่างสมบูรณ์ เขาก็คิดจะรวบเอาเรื่องนี้มาเป็นของตนเองใช้สอยทันที นางได้รู้จักกับเป่ยจื่อห้าวมาสองชั่วชีวิตแล้ว หรือยังไม่ชัดเจนว่าที่แท้เขาเป็นคนอย่างไรหรือ? “ใช่อ่า เจ้าพูดถูก นี่เป็นคุณธรรมที่เจ้ายืนหยัด เห็นแก่สถานการณ์โดยรวมเป็นสำคัญ” นางแสดงรอยยิ้มที่เยาะเย้ยเล็กน้อยออกมา เป่ยจื่อห้าว รีบแสดงออกลักษณะที่พูดผิดคำไปแล้วออกมา จับมือนางไว้ “โหร่วเอ๋อร์ไม่ใช่เช่นนี้ เจ้าจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในใจของเปิ่นหวัง ทุกสิ่งที่เปิ่นหวังทำล้วนคิดเพื่อประโยชน์ของเจ้าอ่า” จางยวี่โหร่วยิ้มอย่างเย็นชาเสียงหนึ่ง หลังจากนั้นผลักเขาออกไปโดยตรง วิเคราะห์อะไรเรียกว่าการเสแสร้ง เป่ยจื่อห้าวเป็นคนที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติการณ์ และในอนาคตก็ไม่มีด้วยอ่า! “พอแล้ว องค์ชายสาม หรือว่าฟ้าลิขิตไว้เจ้าข้าไร้วาสนาต่อกัน เป็นโหร่วเอ๋อร์มิคู่ควรแก่เจ้า วันข้างหน้าก็เป็นเช่นนี้ ลาก่อนในที่นี้แล้วเพค่ะ” หรือว่านางยังสามารถแสดงออกทั้งสีหน้าฝีปากรักอย่างลึกซึ้งออกมาให้เขาต่อไปได้หรือ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป่ยจื่อห้าวดึงเฉินกั๋วกงเข้าเป็นพรรคพวกอย่างชัดเจน เป็นเขาที่ฉีกหน้าขาดก่อน ถ้างั้นตอนนี้จางยวี่โหร่วยังมีอะไรที่ต้องน่าเกรงกลัวอีก ในเมื่อเขาคิดดึงเอาเฉินกั๋วกง ก็เท่ากับยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับพวกเขาตระกูลจาง ถ้าเขากล้าทำไม่ดีแล้ว พวกเขาก็จะไม่สุภาพเหมือนกัน ในที่สุดก็เป่ยจื่อห้าวดูออก จางยวี่โหร่วเอาจริงเอาจังอย่างสิ้นเชิง เรื่องนี้ไม่มีที่เหลือให้หันหลังกลับมาได้แล้ว สีหน้าเขาหม่นหมองลงมาทันที การเสแสร้างทั้งหมดฉีกเปิดออกทันใด “เจ้าไม่คิดอภิเษกสมรสกับเปิ่นหวัง เพราะเจ้ารักอ๋องชิงผินเข้าแล้วใช่ไหม?” เขาจับข้อมือของนางไว้แน่น ซักถามด้วยความโกรธสุดขีด เพิ่มแรงอย่างมากโดยไม่คำนึงถึงว่าได้ทำให้นางปวดแล้ว “นี่เป็นเรื่องระหว่างเรา ทำไมต้องลากคนอื่นเข้ามาให้ได้?” ทำผิดพลาดแล้วไม่รู้จักค้นหาเหตุผลจากตัวตนของตนเอง กลับผลักภาระความรับผิดชอบทั้งหมดไปยังคนอื่น ๆ ช่างเป็นการกระทำของคนขี้ขลาดจริง ๆ จางยวี่โหร่วแค่เกลียดตัวเองที่ตาบอดไปแล้ว ก่อนหน้านี้กลับยังตกหลุมรักกับผู้ชายแบบนี้ได้ “ความรักของเราก่อนหน้านั้นล้วนดีขนาดนั้นมาตลอด ก็เพราะการปรากฏตัวของอ๋องชิงผินคนนั้น เจ้าก็เริ่มห่างเหินจากเปิ่นหวัง ถ้าไม่ใช่เพราะเขาขัดขวางระหว่างกลางหลายครั้ง เราก็ได้เป็นสามีภรรยากันตั้งนานแล้ว ข้อตกลงตามนัดสามเดือนนั่นก็ได้ผ่านไปแล้วหนึ่งเดือน ขณะนี้เจ้าได้กล่าววาจาเช่นนี้ หรือว่าตั้งใจให้เปิ่นหวังอึดอัดใจ ที่แท้เจ้าเห็นเปิ่นหวังเป็นอะไรแล้ว?” “เจ้าปล่อยข้า ปล่อยนะ!” จางยวี่โหร่วดิ้นรนอย่างต่อเนื่อง ทันใดนั้นวัตถุสีแดงเล็ก ๆ สิ่งหนึ่งลื่นไหลลงมาจากร่างของนางแล้วหล่นไปบนพื้น นั่นคือ... จางยวี่โหร่วเพิ่งคิดหยิบขึ้นมา แต่เวลานี้กลับมีคนหยิบสิ่งนั่นไปเร็วกว่านางก้าวเดียว นั่นเป็นกระเป๋าเงินที่เย็บปักยวนยางอย่างวิจิตรงดงามละเอียดอ่อนมากใบหนึ่ง ทุกเข็มทุกฝีด้ายล้วนพิถีพิถันละเอียดมากอย่างเห็นได้ชัด ยวนยางเป็นสัญลักษณ์ของความรักอย่างลึกซึ้งระหว่างสามีและภรรยา ความสัมพันธ์อันดีนับร้อยปี บนร่างนางมีสิ่งนี้ได้อย่างไร หรือว่า...นี่เป็นนางทำเองเหรอ? นั่นทำเพื่อใครน่ะ? พลิกหันกระเป๋ากลับมา ก็ได้เห็นด้านหลัง มีคำว่า “หัน” ปักด้วยดิ้นทองตัวหนึ่ง ประกายตาของ เป่ยจื่อห้าวพลันหม่นหมองขึ้นมา เรื่องมาถึงวันนี้ เขาไหนเลยยังมิอาจเข้าใจ จางยวี่โหร่วเห็นเขาเก็บกระเป๋าเงินใบเล็กขึ้นมา ก็ขึ้นหน้ามาคิดจะชิงคว้ากลับไปทันที แต่เป่ยจื่อห้าวกลับผลักนางล้มลงไปบนพื้น “จางยวี่โหร่ว ทั้งหมดมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังกล้าโต้เถียง เรื่องมาถึงตอนนี้ เจ้ายังมีวาจาใดจะกล่าว!” เขาโยนกระเป๋าเงินใบนั้นลงบนตัวนางอย่างรุนแรง ตัวอักษร “หัน” นั้นสะดุดตา ได้บ่งชี้เผยอะไรออกมาอย่างชัดเจนแล้ว จางยวี่โหร่วไม่ได้ทำอะไรผิดที่ต้องหวั่นเกรง นางเก็บกระเป๋าเงินใบเล็กขึ้นมาอย่างใจเย็น หลังจากนั้นลุกขึ้นยืน “องค์ชายสาม ขณะนี้ท่านกำลังใช้สถานภาพใดมาซักถามหม่อมฉัน? ท่านคิดว่าท่านเป็นใครของหม่อมฉันอีกเพค่ะ?” เป่ยจื่อห้าว คิดว่าตอนนี้เขาได้เปิดเผยเรื่องนี้ จางยวี่โหร่วต้องรู้สึกอับอายมากไม่มีศักดิ์ศรี ไหนเลยคิดว่านางกลับยังสามารถพูดกับเขาอย่างกล้าหาญมีเหตุผลเช่นนี้ ที่แท้นางรู้จักอะไรที่เรียกว่าความอับอายหรือไม่ ช่างเป็นผู้หญิงสำส่อนใจง่ายคนหนึ่งอย่างสิ้นเชิง “เจ้าเป็นกุ้ยเฟยที่ฮ่องเต้ทรงโปรดพระราชทานให้อภิเษกสมรสกับเปิ่นหวัง ตอนนี้เจ้ากลับกำลังล่อชายอื่นร่วมล่วงประเวณีกันลับหลังเปิ่นหวัง ถ้าเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป เจ้ารู้ว่าตนเองต้องตกเข้าไปสู่จุดจบเช่นไร” จางยวี่โหร่วไม่ได้แสดงความหวั่นไหวออกมาสักนิด แต่ยังส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ ออกมาคราหนึ่ง “หม่อมฉันได้กราบทูลไปแล้วก่อนหน้านี้ว่า หม่อมฉันได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสกราบไหว้ฟ้าดินกับอ๋องชิงผิน เข้าห้องหอไปแล้ว เป็นผู้หญิงของเขาแล้ว เป็นท่านที่พัวพันอย่างหนัก ยังบอกว่าไม่รังเกียจที่หม่อมฉันมีเรือนร่างที่เป็นหยกไร้สมบูรณ์ ต้องการอภิเษกสมรสหม่อมฉันเป็นภรรยา ถึงกับยังใช้ความตายบีบคั้น ดังนั้นการสมรู้ร่วมคิดเป็นชู้ คำเหล่านี้ ข้ามิอาจรับไว้ได้” “เจ้า...” เป่ยจื่อห้าวจะอย่างไรก็มิอาจได้คิด ตนเองไม่เพียงแต่ไม่ได้เปรียบถึงครึ่งหนึ่ง แต่ยังให้จางยวี่โหร่วหยิบยืมใช้เรื่องนี้ทำให้เขาอัปยศถึงที่สุดหนึ่งรอบ พลันเขาโกรธจนดวงตาแดงไปบ้างเล็กน้อยแล้ว ตอนนี้คิดแล้ว วันนั้นเขาอยู่ในห้องทรงพระอักษรวิงวอนขออย่างยากลำบาก ถึงกับใช้มีดกริชแทงทำร้ายตัวเองบาดเจ็บ ในสายตาของนาง ก็เป็นเรื่องตลกทั้งหมดหนึ่งฉากแล้ว เป่ยจื่อห้าว เกือบจะระเบิดแล้ว มองผู้หญิงคนนี้ตรงหน้า ราวกับว่าเขาไม่เคยรู้จักปานนั้น แทบจะทำให้เขาแปลกหน้าสุดขีด “ยังมี แรกเริ่มเดิมทีต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ เป็นพระองค์ท่านได้รับปากสัญญาสามเดือนนั้นด้วยพระโอษฐ์พระองค์เอง และกล่าวอย่างดิบดีว่าจะยอมรับผลใด ๆ ด้วย ทำไม องค์ชายสามแท้ ๆ หรือว่าเดิมพันท้าพนันได้แต่มิอาจพ่ายแพ้สูญเสียได้หรือ?” ครั้งนี้ นับว่าฉีกหน้ากันไปแล้วอย่างสมบูรณ์ ถึงยังไงก็ต้องมีวันนี้สักครา จางยวี่โหร่วก็ได้เตรียมใจไว้แล้ว คิด ๆ วันเหล่านี้เป่ยจื่อห้าวได้ถูกปกปิดมาโดยตลอด เหมือนตัวตลกโลดเต้นไปมาในสายตานางได้ทำหลายสิ่งขนาดนั้นที่ตนคิดว่าถูกต้อง ตอนนี้ความจริงเปิดเผย เขาต้องโกรธจนระเบิดไปแล้วแน่ ๆ ! คิด ๆ ดูเป่ยจื่อห้าวเป็นคนที่ให้ความสำคัญสุด ๆ แก่หน้าตาเช่นนั้น แต่ตอนนี้กลับได้รับความอับอายยิ่งใหญ่ขนาดนั้นต่อหน้านาง จางยวี่โหร่วก็รู้สึกสะใจมาก ถึงยังไง ๆ ก็ตอนนี้เขาไม่สามารถทำอะไรนางได้ จางยวี่โหร่วก็ไม่กังวลสักนิด ระหว่างนางกับเป่ยจื่อห้าว ก็ต้องจัดการให้เด็ดขาดแล้วแต่เนิ่น ๆ ตั้งแต่เริ่มแรก “จางยวี่โหร่ว!” เป่ยจื่อห้าวพลางตะโกนชื่อนางด้วยความโกรธ เอ็นเขียวที่หน้าผากปูดโปน แค้นจนจะตรงเข้าไปบีบคอนางให้ตายโดยตรง แต่เขาก็ทำอย่างนี้จริง ๆ ยามที่ได้สติกลับมา คอระหงของจางยวี่โหร่วได้ถูกเขาบีบไว้แน่น นางเริ่มหายใจลำบาก ดิ้นรนอย่างเต็มที่สุดชีวิต แต่ทำอย่างไรกลับมิอาจดิ้นหลุดพ้นจากคีมล๊อคของเขาได้ เป่ยจื่อห้าว เขาคิดฆ่านางให้ถึงแก่ความตายสถานเดียว เขาก็ได้ลงมือฆ่าให้ตายอย่างสิ้นเชิง จางยวี่โหร่วเริ่มสำนึกผิดเสียใจที่ไม่ควรยั่วยุโทสะเขาเช่นนี้ อย่างน้อยก็ไม่ควรในเวลาที่มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น สถานการณ์แบบนี้ ช่างอันตรายมากยิ่งนัก “แค้ก ๆ ปล่อย...ปล่อยมือ...” จางยวี่โหร่วมิอาจกล่าววาจาใดออกมาได้ทั้งหมดแล้ว เวลานี้ ข้างนอกเสียงฝีเท้าระลอกหนึ่งดังมาอย่างชัดเจน ต่อมาก็ได้ยินเสียงประตูเปิดออก “คุณหนู!” เสี่ยวเฟิงเปิดประตูได้เห็นถึงฉากนี้ปั๊บ ก็กรีดร้องเสียงแหลมคราหนึ่งออกมาทันที “องค์ชายสาม ท่านกำลังทำอะไร ปล่อยมือ ปล่อยคุณหนูบ้านหม่อมฉัน” นางเพียงไปห้องครัวสักพักเท่านั้น ต้มน้ำแล้วชงชาเสร็จเรียบร้อยยกมาเท่านั้น ไหนจะคิดว่าจากไปเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ได้เกิดเรื่องแบบนี้แล้ว “ไสหัวไป!” เป่ยจื่อห้าวเท้าเดียวเตะเสี่ยวเฟิงล้มไปบนพื้นโดยตรง แต่เสี่ยวเฟิงกลับไม่สนใจความเจ็บปวดของตัวเอง ขึ้นหน้าไปดึงแขนของเขาไว้ให้แน่น นายบ่าวสองคนดิ้นรนต่อสู้สุดชีวิตด้วยกัน ในที่สุดก็ดิ้นหลุดจากมือของ เป่ยจื่อห้าวออกมาได้ “จางยวี่โหร่ว บอกแก่เจ้า เรื่องนี้เปิ่นหวังจะไม่ปล่อยให้เลิกรากันอย่างสันติเด็ดขาด ถ้าเจ้ากล้าหยอกเล่นเปิ่นหวังเช่นนี้ เปิ่นหวังต้องให้เจ้าตายเสียยังจะดีกว่ามีชีวิตอยู่” หลังจากตะโกนคำพูดนี้แล้ว เป่ยจื่อห้าวก็หันหลังเดินก้าวใหญ่จากไปโดยตรง ทิ้งนายบ่าวสองคนที่ตกใจอกสั่นขวัญยังหายไม่สร่างไว้ จางยวี่โหร่วไออย่างสุดชีวิต ในที่สุดจึงได้ผ่อนหายใจตามลมอย่างยากลำบาก เสี่ยงฟงที่ด้านข้างตบหลังของนางปวดใจจนร้องไห้ไม่หยุด “คุณหนู คุณหนูไม่เป็นไรนะ” ล้วนเป็นนางไม่ดี กลับทิ้งคุณหนูไว้คนเดียวในห้อง นางยังเกือบได้รับพิษภัยน่าสังเวชจากมือที่ชั่วร้าย “ไม่มีอะไรหรอก” แม้ว่าจางยวี่โหร่วจะมีแรงกลับมาอย่างช้า ๆ แต่สีหน้าของนางกลับยังไม่ดีมาก บนคอยังมีร่องรอยถูกบีบอย่างชัดเจน เห็นนางแบบนี้ น้ำตาของเสี่ยวเฟิงก็ไหลลงมาอย่างไม่หยุดยั้ง “คุณหนู องค์ชายสามเกินไปแล้ว ทำเรื่องเช่นนี้ต่อเจ้าได้อย่างไร เรารีบไปบอกเรื่องนี้กับท่านไท่ซือและใต้เท้า ให้พวกเขาช่วยผดุงความยุติธรรมให้เจ้า” พูดประโยคนี้จบเสี่ยวเฟิงก็คิดวิ่งออกไปข้างนอก แต่กลับถูกจางยวี่โหร่วตวาดให้หยุดไว้ “หยุด ห้ามไป” “แต่ องค์ชายสามเมื่อครู่พระองค์เพิ่งจะอีกนิดเดียวก็...” นางแทบจะมิอาจจินตนาการได้ทั้งสิ้น ถ้านางมาช้าอีกก้าวเดียว ถ้างั้นคุณหนูจะต้องเผชิญเรื่องใด นั่นแทบเป็นเรื่องน่ากลัวมากเกินไปจริง ๆ นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความปลอดภัยในชีวิตของคุณหนู เสี่ยวเฟิงไหนเลยจะโน้มน้าวให้ตนเองสงบใจลงมาได้ 
已经是最新一章了
加载中