ตอนที่ 209 สามสิบหกกลยุทธ์ เอาชนะใจคนอื่นเป็นกลยุทธ์ขั้นสุดยอด   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 209 สามสิบหกกลยุทธ์ เอาชนะใจคนอื่นเป็นกลยุทธ์ขั้นสุดยอด
ต๭นที่ 209 สามสิบหกกลยุทธ์ เอาชนะใจคนอื่นเป็นกลยุทธ์ขั้นสุดยอด เขาไปกินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่า ถึงได้กล้าตกหลุมรักผู้หญิงของหันยี่ฉี ดวงมู่หย่าจินตนาการไม่ออกจริงๆ “ใช่แล้วจะทำไม? หันยี่ฉีเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เขากำเริบเสิบสานมานานแล้ว ตราบใดที่เขายังอยู่ พวกเราก็ไม่มีวันจะเหยียบหนานชู่ให้จมได้ พวกเราเพิ่งมาได้แค่วันเดียว เขาก็กลั่นแกล้งพวกเรายับเยินแล้ว ข้าจะทำให้เขารู้ว่าอะไรคือการอับอายขายหน้าที่แท้จริง ” ถ้าเขาแย่งผู้หญิงของหันยี่ฉีได้จริง เรื่องนี้แพร่ออกไปเขาจะต้องเป็นตัวตลกที่ถูกหัวเราะเยาะอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้น ดูสิว่าเขาจะมีหน้าไปมุดหัวอยู่ที่ไหนได้อีก? เขาถูกสวมเขา การอับอายเช่นนี้ มันช่างทรมานกว่าการถูกฆ่าเสียอีก “แต่……เจ้าคิดจะทำยังไงหล่ะ?วันนั้นเจ้ายังไม่แตะเนื้อต้องตัวผู้หญิงคนนั้นเลย หันยี่ฉีก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเสียแล้ว ลงมือกับเจ้าโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ถ้าเจ้าทำอะไรนอกลู่นอกทางอีก เขาจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่ๆ ตามนิสัยของเขาแล้ว ทำอะไรไม่คิด เขาไม่ใช่องค์ชายรอง จะมีเหตุผลได้อย่างไรกัน เจ้าไม่กลัวว่าเขาจะทำเรื่องบ้าคลั่งหรือ?”ดวงมู่หย่าไม่สนับสนุนการกระทำที่ไร้สติเช่นนี้ “ข้าไปสนใจอะไรมากไม่ได้หรอก ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงคนนั้น หรือจุดประสงค์ที่เรามาในครั้งนี้ กำจัดหันยี่ฉีเป็นอะไรที่สำคัญมาก ตราบใดที่เขายังอยู่ หนานชู่ก็จะรับมือยาก” เอิม……เหมือนกับว่าเป็นเช่นนี้จริง ศัตรูที่พวกเขาต้องรับมือด้วยไม่ใช่ราชนิกุลหนานชู่ แต่เป็นหันยี่ฉี ตราบใดที่เขายังอยู่ ก็ยังเป็นภัยต่อพวกเขาอยู่ดี “งั้น……เจ้าคิดจะทำไง?ผู้หญิงคนนั้นอีก เจ้าจะใช้วิธีใดเพื่อให้ได้นางมา?” มู่โหรงจิ๋วส่งสายตาหัวเราะเหยียดหยามออกมา “การเอาชนะใจเป็นกลยุทธ์ขั้นสุดยอด เมื่อกี้เจ้าพูดถูก จะจัดการกับหันยี่ฉีจะใช้ไม้แข็งไม่ได้ วิธีที่ดีที่สุดคือให้ผู้หญิงคนนั้นเดินเข้ามาในอ้อมกอดของข้าเอง สำหรับเขาแล้วถึงจะเป็นการเหยียดหยามที่ร้ายแรง คิดถึงตอนที่เขาเอาปีบคลุมหัว จะต้องอับอายอย่างที่สุด อีกทั้งเขาเกิดมาฐานะต่ำต้อย เปรียบเทียบกับฐานะอันสูงส่งของข้าได้ยังไง ผู้หญิงในใต้หล้านี้ ควรรู้ว่าจะตัดสินใจยังไง” ข่าวลือที่เกี่ยวข้องกับหันยี่ฉีพวกนั้น ไม่เพียงแต่คนหนานชู่จะรู้กันถ้วนหน้าแล้ว ทั้งสี่แคว้นก็ทราบกันดี จางยวี่โหร่วแต่งให้เขาเพียงเพราะขึ้นผิดเกี้ยว ต่อมาก็ถูกเขาบีบบังคับไปไหนไม่ได้อีก ถ้าเขาช่วยชีวิตนางจากภัยอันตรายได้ นางจะต้องซาบซึ้งในบุญคุณและรีบเข้ามายังอ้อมอกของเขาแน่ๆ “แต่ทว่า……นางแต่งออกเรือนแล้วนะ เจ้าแน่ใจว่าจะกินของเหลือจากหันยี่ฉีหรือ?” ดวงมู่หย่าพูดจาขมขื่น ในใจคิดว่าจางยวี่โหร่งมีอะไรดี ถึงทำให้มู่โหรงจิ๋วหนักแน่นได้ถึงเพียงนี้ นิสัยของเขานางรู้เป็นอย่างดี รักตัวกลัวตาย แต่ไหนแต่ไรไม่เคยจะไปท้าลองเรื่องอันตราย มือเขาบาดเจ็บถึงขนาดนี้แล้ว ตามนิสัยของเขาจะต้องหลบพวกเขาไปให้ไกลสุดโพ้น แต่บัดนี้เขารู้ทั้งรู้ว่าหันยี่ฉียั่วโมโหไม่ได้ ยังคิดจะครอบครองตัวจางยวี่โหร่วอีก ช่างแตกต่างจากพฤติกรรมในอดีตอย่างที่สุด คงจะไม่……ไม่ใช่ว่าตกหลุมรักจางยวี่โหร่วเข้าแล้วสินะ? ความสนใจที่เขามีต่อจางยวี่โหร่ว เกินกว่าองค์หญิงแคว้นเหลียงมาก ผู้หญิงคนนี้มีเสน่ห์ดึงดูดอะไรกันแน่นะ? อีกอย่างในวันที่อยู่ในงานเลี้ยงต้อนรับ เดิมทีนางยังแปลกประหลาดอยู่เลย เหตุใดในจังหวะที่มู่โหรงจิ๋วลงมือกับไป๋หลิงกวงหันยี่ฉีต้องออกหน้าขัดขวางด้วย ในใจยังสงสัยเลยว่าหันยี่ฉีมีความสัมพันธ์อะไรกับองค์หญิงแคว้นเหลียงหรือเปล่า พอต่อมาเห็นสีหน้าทาทางที่แสดงออกเมื่อจางยวี่โหร่วเกือบโดนลวนลามของเขา นางจึงละทิ้งความหวาดระแวงนี้ไป ส่วนไป๋หลิงกวง เขาเห็นผู้ถูกรังแกจึงยื่นมือเข้าช่วย แต่ในขณะที่เผชิญหน้ากับจางยวี่โหร่ว เขากลับระงับความโกรธในใจไม่อยู่ ราวกับสิงโตตัวผู้ที่เสียสติ อยากจะฉีกมู่โหรงจิ๋วเป็นชิ้นๆ การเปรียบเทียบแบบนี้ เป็นการบอกผู้คนอย่างกระจ่างว่า ใครถึงเป็นคนในดวงใจ ถ้าใครกล้ายุ่งเกี่ยวกับจางยวี่โหร่ว เขาจะไม่ปล่อยคนๆนั้นไว้แน่ ได้ยินคำว่า “ของเหลือ”สองคำนี้ มู่โหรงจิ๋วเดือดดาลอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกับจ้องหน้านางอย่างโหดเหี้ยม “หุบปากนะ ข้าก็แค่อยากจะแย่งผู้หญิงของหันยี่ฉีมาก็เท่านั้น จุดประสงค์ของข้าก็เพื่อจะได้ตัวนางมา จากนั้นค่อยกำจัดทิ้ง เจ้าเห็นข้าเป็นตัวอะไรรึ?”ต่อให้เขาอยากครอบครองจางยวี่โหร่ว ก็ไม่มีวันจะยอมรับหรอก ไม่งั้นก็เป็นจริงอย่างที่นางบอกนะสิ “เก็บของเหลือ”เขาจะยอมรับความอัปยศอดสูเช่นนี้ได้เยี่ยงไรกัน? “เชอะ……พวกเราสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ไม่ว่าจะทำอะไรก็ควรปรึกษาหารือ ที่ข้าพูดเช่นนี้ก็เพื่อความปรารถนาดีล้วนๆ เจ้าไม่ต้องหวั่นไหวขนาดนี้หรอก เห็นข้าเป็นศัตรู จนลืมว่าศัตรูตัวจริงเป็นใคร”ท่าทางของเขา ดวงมู่หย่าไม่พอพระทัยเอามากๆ ถึงแม้พวกเจ้าจะเป็นพันธมิตรกัน แต่ความเสมอภาคที่ควรจะมีพวกเขากลับสัมผัสไม่ได้ แคว้นเย่นคิดว่าตนกำลังพลเข้มแข็งจึงหลงระเริงยิ่ง ไม่เพียงแต่จะทำให้สองแคว้นที่เหลือเกิดความไม่พอใจ แคว้นเซียวก็ไม่ใช่จะไม่มีอคติ เพียงแค่ไม่กล้ามีปากมีเสียง ต้องมีสักวันที่เขาจะต้องชดใช้กับการหลงระเริงของตน มู่โหรงจิ๋วพูดขึ้นด้วยความรำคาญ “ข้าทำอะไรข้ารู้ตัวดี เจ้าไม่ต้องมาสั่งสอน เจ้าแค่จัดการเรื่องของตนให้ดีก็พอ” ดวงมู่หย่าโกรธเจียมตาย แต่ยังต้องคงความเกรงใจไว้ “ได้ ข้ารู้แล้ว ในเมื่อเจ้ามีแผนจะครอบครองจางยวี่โหร่ว งั้นก็ให้ข้ามาช่วยซะสิ หันยี่ฉีผู้นั้น ข้าเริ่มสนใจในตัวเขาขึ้นมาแล้ว งั้นเราก็แยกย้ายกันไปปฏิบัติหน้าที่ ดูสิว่าใครจะบรรลุเป้าหมายได้ก่อนกัน” การตัดสินใจของนาง ทำให้มู่โหรงจิ๋วประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด “เจ้า……เจ้าพูดอะไร? เจ้าชอบหันยี่ฉีนั้นรึ บ้าบอที่สุด?” “เจ้ายังชอบจางยวี่โหร่วได้เลย ทำไมข้าจะชอบหันยี่ฉีไม่ได้หล่ะ?พวกเขาเป็นสามีภรรยากัน และเราต้องการจะแยกพวกเขาจากกัน เพื่อที่จะได้ในสิ่งที่ตนต้องการ จะได้ไม่ต้องข้องแวะกันอีก ยังสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกันได้อีก นี่ไม่ใช่เรื่องดีหรือไง?”ดวงมู่หย่าพูดอย่างไม่ยอม “แต่ทว่า ไม่ใช่ตกลงกันเรียบร้อยแล้วหรือ ภารกิจเจ้าคือำให้องค์ชายรองสับสน ทำให้เขายอมคุกเข่าให้กับเจ้า ให้เขาติดกับเจ้า เจ้าทำเช่นนี้ได้เยี่ยงไรกัน!”ตอนนี้กลับเป็นมู่โหรงจิ๋วที่เป็นคนไปขัดขวางดวงมู่หย่า แต่เมื่อกี้เขาก็ไม่ได้ฟังคำเกลี้ยกล่อมของนางเช่นกัน ตอนนี้มีสิทธิ์อะไรไปเกลี้ยกล่อมนางล่ะ? “บนโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนหรอก ก่อนที่ข้าจะออกเดินทาง เสด็จพ่อเคยพูดว่าทุกอย่างมันเปลี่ยนไปตลอดเวลา ข้าไม่ก้าวก่ายเรื่องของเจ้า เจ้าก็อย่ามาก้าวก่ายเรื่องข้า”ดวงมู่หย่าเสยคางขึ้น เห็นท่าทางเสียหน้าของมู่โหรงจิ๋ว ก็รู้สึกสะใจอยู่ไม่น้อย 
已经是最新一章了
加载中