ตอนที่ 196 ปัจจัยชี้ขาดเรื่องราชบัลลังก์   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 196 ปัจจัยชี้ขาดเรื่องราชบัลลังก์
ต๭นที่ 196 ปัจจัยชี้ขาดเรื่องราชบัลลังก์ “เป็นข่าวที่จ้าวซินซินด้านโน่นส่งมา ตอนนี้หล่อนได้รับความไว้วางใจจากจางยวี่โหร่วแล้ว แน่นอนสามารถล้วงเอาความลับมากมายจากนางมาไม่น้อย” เป่ยจื่อห้าวกล่าวตามความเป็นจริง “อะไร? จางยวี่โหร่วนั่นไม่ใช่ฉลาดมากหรือ ความลับที่ยิ่งใหญ่สำคัญเช่นนี้ ทำอย่างไรจึงสามารถทำให้หล่อนล่วงรู้ได้ คงไม่ใช่เป็นของปลอมน่ะ” หลี่เฟยเริ่มสงสัยความเป็นจริงในวาจานี้ตามสัญชาตญาณ เป็นไปไม่ได้ จ้าวซินซินไม่ได้รู้เรื่องนี้อย่างสิ้นเชิง แม้ว่าหล่อนคิดจะส่งข่าวสารเท็จก็คงไม่น่าเป็นข่าวสารที่เป็นเท็จเช่นนี้ เชื่อว่ามีเรื่องนี้ดีกว่าที่จะไม่เชื่อว่าไม่มีน่ะ ถ้าจางยวี่โหร่วได้รู้ความลับของเราจริง ๆ แล้ว คาดไม่ถึงว่าเรายังไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ไม่ได้รู้เรื่อง นี่ไม่ใช่น่ากลัวเกินไปแล้วหรือ?” ถึงแม้ว่าเรื่องนี้กระทบใส่เขาอย่างแรง แต่ถ้าเขาไม่รู้ ไม่ได้มีการเตรียมใจสักนิดเลย รอจนภัยพิบัติมาถึง ทุกสิ่งก็สายเกินไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้เขารู้สึกว่าจ้าวซินซินยังเป็นประโยชน์ และจะไม่สงสัยในความจริงของวาจานี้ด้วย “นั่น...ตอนนี้ทำยังไงดี?” จางยวี่โหร่วนางยังเป็นมนุษย์ นางคงไม่ค่อยน่ากลัวเกินไปนัก ความลับนี้นางรู้ได้อย่างไร ข้าไม่สามารถจินตนาการได้” ตอนนี้พวกเขาพูดถึงจางยวี่โหร่ว ต่างรู้สึกหวาดกลัวที่ไม่สามารถอธิบายได้จากในใจ ทั้งยังมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีชนิดหนึ่งด้วย คิดให้ดี ๆ ตั้งแต่วันอภิเษกสมรสครั้งใหญ่ หลังจากที่จางยวี่โหร่วขึ้นเกี้ยวผิดคันไปแล้ว ดูเหมือนว่าก็ได้บ่มเพาะกำลังพอที่จะต่อสู้กับพวกเขาแล้ว ที่แท้พวกเขาได้กระทำผิดสถานใดต่อนาง ทำไมนางต้องเป็นปฏิปักษ์กับพวกเขาขนาดนี้น่ะ? “ก็ต่อให้คิดจะกำจัดนาง เกรงว่าจะสายเกินไป บางทีนางอาจจะบอกข่าวเรื่องนี้แก่อ๋องชิงผินแล้ว บางทีพระเชษฐาสองด้านนั้นก็ทรงทราบแล้ว ตอนนี้พวกเขาเป็นระบายลมปราณผ่านรูจมูกเดียวกันทั้งหมด อ๋องชิงผินมือกุมอำนาจสำคัญด้านทหาร แข็งต่อแข็งชนกัน เราไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้โดยสิ้นเชิง ดังนั้น ตอนนี้เราได้แต่เพียงใช้ปัญญาเข้าชิงเอาแล้ว” เป่ยจื่อห้าวมือกำกำปั้นไว้แน่น เส้นเอ็นเขียวปูดโปนปรากฏบนหลังมือ “นั่น...ตอนนี้เราต้องทำอย่างไร ลูกเอ๋ยเจ้ารีบคิดหาวิธีโดยเร็ว เมื่อความลับนี้ถูกเปิดเผยออกมา พวกเราก็ต้องจบเห่ทั้งหมดแล้ว” สติหลี่เฟยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวถึงที่สุดแล้ว ทั่วร่างสั่นเทิ้มด้วยความกลัว “ไม่ต้องรีบ เปิ่นหวังได้คิดแผนสำรองไว้แล้ว แม้ว่าจางยวี่โหร่วรู้เรื่องนี้แล้วเป็นอย่างไร ถ้านางมีหลักฐานจริง ๆ น่าจะได้ไปเปิดเผยต่อพระพักตร์เสด็จพ่อแล้ว แทนที่จะรอจนถึงตอนนี้ ดังนั้นนางอาจจะเพียงแค่รู้สึกสัมผัสอะไรบางอย่างเท่านั้น แต่ไม่มีหลักฐาน นางอาจคิดว่ากองทัพลับของเปิ่นหวังไหนเลยจะถูกค้นพบได้อย่างง่ายดายหรือ? ช่วงเวลาก่อนที่นางจะเข้าใจถึงที่สุดในสิ่งที่พวกเขาเคลื่อนไหวกระทำ ก็เพียงพอสำหรับเปิ่นหวังไปทำบางสิ่งบางอย่างแล้ว” ในช่วงเวลาที่ฉุกเฉิน เขากลับนิ่งสงบลงมาแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องรีบ การตื่นตระหนกยิ่งไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ ยังไง ๆ ก็มาถึงจุดวิกฤติฮึดสู้สุดแรงสักตั้งแล้ว ถ้าคิดจะบรรลุความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ก็ต้องใจเหี้ยม “ลูกเอ๋ย หรือว่าเจ้าได้คิดแผนสำรองเรียบร้อยแล้ว?” “ฮ่าฮ่า...เปิ่นหวังได้เตรียมการไว้นานแล้ว เปิ่นหวังได้ส่งนกพิราบสื่อสารส่งข่าวสถานการณ์ปัจจุบันเกี่ยวกับหนานหชู่ทุกอย่างให้แก่แคว้นเยกับแคว้นเชียว ตอนนี้ต้องการเพียงรอโอกาสหนึ่งเท่านั้น พวกเขาก็สามารถส่งทหาร ถึงเวลานั้นอ๋องชิงผินก็ต้องกลับไปแนวหน้าเพื่อนำกองทหารเข้าสู้รบ ถึงแม้ว่าเขาจะดุร้ายอีกก็จะเป็นอย่างไรเล่า ยังสามารถใช้วิชาแยกร่างมายุ่งเรื่องของเราหรือ? ฉวยโอกาสที่พวกเขาต่อสู้อย่างหนักที่ชายแดน เราก็สามารถเริ่มเคลื่อนกองทัพของเราเพื่อบีบคั้นพระราชวัง เมื่อเวลามาถึง ทั่วหล้าหนานหชู่ก็เป็นของเราแล้ว” ก้นบึ้งสายตาของเป่ยจื่อห้าวเต็มไปด้วยประกายแห่งความปรารถนาและความทะเยอทะยาน “อะไร? เจ้าต้องการที่จะบีบคั้นพระราชวังจริง ๆ หรือว่าไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือ?” นี่เป็นก้าวหนึ่งที่พวกเขาถูกบีบคั้นจนอดไม่ได้ต้องทำในที่สุด แต่แน่นอนหลี่เฟยยังหวังว่าสามารถใช้วิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหา “นอกจากนี้ เพราะเจ้าได้แก้ไขปัญหาฆาตกรที่วางยาพิษองค์รัชทายาทไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในราชสำนักหรือในหมู่ประชาชนก็ได้สร้างบารมีไว้แล้ว องค์รัชทายาทได้สวรรคตไปแล้ว ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญในการสถาปนาองค์รัชทายาท บางทีเสด็จพ่อของเจ้าอาจจะต้องพระทัยในเจ้า ทรงคิดสถาปนาเจ้าเป็นองค์รัชทายาทแล้ว เราอย่าเคลื่อนไหวโดยพลการน่ะ” เมื่อทำลงไปแล้ว ก็ไม่มีหนทางที่จะหันหลังกลับแล้วจริง ๆ แม้ว่าพวกเขาจะชนะได้ทั่วหล้าแล้วเป็นอย่างไรอีก ถึงเวลาก็ถูกจับในข้อหากบฏได้ครอบครองบัลลังก์อย่างไม่ถูกต้องเสียชื่อวาจาสัตย์ ก็ไม่เป็นที่เชื่อถือครองใจผู้คน เมื่อถึงเวลาต้องก่อให้เกิดเภทภัยมากกว่านี้แน่นอน เป่ยจื่อห้าวขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาดูเหมือน...ยังไม่ได้คิดถึงปัญหาในเรื่องนี้เลย เพราะวันเวลาเหล่านี้ เขาได้ใช้พละกำลังเข้าโรมรันกับองค์ชายสองทั้งในที่ลับและที่แจ้งมาตลอด บางทีก็ลากหาพรรคพวกขุนนางใหญ่เป็นการส่วนตัว เล่นพรรคเล่นพวกโดยส่วนตัว แต่เขากลับลืมเรื่องที่สำคัญที่สุดที่เป็นพื้นฐานที่สุดไปแล้ว เขาต้องชนะใจเสด็จพ่อ ให้พระองค์ทรงยินดีเต็มพระทัยที่จะพระราชทานราชบัลลังก์ให้เขา ถ้าเพียงแต่ได้รับความโปรดปรานจากพระองค์เท่านั้น ตอนนี้ ทุกสิ่งที่เขากำลังทำมีความจำเป็นอะไรอีกเล่า? เขาเป็นคนโง่จริง ๆ โง่บรมสุด ๆ แล้วจริง ๆ “พระมารดา ที่พระองค์ได้ทรงเตือนก็ถูกต้อง หม่อมฉันไม่เคยคิดปัญหานี้มาก่อนน่ะ ตอนนี้เสด็จพ่อพระองค์ทรงเป็นอย่างไรแล้ว หรือไม่หม่อมฉันก็ไปเยี่ยมดูพระองค์ตอนนี้เพค่ะ” “ยังคงเหมือนเดิม ตามที่แพทย์หลวงบอกไว้ก่อนหน้านี้อาการสาหัสมาก เกือบจะไม่รอดแล้ว แต่ดูเหมือนว่าสองสามวันนี้อาการก็กระเตื้องขึ้นบ้าง ถ้าหากเสด็จสวรรคตคราเดียวจบชีวิตก็เป็นเรื่องดี แต่ตอนนี้ลากถูลู่ถูกังครึ่งเป็นครึ่งตายจึงไม่เป็นผลดีต่อการทำงาน ถ้าก่อนพระองค์สิ้นชีพตักษัยทรงมีพระราชโองการสถาปนาองค์ชายสองเป็นองค์รัชทายาท ถึงเวลาเราแม่ลูกก็ต้องตกอยู่ในอันตรายโดยสมบูรณ์ไม่ใช่หรือ ไหนเลยยังสามารถหวนกลับคืนได้?” เป่ยจื่อห้าวคิดอย่างรอบคอบแล้ว เรื่องนี้ไม่สามารถล่าช้าได้แล้วจริง ๆ “ดี ตอนนี้ข้ากำลังจะไปเยี่ยมเสด็จพ่อ สืบข่าวจากพระโอษฐ์ของพระองค์ ตอนนี้เวลาเช่นนี้ ไม่ว่าจะอย่างไรพระองค์ก็ควรจะแพร่งพรายสักนิดเถิด! หรือจะรอจนกว่าพระองค์เองสูญเสียพระชนม์ชีพสิ้นหมดแล้ว ทั่วใต้หล้าหนานหชู่สับสนวุ่นวายอย่างสาหัสหรือ?” พวกเขาแม่ลูกสองคนต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันทั้งหมดเกี่ยวกับเรื่องสืบสานราชบัลลังก์หลังจากการสิ้นพระชนม์ของฮ่องเต้ แต่ไม่ได้กังวลเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้อย่างสิ้นเชิง วาจาพวกเขาถ้าถูกผู้คนได้ยินแล้ว ต้องมีโทษหมิ่นพระบรมฯแน่ ๆ ... “แค๊ก...แค๊ก ๆ ...” เสียงไออันอัดอั้นตันใจเจ็บปวดมากสุดดังมาจากในพระตำหนักเฉียนชิงเป็นพัก ๆ ซูเฟยและเซียนเฟยปรนนิบัติอยู่ข้างเตียง ทรงทอดพระเนตรเห็นพระองค์ในสภาพเช่นนี้ ก้นบึ้งสายตาทอประกายเศร้าปวดใจออกมา “ฝ่าบาท พระองค์ทรงรีบหายพระประชวรโดยไวเพค่ะ พระองค์อย่าทรงทำให้หม่อมฉันทรงตกใจเถิดเพค่ะ!” พวกเขาทรงรักฮ่องเต้อย่างจริงใจ ดังนั้นเมื่อได้เห็นพระองค์ทรงพระประชวรอยู่บนเตียงเช่นนี้ จึงได้เศร้ามากแบบนี้ “เจิ้ง..ไม่เป็นไร พวกเจ้ารีบกลับวังไปเถิด” ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรเห็นพวกนางสองคนได้อยู่ที่นี่เป็นเพื่อนติดต่อกันมาหลายวัน สีพระพักตร์ต่างซีดเซียวอ่อนแอมาก ก็มิอาจอดกลั้นใจได้ พระองค์ก็ทรงทอดพระเนตรเห็นแล้ว “ไม่ หม่อมฉันไม่ไป หม่อมฉันจะเฝ้าอยู่นี่ เพื่อดูว่าฝ่าบาททรงดีขึ้นแน่นอนเพค่ะ” เวลานี้ จู่ ๆ เสียงของขันทีอันแหบเบาได้ดังมาจากหน้าประตู “องค์ชายสามเสด็จมา!” สีหน้าของซูเฟยและเสียนเฟยอดไม่ได้เปลี่ยนไปทันที ต่างมองตากัน หลังจากนั้นลุกขึ้นยืนไปด้านข้าง ในไม่ช้า ก็เห็นเงาร่างในเสื้อคลุมสีฟ้าปรากฏขึ้นที่หน้าประตูแล้ว สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล “เสด็จพ่อ พระวรกายของพระองค์ ตอนนี้ยังไม่หายดีหรือ? ลูก กระหม่อมช่างอกตัญญูจริง ๆ เพิ่งมาเยี่ยมดูเสด็จพ่อในตอนนี้ ยังขอให้เสด็จพ่อทรงโปรดให้อภัยพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้ได้ทรงพระประชวรมานานหลายวัน ไม่เคยเห็นเขามา สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ เขาก็ควรรู้อยู่แก่ใจ ตอนนี้จึงได้แสดงท่าทีแบบนี้ ออกจะเสแสร้งเกินไปแล้วไหม
已经是最新一章了
加载中