ตอนที่ 202 การเปลี่ยนไปของหันยี่ฉี   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 202 การเปลี่ยนไปของหันยี่ฉี
ต๭นที่ 202 การเปลี่ยนไปของหันยี่ฉี แรงกดดันที่สร้างขึ้นจากสามแคว้น ทำอะไรองค์ชายรองไม่ได้แม้แต่น้อย เขายังคงกล้าหาญเด็ดเดี่ยวอยู่เช่นเดิม เรื่องอาการป่วยของฮ่องเต้หนานชู่ พวกเขากล้ารับรองได้ ฮ่องเต้ผู้นี้ได้มอบอำนาจให้กับองค์ชายรอง ต้องมีเหตุผลของเขาเป็นแน่ มิน่าองค์ชายสามถึงรีบปล่อยนกพิราบส่งข่าวมาแจ้งพวกเขา มู่โหรงจิ๋วส่งสายตาไปหาเป่ยจื่อห้าว และทำเป็นมองไปทางอื่น เห็นได้ชัดว่า พวกเขากำลังส่งสัญญาณลับต่อกัน เป่ยจื่อห้าวเตือนพวกเขาว่านี่ไม่ใช่โอกาสที่ดีที่จะกลั่นแกล้ง รีบวางมือซะ อย่าทำให้เสียเรื่อง แต่จากนิสัยที่กำเริบเสิบสานของมู่โหรงจิ๋วแล้ว จะไปทนได้อย่างไรกันล่ะ? ทันใดนั้น เสียงอันนุ่มนวลอ่อนโยนก็ค่อยๆพูดขึ้น “องค์ชายรองจากหนานชู่พูดถูก ที่พวกข้ามาในวันนี้ ก็เพื่อขอให้ทั้งสี่แคว้นสงบสันติ ยุติสงครามที่จะเกิดขึ้น ถ้าแม้แต่การยินยอมและความรู้สึกผิดยังไม่มี จะพูดคุยต่อไปได้อย่างไรกัน?” พอนางพูดออกไป ทุกคนต่างก็มองมาที่นาง จางยวี่โหร่วอดมองไปไม่ได้เช่นกัน นางเป็นองค์หญิงจากแคว้นเหลียง ไม่คิดเลยว่านางจะช่วยพูดแทนหนานชู่ แสดงให้เห็นว่าแคว้นเหลียงได้แสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้เป็นฝ่ายเดียวกับแคว้นเย่นและเซียว คำพูดของนาง ทำให้มู่โหรงจิ๋วโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เดิมถูกเป่ยจื่อห้าวตักเตือนไป เขายังพอทนได้ แต่ตอนนี้กลับถูกผู้หญิงตัวเล็กๆคนนึงประณามต่อหน้าผู้คน เขายังมีเกียรติหน้าตาอะไรหลงเหลืออยู่อีก? “เจ้าหมายความว่า ทุกอย่างเป็นความผิดข้างั้นหรือ? เป็นแค่องค์หญิงจากแคว้นเหลียง ริอาจตำหนิข้า เจ้ากล้าดียิ่งนัก ด้วยความที่มู่โหรงจิ๋ววู่วาม จึงอยากจะชักมือขึ้นมาตบนางซะทีเดียว งานเลี้ยงยังไม่ทันเริ่มขึ้นเลย ก็เกิดการทะเลาะวิวาทกันเสียแล้ว ต่อมากลับกลายมาเป็นความขัดแย้งระหว่างแคว้นเย่นและแคว้นเหลียง กำลังพลของแคว้นเหลียงด้อยที่สุด นางไม่กลัวว่าถ้าไปผิดใจกับแคว้นเย่นแล้วจะนำพาภัยพิบัติอะไรมาให้ตนบ้างหรือ? นางเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆคนนึง ยังกล้าได้ขนาดนี้ อีกทั้งยังช่วยหนานชู่แบบอ้อมๆอีกด้วย ขณะนี้นางถูกสบประมาท เป่ยจื่อหัวก็คงไม่นิ่งดูดายหรอก เพียงแต่ว่า พวกเขายังไม่ทันจะใช้มาตรการอะไรเลย เห็นแค่เงาสีขาวแวบผ่าน และได้รับหมัดที่มู่โหรงจิ๋วต่อยมาเพื่อหยุดนาง ทั้งโอบเอวนางผู้ซึ่งตกใจจนเกือบจะล้มลงบนพื้น ฉากนี้ ทำเอาทุกคนตกตะลึงกันไปหมด สิ่งที่ทำให้คนเขารับกันไม่ได้ไม่ใช่เพราะมีคนออกหน้าช่วยองค์หญิงจากแคว้นเหลียงผู้นี้ แต่ผู้ออกหน้าช่วยกลับเป็น…… จางยวี่โหร่วนั่งมองดูฉากตรงหน้าอย่างมึนงง เมื่อครู่นี่เอง นางรู้สึกว่าคนข้างกายนางลุกขึ้นมาอย่างพรวดพราด จากนั้นได้วิ่งไปราวกับสายลม เพื่อที่จะแสดงเป็นฮีโร่ ไม่ผิด คนที่ออกหน้ามาห้ามองค์ชายใหญ่จากแคว้นเย่นคือสามีของนาง นามว่าหันยี่ฉี เนื่องด้วยความวุ่นวาย ผ้าคลุมหน้าขององค์หญิงจากแคว้นเหลียงจึงหลุดออก ผู้คนที่เห็นใบหน้าอันงดงามไร้ที่ติของนางล้วนตะลึงกันไปหมด นางสมกับเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของแคว้นเหลียงจริง ช่างงามยิ่งนัก น้ำในฤดูใบไม้ร่วงเป็นดั่งหยก น้ำแข็งและหิมะเป็นดั่งจิตวิญญาณ ใช้กลอนสองวรรคนี้มาบรรยายเป็นอะไรที่เหมาะสมที่สุดแล้ว นางงามจนหายใจไม่ทั่วท้องจริงๆ นางเองก็ไม่คิดเช่นกันว่าผ้าคลุมหน้าของตนจะหล่น ภายใต้ความตื่นตระหนกที่อยากจะปกปิดหน้าของตน ท่าทางตกใจราวกับกระต่ายน้อยนี้ของนางทำให้ผู้คนเอ็นดูมากถึงมากที่สุด องค์ชายใหญ่จากแคว้นเย่นคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าตนเกือบจะลงไม้ลงมือกับสาวงามผู้เลอโฉมเช่นนี้ได้ อึ้งทึ่งไปสักพัก คนที่นิ่งที่สุดในเวลานี้ก็น่าจะเป็นชายผู้ซึ่งสวมหน้ากากเขี้ยวจิ้งจอกทองคำคนนั้น หลังจากที่นางยืนมั่นคงแล้ว เขาก็ค่อยๆปล่อยมือออก จากนั้นก็ได้หันไปหามู่โหรงจิ๋ว สายตาโกรธเคืองดุดันขึ้นเป็นหลายเท่าตัว “แค่หญิงผู้อ่อนแอเพียงคนเดียว องค์ชายใหญ่จากแคว้นเย่นจะโกรธเคืองไปทำไมกัน ข้อตกลงยุติสงครามยังไม่ทันจะเจรจากันเลย ก็จะจุดชนวนสงครามขึ้นมาใหม่อีกหรือ? งั้นทุกอย่างก็จบแค่นี้พอ ถ้าอยากรบ ข้าจะสงเคราะห์ให้” มีแค่คำพูดเขาเท่านั้นที่มีพลังและอำนาจมากที่สุด หลายปีมานี้ถ้าไม่ใช่เพราะเขาออกรบ แคว้นเย่นและเซียวหรือจะกล้ามารุกราน เขาเป็นถึงอ๋องชิงผิน เป็นถึงนักรบเทวดา ทุกคนต่างพากันสรรเสริญเลื่อมใสศรัทธาเขามาก มีแค่คำพูดของเขาเท่านั้นที่จะสยบพวกเขาได้ มู่โหรงจิ๋วชะงักไปพักนึง แล้วค่อยตั้งสติกลับมา ถึงได้รู้สถานะตัวตนของคนตรงหน้า “หัน ยี่ ฉี”เขาค่อยๆพูดสามคำนี้ขึ้นมา พูดขาดช่วงเหมือนกำลังกัดฟันโมโห เห็นได้ว่าเขามีความหวาดกลัวในตัวเขาอยู่เนืองๆ เพราะพวกเขารู้ว่า ถ้าไม่มีชายผู้นี้ พวกเขาก็คงตีทะลุพระนครหนานชู่ไปนานแล้ว แต่ชายผู้นี้กลับมีความสามารถในการปกครองใต้หล้าที่ทำให้ทุกคนต้องสวามิภักดิ์ ในตอนนั้นทหารทั้งสองฝ่ายตั้งค่ายสู้กัน เขายืนบนกำแพงเมืองเคยเห็นเขาขี่ม้าศึกท่าทางองอาจ ราวกับเป็นคนละคนกัน และได้สมญานามว่า“นักรบผู้ยิ่งใหญ่” เห็นสถานการณ์ไม่ค่อยดี ดวงมู่หย่าจึงรีบสะกิดแขนเสื้อของมู่โหรงจิ๋ว ส่งสายตาบอกเขาว่าอย่าผลีผลาม ถึงแม้มู่โหรงจิ๋วจะโกรธ แต่ก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี สุดท้ายโกรธจนต้องเดินกลับไปยังที่นั่งของตน เรื่องนี้ก็ปล่อยไปแบบนี้นั้นหรือ องค์หญิงจากแคว้นเหลียง ก็ได้รับความช่วยเหลือไป ผู้คนก็อดปรบมือและส่งเสียงชื่นชมให้กับหันยี่ฉีไม่ได้ สมกับเป็นอ๋องชิงผิน สามารถสยบศัตรูได้เพียงคำพูดเดียว เป็นวีรบุรุษสมคำร่ำลือจริงๆ จางไท่ซือเห็นฉากนี้เข้าไป ก็ยิ้มหน้าบาน เขามีหลานเขยเพียงคนเดียว คงเป็นบุญกุศลที่ได้สั่งสมมาตั้งแต่ชาติที่แล้วของตระกูลจาง เขารู้สึกภาคภูมิใจยิ่งนัก ในที่นี้ คงมีเพียงคนเดียวที่ไม่มีความสุข คนๆนี้ก็คือจางยวี่โหร่ว นางนั่งมองอย่างมึนงง เห็นฉากนี้ก็เกิดความกลุ้มใจขึ้นในใจ นางเป็นคนที่เข้าใจเขาที่สุด เขาไม่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นมาแต่ไหนแต่ไร ทำไมถึงต้องเข้าไปยุ่งกับองค์หญิงจากแคว้นเหลียงด้วย เพื่อนางแล้ว เขายอมที่จะมีปากมีเสียงกับองค์ชายจากแคว้นเย่น ไปจนกระทั่งแตกคอกัน นางไม่ใช่ว่าจะไม่เห็น สายตาที่องค์หญิงจากแคว้นเหลียงผู้นั้นมองเขาแฝงไปด้วยความซาบซึ้งและผูกพัน สำหรับผู้หญิงแล้ว สายตาแบบนั้นเป็นอะไรที่น่ากลัวที่สุด เมื่อเรื่องสงบลง องค์หญิงจากแคว้นเหลียงก็ได้เดินมายังหน้าของหันยี่ฉี และได้ทำความเคารพทีนึง “หลิงกวงขอบพระทัยท่านอ๋องที่ยื่นมือเข้าช่วย” “องค์หญิงไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมาก ต่อให้เป็นคนอื่น ข้าก็ยื่นมือเข้าช่วยเหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้นก็เพราะองค์หญิงช่วยพูดปกป้องหนานชู่ถึงได้ผิดใจกับคนอื่น เรื่องนี้หนานชู่คงนิ่งดูดายไม่ได้หรอก ” คำพูดนี้ของเขา เห็นชัดว่ากำลังเตือนฝ่ายตรงข้าม ถ้าพวกเขากล้านำเรื่องนี้ไปข่มขู่แคว้น เหลียงอีก หนานชู่จะเป็นผู้สนับสนุนเบื้องหลังให้กับแคว้นเหลียง มู่โหรงจิ๋วโกรธจัดจนต้องดื่มเหล้าแก้เครียด ขณะที่วางแก้วลงใช้แรงเยอะ ทำให้เสียงดังมาก 
已经是最新一章了
加载中