ตอนที่439 คุณพ่อคือฮีโร่ของผม   1/    
已经是第一章了
ตอนที่439 คุณพ่อคือฮีโร่ของผม
ตอนที่439 คุณพ่อคือฮีโร่ของผม “ผมไม่ได้จะทำอะไร แต่ถ้าเธอไม่ฟัง ผมก็ไม่รับประกัน” ด้านการควบคุมจิตใจคน ชนัยไม่เคยแพ้มาก่อน อย่างที่คิดไว้ พอประทินได้ยินคำนี้ก็ตัวหด ตอนนี้เธอเป็นคนไร้ประโยชน์ หลังจากรู้ว่าตัวเองไม่มีทางเป็นไปได้กับเตชิต ก่อนหน้านี้ก็ทำให้พ่อแม่เสียใจ เสียดายที่ตอนแรกทำไมตนไม่ยอมฟังคำคนในครอบครัว “ชนัย เรื่องที่ฉันทำลงไป ฉันรับผิดชอบเอง แกส่งฉันให้ตำรวจสิ ฉันยอม” ประทินจ้องมองผู้ชายตรงหน้าเขม็ง ที่จริงตอนแรกสิ่งที่เธอกลัวที่สุดคือการที่ชนัยนำเธอส่งตำรวจ เธอลักพาตัวธีมนต์ และทำร้ายเตชิต การตัดสินข้อหานี้ไม่เล็กเลย แล้วเตชิตก็เป็นคนใหญ่คนโต เธออาจจะโดนติดคุกไม่มีกำหนด ทั้งชีวิตนี้เธอไร้ค่าแล้ว เธอทำไม่ได้ แต่ตอนนี้ ผ่านการทรมาณมามาก ประทินถึงรู้สึกว่า แค่เข้าคุกตนก็ปลอดภัย เธอยอมโดนลงโทษดีกว่าไม่อยากโดนเขา ‘ข่มเหง’ ต่อไปอีกแล้ว! ชนัยดึงมุมปากไม่ได้ยิ้ม เครื่องหน้าหล่อมีสิ่งอำพรางอีกชั้นหนึ่ง ทำให้คนมองรู้สึกกังวล “ส่งน่ะส่งแน่ แต่ส่งเมื่อไหร่ไม่ใช่เธอกำหนด” ประทินเมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ ก็หน้าซีดเหมือนตาย นึกถึงการรอคอยอย่างไม่มีสิ้นสุด ในใจเธอก็สั่นไหว ยาตัวนี้เธอคุ้นเคยที่สุด อาการโรคเสพติดในตอนแรกนั้นยังดี หลังจากนั้น เธอยอมตายดีกว่า! “ขอร้องล่ะ ขอร้องปล่อยฉันไป ให้ฉันทำอะไรก็ยอม” ประทินเปลี่ยนจากดุร้ายเมื่อครู่ เป็นร้องไห้อ้อนวอนเขา ชนัยเห็นน้ำตาน้ำมูกเธอไหลอาบแก้ม นอกจากรู้สึกอยากอาเจียน ก็ไม่รู้สึกอะไรอีก เดิมทีเขาเป็นคนที่เพิกเฉย แม้ว่าปกติจะดูน่าหลงใหลเกินจริง แต่ก้นบึ้งหัวใจเป็นคนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ความรักใคร่ของเขาได้ให้พี่น้องไปหมดแล้ว “เธอทำร้ายเตชิตสาหัสขนาดนั้น ยังคิดว่าจะหนีไปอย่างปลอดภัย?” ชนัยยืนขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับกำลังพูดเรื่องล้อเล่น เขารู้ว่ายาตัวนี้ในตอนสุดท้ายจะเกิดอาการติดเซ็กซ์ ดังนั้นเลยส่งสายตาให้กับชายข้างกาย “นายอยู่ที่นี่ดูไว้ ถ้ายังไม่ตายก็ไม่ต้องสนใจ” “ครับ คุณชนัย!” เขารับปาก สายตาชนัยหุบต่ำลง มองดูผู้หญิงที่ไม่เป็นรูปเป็นร่างบนพื้น ราวกับเป็นอสูรผู้ตัดสิน “เมื่อไหร่ที่การเสพติดของเตชิตถูกถอนได้ ผมจะให้เธอออกไป ตอนนี้เธอก็ภาวนาให้เขาปลอดภัยเถอะ ไม่อย่างนั้น มันไม่เกิดผลดีต่อเธอแน่” หลังจากทิ้งประโยคนี้ไว้ ชนัยก็หันตัวออกไปจากห้อง ประตูปิดลงอีกครั้ง เหลือเพียงประทินที่ร้องขอความเมตตา ทั้งร่างกลับไปอยู่ท่ามกลางความมืดอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่เธอ แต่ยังมีผู้ชายอีกคนอยู่ด้วย อีกฝ่ายยืนนิ่งอยู่กับที่เดิม ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจเขา และดวงตาที่พลันเป็นประกายในความมืด เพิ่งถูกฉีดยากล่อมประสาท แม้ว่าร่างกายจะรู้สึกไม่ค่อยดี แต่สติสัมปชัญญะยังคงอยู่ ประทินถอยกลับเข้าสู่มุม สองมือโอบกอดเข่าตัวเอง พยายามอยู่ห่างผู้ชายคนนั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เธอหวาดกลัวในตอนนี้ ไม่กล้าจินตนาการในตอนนี้เธอมีอาการเสพติดจะเป็นอย่างไร น้ำตาไหลตามหางตา ไม่ได้รู้สึกผิด ผู้หญิงดื้อดึงไม่ยอมรับผิดคนนี้โทษความผิดที่เจอมาทั้งหมดให้กับนัชชา ชีวิตเธอไม่มีทางออก ไม่ใช่เพราะตัวเอง แต่เป็นเพราะผู้หญิงต่ำต้อยคนนั้น คิดแค่นี้ เธอก็มีเหตุผลให้ตัวเองมีชีวิตรอดไปวันๆต่อไป …… การฟื้นฟูร่างกายของเตชิตไม่เลวเลย วันที่สองก็สามารถขยับแขนและขาได้นิดหน่อย ทานข้าวก็สามารถทานด้วยตัวเอง ลำคอไม่ได้เจ็บหมือนในตอนแรก คุยปกติได้โดยไม่มีปัญหา ในวันที่สาม เขาเดินลงจากเตียงได้ เขาบอกนัชชาให้กลับไปดูแลลูกที่บ้าน จริงๆก็ไม่ค่อยไว้วางใจกับทางโรงพยาบาล เลยพาธีมนต์มาด้วยเสียเลย คิดไม่ถึงว่าเมื่อทั้งสองเดินเข้าไปในห้องผู้ป่วย ที่เตียงว่าเปล่า ไม่เห็นเงาของเตชิต เธอไปถามพยาบาลอย่างกังวงใจ จึงได้รู้ว่าวันนี้ตอนบ่ายเป็นเวลาทำกายภาพ เขาอยู่ที่ศูนย์ทำกายภาพ นัชชาพาเจ้าซาลาเปาขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นศูนย์ทำกายภาพ เครื่องมือเครื่องใช้ไม่เหมือนกับแผนกผู้ป่วยภายในอื่นๆ แสงไฟที่นี่เพียงพอ ทั้งหมดใช้สีเหลืองอ่อนเป็นหลัก สีแบบนี้ทำให้คนมองรู้สึกผ่อนคลาย ช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นฟูได้ดี นัชชาเพิ่งเข้าไป ทันใดนั้นก็มีคุณหมอพาพวกเขาไปยังบริเวณที่เตชิตอยู่ มองจากไกลๆ คุณหมอช่วยเขาอยู่ การฝึกขยับยกเท้าที่ยากลำบาก และมีเครื่องมอสิ่งกีดขวางอย่างจงใจ เพื่อสามารถให้เขาขยับได้อย่างยืดหยุ่น แต่ทั้งๆที่การเคลื่อนไหวที่ธรรมดาขนาดนั้น ชายคนนี้หลังจากทำเสร็จก็เหนื่อยจนเหงื่อเต็มใบหน้า ใบหน้าซีดเซียวที่เกิดจากการกัดฟันและเกร็งแก้มพิสูจน์เขาเจ็บปวดขนาดไหน แต่ก็ไม่มีทางอื่น เขาอยากฟื้นฟูร่างกายให้ทำงานเป็นปกติ ก็ต้องทำแบบนี้ ธีมนต์มองร่างสูงใหญ่ที่เดินโซเซ แตกต่างจากคนเดินโดยสิ้นเชิง ก็รู้สึกไม่เข้าใจ หันศีรษะไปถามนัชชา “แม่ครับ ทำไมพ่อเดินไม่ได้ล่ะครับ?” นัชชาแอบเช็ดน้ำตาออก ไม่อยากให้ลูกรู้สึกแย่ น้ำเสียงขึ้นจมูกอย่างปิดไม่มิด “พ่อกลายเป็นแบบนี้ก็เพื่อลูก เพื่อช่วยลูก พ่อเป็นซูเปอร์ฮีโร่ของลูกไง เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ธีมนต์จะต้องคอยปลอบพ่อนะคะ” ธีมนต์ฟังจบก็พยักหน้า “รู้แล้วครับ” เด็กน้อยเคลื่อนสายตาไปที่ร่างนั้นอีกครั้ง การเคลื่อนไหวครั้งที่หนึ่งจบลง ต้องเริ่มทำใหม่อีกรอบ วนเวียนไป เพียงแต่การเคลื่อนไหวนั้นไม่ได้เชื่อมกัน อย่างไรก็ตามสายตาของธีมนต์กลับเปลี่ยนไป ผ่านการเคลื่อนไหวอย่างซุ่มซ่าม เด็กที่อายุไม่ถึงห้าขวบมองเห็นไหล่ที่พึ่งพาได้ของชายคนนี้ ประสบการณ์ที่เคยถูกลักพาตัวพวกนั้นก็เปลี่ยนเป็นเบาบางลง แทนที่ด้วยท่าทางกัดฟันอดทนของคุณพ่อ เขาต้องทำดีต่อคุณพ่อให้มาก ในสมองของธีมนต์ก็มีความคิดบางอย่างแวบมา ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อน สองคนแม่ลูกมองดูอย่างเงียบๆ หลังจากที่เตชิตทำกายภาพเสร็จในเวลาครึ่งชั่วโมง เริ่มขยับตัวได้ไม่มาก ต้องพักผ่อน หลังจากคุณหมอได้กำชับเล็กน้อย สายตาก็มองผ่านไปสองคนด้านหลัง แล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน “คุณเตชิต ภรรยาและลูกชายรออยู่ครับ” เมื่อครู่กลัวว่าจะรบกวนการฝึกเขา คุณหมอก็ไม่ได้พูดอะไร ตามกฎแล้วไม่ได้อนุญาตให้ผู้ที่ไม่ใช่คนทำกายภาพเข้ามาในที่แห่งนี้ เป็นการแหกกฎแล้ว ได้ยินดังนั้น เตชิตก็หันร่างมามองทันที มองเห็นคนตัวใหญ่ตัวเล็ก ตัวสูงตัวเตี้ย ยืนอยู่ด้วยกันนอกประตูกระจกที่ไม่ไกลออกไป สบสายตากัน ทั้งสองก็ยิ้มออกมา รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรักทำให้เขาลืมความเจ็บปวดที่กล้ามเนื้อไปในพริบตา คุณหมอประคองเตชิตเดินออกมา ก้มมองดวงตากลมโตสดใสของลูกชาย ในใจก็อ่อนยวบเกินจินตนาการ แต่มองตัวเองใส่ชุดผู้ป่วยก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ชายคนนี้ เป็นคนมีหน้ามีตา โดยเฉพาะอยู่ต่อหน้าลูกชาย ไม่อยากให้เห็นเขาอยู่ในสภาพที่ลำบาก ใครจะรู้ว่า ในวินาทีต่อมาก็มีเสียงแหลมของเด็กน้อยพูดชมขึ้นข้างหู “พ่อครับ พ่อเก่งที่สุดเลย!” ชายแก่อึ้งไปสักพัก ค่อนข้างช่วยไม่ได้ “ตอนนี้พ่อเดินยังต้องคอยพยุง เก่งตรงไหนครับ?” ธีมนต์คิดอย่างจริงจัง แล้วส่ายศีรษะอย่างหนักแน่น “เก่งมากๆครับ พ่อช่วยธีมนต์ออกมา ทุกครั้งที่รู้สึกหวาดกลัวเมื่อคิดถึงพ่อผมก็ไม่กลัวแล้ว ดังนั้นพ่อเก่งแน่นอน!” ประโยคเดียว ความไม่มั่นใจก็หายไปหมดจด ชายผู้ที่แข็งแกร่งมาสามสิบกว่าปีเกือบจะตาแดงก่ำเพราะประโยคเดียวของลูกชาย เขายิ้ม “โทษทีนะ ตอนนี้พ่อไม่มีแรงจะกอดลูก” ธีมนต์ก้าวไปตรงหน้าอย่างฉลาดหลักแหลม ยกมือเล็กของตนขึ้นมา ประคองมืออีกข้างของพ่อที่เรียนรู้จากท่าทางของคุณหมอ “พ่อครับ ผมช่วยพยุงนะ”
已经是最新一章了
加载中