ตอนที่ 45 ไม่เหมาะสมกับที่นี่   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 45 ไม่เหมาะสมกับที่นี่
ตอนที่ 45 ไม่เหมาะสมกับที่นี่ หลังจากซูหลินกินยาเสร็จแล้ว ก็เหมือนเดิมคือนั่งบนเก้าอี้และพักสายตาไปนานมาก ส่วนตาแก่นั่นเมื่อได้เจ้าตัวเล็กแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นตื่นเต้นดีใจและหยอกล้อเจ้าตัวเล็กในมือไปเรื่อย ตอนแรกก็มีท่าทีไม่สนใจพวกเรา จนกระทั่งพวกเรากำลังเตรียมตัวที่จะออกเดินทางก็ยังคงไม่สนใจอยู่ จนกระทั่งพวกเราเดินทางกันออกมาแล้วถึงจะพึ่งรู้สึกตัว ขณะที่พวกเรากำลังหันหลังนั้นก็มีมือข้างนึงไล่ตามมาเรียกพวกเราไว้ ตาแก่นั่นยืนหายใจอย่างเหนื่อยล้าอยู่ด้านหน้าพวกเรา ฉันหันกลับไปมองก็พบว่า ตาแก่นั่นได้แปลงร่างกลับไปเป็นร่างปกติแล้ว เขายิ้มให้ฉันนิดหน่อยก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อสักพักหนึ่ง จนกระทั่งหยิบร่มออกมาหนึ่งคัน เป็นร่มสีขาวแล้วส่งให้กับจ้าวซิ้ว “เธอพกอันนี้ไว้สะ ไปโลกมนุษย์จะได้ใช้” พูดจบก็ยังคงไม่สนใจพวกฉันอยู่ดี หันหลังแล้วเดินกลับไปเลย ฉันมองไปที่ตาแก่นั่นจนสุดเส้นแบ่งระหว่างสองโลก ค่อยๆเลือนหายไปทีละนิดๆ ฉันรู้ เขาสามารถเฝ้ามองพวกฉันจากโลกนั่นได้ตลอดเวลา เป็นตามที่ตาแก่นั่นเคยพูดเอาไว้ไม่มีผิด ทางที่เดินมาไม่มีใครเดินสวนกับเราเลยสักคน ฉันกับจ้าวซิ้วเดินตามหลังซูหลิน ฉันเหนื่อยที่จะถามซูหลินแล้วว่าพวกเรากำลังจะไปที่ไหนกัน ในใจมีแต่พร่ำขอโทษกับเจ้าตัวเล็ก ตอนนั้นฉันไม่รู้จะตั้งชื่ออะไรให้เขาดี และฉันก็ไม่ชอบจะไปเรียกเขาแบบสามสี่สุ่มห้าด้วย จะให้เรียกไอเจ้าตัวเล็กไปตลอดก็ไม่ได้ อย่างตาเฒ่านั่นฉันก็ทำได้แค่เรียกว่าตาเฒ่า เห้อตอนนี้ฉันรู้สึกเสียใจยังไงก็ไม่รู้ เสียใจที่ไม่ได้ตั้งชื่อให้เจ้าตัวเล็ก ให้เขาได้มีความทรงจำดีๆกับเขาบ้าง ตอนนี้เรากลับมาถึงประตูข้ามมิตินั้น ฉันพึ่งจะรู้ว่าตอนที่ซูหลินจะข้ามมาที่นี่เขาได้ร่ายคาถาเพื่อให้สถานที่กลายเป็นถนนหยิน และต้องใช้พลังอย่างมากเพราะฉะนั้นเราต้องไปที่สถานที่ที่เราข้ามมาจึงจะสามารถข้ามกลับไปได้ ซูหลินเดินไปยังสถานที่ที่ฉันคุ้นเคยแล้วที่เท้าของเขาก็มีแสงเรืองออกมา ฉันพึ่งจะเข้าใจอีกครั้งว่าตอนที่พวกเราข้ามมา ซูหลินได้แอบทำเครื่องหมายเอาไว้ทำให้พวกเราสามารถกลับไปที่โลกมนุษย์ได้อย่างง่ายๆ พวกเรายังคงยืนห่างจากร้านคาเฟ่นั่นไม่ไกลนัก เนื่องด้วยตอนนี้เป็นเวลากลางคืนแล้ว ทำให้รอบข้างไม่มีใครอยู่แถวนี้เลยสักคน นอกจากพวกเรา อย่างนี้ก็ดีนะสิ เพราะไม่มีแดดจ้าวซิ้วก็จะได้ไม่ต้องกางร่มออกมาให้ยุ่งยากฉันคิดในใจ เมื่อกลับถึงบ้านคุณปู่ของซูหลินแล้ว ตาเฒ่าก็ยังคงไม่ได้ออกมาต้อนรับเราเหมือนเดิม แค่ยืนมองเราอยู่ไกลๆตรงประตูเท่านั้น พร้อมทั้งมีท่าทีโล่งใจอยู่มากแต่ทว่าก็ยังมีความโกรธผสมปนเปอยู่ด้วยจากนั้นก็เดินเข้าข้างในไป ฉันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนักใจ เพราะตาเฒ่าคนนี้เป็นคนดื้อรั้นสะจนซูหลินนั้นเทียบไม่ติดเลย ฉันละอยากเห็นพ่อของซูหลินนัก ไม่รู้ว่าสามรุ่นนี้เวลาคุยกัน เขามีอารมณ์ขันกันบ้างหรือเปล่า คิดมาถึงตรงนี้ ฉันก็อดไม่ได้ที่จะเผลอส่งเสียงหัวเราออกมา จนทำให้ซูหลินและจ้าวซิ้วมองมาที่ฉันด้วยความสงสัย ฉันบอกพวกเธอไม่ได้หรอกว่าฉันคิดอะไรอยู่ไม่งั้นคืนนี้ฉันอาจจะโดนไล่ไปนอนข้างถนนก็เป็นได้ ในระหว่างที่พวกเรากำลังคุยกันขณะที่กำลังเดินไปด้วยนั้น ไป๋เวยเวยได้ยินพวกเราเข้า ก็รีบสวมเสื้อผ้าออกมาต้อนรับพวกเรา เขายิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าข้างหลังฉันคือจ้าวซิ้ว แต่ทว่าจู่ๆก็มีท่าทีเป็นหวาดกลัว จากที่วิ่งมาหาก็หยุดนิ่งพร้อมทั้งรีบหันหลังวิ่งกลับไป เมื่อฉันหันหลังไปมองจ้าวซิ้วก็พอเข้าใจได้ว่าไป๋เวยเวยมีท่าทีหวาดกลัวเพราะอะไร จ้าวซิ้วนั้นแต่งตัวสวยงามมาก อีกทั้งสวมชุดกระโปรงสีแดง เมื่อมองในตอนกลางคืนแบบนี้ก็ดูเหมือนกับจ้าวซิ้วอีกคนนึงอยู่นะ ไป๋เวยเวยวิ่งไปจนหลังชนประตูแล้วรีบลงไปก้มลงกับพื้น คล้ายว่าพยายามจะปิดบังตัวเองยังไงยังงั้น พร้อมทั้งพูดออกมาเสียงเบาว่า “อย่าฆ่าฉันเลย ..อย่าฆ่าฉันเลย..มันไม่เกี่ยวกับฉันนะ...” ฉันรีบเอาตัวเองบังจ้าวซิ้วเอาไว้ พร้อมทั้งเข้าไปอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ไป๋เวยเวยฟัง ไป๋เวยเวยจึงค่อยๆเงยหน้าขึ้น พร้อมทั้งจ้องไปที่จ้าวซิ้ว แล้วพูดออกมาเบาๆว่า “ผ้ายันต์นั่นละ” ซูหลินจึงจับไหล่แล้วเปิดถุงเครื่องรางออกมา แล้วพูดกับไป๋เวยเวยว่า “ดูสะ ผ้ายันต์อะไรนั่นมันไม่มีแล้ว” ฉันพึ่งจะรู้ว่า ซูหลินใช้พลังกายและพลังจิตไปมากแค่ไหน เพราะทั้งเครื่องราง ผ้ายันต์อะไรก็ต่างโดนใช้ไปจนหมดแล้ว โชคยังเข้าข้างที่ตอนพวกเราเดินกลับมาไม่เจอจ้าวซิ้วเวอร์ชั่นใจร้ายนั่นแล้ว ไม่อย่างงั้นนะ พวกเราคงจบเห่อยู่ไม่ถึงตอนนี้แน่ๆ ฉันแอบชำเลืองมองจ้าวซิ้ว เธอยังคงจำได้ดีว่าตัวเองทำอะไรกับเอาไว้กับเด็กทั้งสามคนนั้น ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นวิญญาณที่มีจิตใจที่ดีแต่ทว่าเธอคงไม่สามารถจะปล่อยผ่านความรู้สึกพวกนั้นไปได้หรอก จ้าวซิ้วมองไป๋เวยเวยด้วยความลำบากใจ ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรกับไป๋เวยเวย จ้าวซิ้วก็หันไปพูดกับซูหลินว่า “พวกเราจะเข้าไปข้างในกันไหม” ด้วยความที่ยืนอยู่ข้างๆ ซูหลินจึงพยักหน้าด้วยท่าทีเลิ่กลั่กแล้วเดินนำจ้าวซิ้วเข้าไป ฉันปลอบใจไป๋เวยเวยอยู่ด้านนอกสักพักหนึ่ง ฉันรู้ว่ามันยากที่จะให้ไปเวยเวยเผชิญหน้ากับจ้าวซิ้วในตอนนี้ ฉันจึงพาไป๋เวยเวยไปพักผ่อนก่อน ตัวฉันเองก็เหนื่อยมากด้วย ซูหลินก็ดูแลจ้าวซิ้วไป ส่วนฉันไม่มีอะไรน่ากังวลหรอก ฉันรีบล้มตัวลงนอนเมื่อมาถึงเตียงนอน ฉันไม่แม้แน่จะถอดเสื้อผ้าแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่านอนไปนานเท่าใด แต่ฉันรู้สึกว่าฝันอยู่นานมาก ในฝันนั้นมีเทียนปู้หยู่,ซูหลิน,จ้าวซิ้วอีกคนหนึ่งแถมบนตัวยังมีตัวอะไรอยู่ด้วยก็ไม่รู้,ตาแก่คนนึงที่ลูกตาเหมือนจะหลุดลงมารวมไปถึงเจ้าตัวเล็กที่ยืนอยู่ในมือฉัน ในฝันช่างวุ่นวายทำให้ฉันรู้สึกอย่างอธิบายไม่ถูก ฉันมัวแต่ต่อสู้ แต่ฝันก็คือฝัน แต่ไม่ว่าฉันพยายามเท่าไหร่ก็ไม่ตื่นเสียที วินาทีนั้น จู่ๆฉันก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว เอวของฉันถูกใครโอบไว้ก็ไม่รู้ เมื่อฉันหันไปมอง ก็เจอเทียนปู้หยู่เอาหน้าหล่อๆมาตรงหน้าฉัน “ฉันกำจัดปัญหาของเธอให้แล้ว ตอนนี้มีแค่หนังสือหยินเท่านั้นที่จะช่วยเธอได้” เมื่อพูดจบ เทียนปู้หยู่ไม่ได้มีท่าทีที่จะไปในทันที ยังคงเอาแต่จ้องมองฉันอยู่ สิ่งที่ฉันจำได้คือใบหน้านั้นยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่ฉันกลับไม่ได้ขัดขืนอะไร อีกทั้งยังปิดตาลง พร้อมทั้งรอให้เทียนปู้หยู่เข้าใกล้มากกว่านี้ แต่วินาทีนั้นเอง จู่ๆเทียนปูหยู่ก็ปล่อยมือจากเอวฉัน ฉันรีบลืมตาขึ้นเห็นเทียนปู้หยู่กำลังมองมาที่ฉันไม่ได้ทำอะไรนอกจากยิ้มมุมปากเบาๆพร้อมทั้งพูดว่า “ตื่นได้แล้ว เธอกำลังมา” ยังไม่ทันพูดจบ เทียนปู้หยู่ก็ผลัดฉันออก ทำให้ฉันตกใจตื่นจากฝันร้าย ทั้งร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อชุ่มไปหมด ฉันรีบคว้าผ้าปูเตียงเอาไว้ พอรู้สึกดีขึ้นมาสักพัก มีสติจนรู้สึกตัวว่านี่เรากลับมาสู้โลกความเป็นจริงแล้ว ฉันพยายามจะลุกขึ้นนั่ง ความฝันนี่ทำเอาเหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย ฉันพยายามจะนึกย้อนไปถึงรายละเอียดในฝัน แต่เทียนปู้หยู่กลับให้ฉันไปหาคำตอบในหนังสือหยิน ฉันเลยคิดว่าพรุ่งนี้จะรีบกลับไปที่หอดีกว่า แต่ทว่าฉันกลับรู้สึกถึงความเย็นที่แผ่ซ่านมา จนอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน พร้อมทั้งมีเงาเดินมาทางฉัน ฉันตกใจอยู่พักหนึ่ง กำลังจะร้องออกมาแต่ทว่าเห็นหน้าจ้าวซิ้วพอดี เห้อ จ้าวซิ้วเองเหรอ ตกใจจะแย่ ฉันถึงเข้าใจว่าเทียนปู้หยู่ต้องการจะสื่ออะไร กับประโยคที่ว่า “เธอกำลังมา” จ้าวซิ้วมีท่าทีรู้สึกผิดที่ทำให้ฉันตกใจขนาดนี้ แล้วก็เอามือสองข้างประกบกันพร้อมทั้งโค้งคำนับเพื่อเป็นการขอโทษ ช่างคล้ายกับผู้ดีมีชาติตระกูลเสียจริง ฉันรู้สึกละอายใจนัก พร้อมทั้งพูดว่า “ฉันได้ยินที่ซูหลินพูดหมดแล้ว เพราะเธอโดนแบ่งร่างออกมา จึงทำให้ยังคงมีความสับสนอยู่อีกอย่างเธอเห็นพฤติกรรมของมนุษย์กระดาษนั่นเป็นคนแรกด้วยก็เลยมีพฤติกรรมแบบนั้น แต่เวลาอยู่กับพวกฉันไม่ต้องทำหรอกพวกเราไม่ได้ถือสาอะไร” พูดจบฉันเลยพยายามเอามือเธอลง จ้าวซิ้วเห็นว่าฉันไม่ได้อะไร ก็เลยหัวเราะเบาๆออกมา พร้อมทั้งพูดปัญหาของตนที่เข้ามารบกวนผู้อื่น “ฉันรู้แล้วว่าจะกำจัดฉันอีกคนนึงได้อย่างไร” ฉันตกใจไปชั่วขณะ ในใจก็คิดว่า นอกจากจะใจดีแล้วคงไม่มีใครเป็นบ้าแบบนี้ได้หรอกที่จะบอกคนอื่นว่าจะจัดการกับตัวเองอย่างไรดี หลังจากที่ได้ฟัง ฉันก็รู้สึกตกใจระคนดีใจอย่างเห็นได้ชัด เพราะได้รู้จากปากของจ้าวซิ้วเองเลย จริงๆแล้ว นับตั้งแต่คุยกับจ้าวซิ้วที่อยู่ที่ตำหนักของมนุษย์กระดาษครั้งล่าสุดนั่นฉันก็ได้รู้แล้วว่าจะทำอย่างไรจึงจะปราบจ้าวซิ้วอีกคนนึงได้ไปโดยปริยาย เพียงแต่ว่าล้วนแต่ต้องได้รับการช่วยเหลือจากจ้าวซิ้วคนนี้ทั้งนั้น เพราะว่าการจะปราบจ้าวซิ้วที่อยู่ในหนังสือหยินได้นั้น ต้องได้รับพลังจากจ้าวซิ้วคนนี้ก่อน แต่ทว่าตอนนี้ชุดสีแดงของจ้าวซิ้วได้เปลี่ยนกลายเป็นไทเซิงหลิงไปแล้ว และพลังก็ได้เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถ้าหากไม่ได้ความข่วยเหลือจากจ้าวซิ้วนี้ พวกเราคงไม่อยู่ถึงตอนนี้หรอกอีกอย่างเราก็ไม่ใช่เป็นศัตรูที่เหมาะสมกันสักเท่าใด “ถ้าเราสามารถจะปราบผู้หญิงคนนั้นได้ เธอจะได้ไปเกิดใหม่เลยเหรอ” จ้าวซิ้วยิ้มพลางส่ายหน้า แล้วอธิบายให้ฉันฟัง “ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว ในเมื่อฉันอีกคนหนึ่งทำชั่วไว้สะขนาดนั้น ฉันจะไปเกิดใหม่ได้อย่างไรละ” ฉันรู้สึกเป็นทุกข์แทนเธอจริงๆ จ้าวซิ้วสองคนนี้ก็เหมือนกับมนุษย์ทั่วไปที่เกิดมาจากที่เดียวกันต่ทว่าคนนึงทำไว้แต่กรรมชั่ว แต่อีกคนก็ต้องมารับกรรมแทนโลกวิญญาณกับโลกมนุษย์ก็เหมือนกันแหละ ไม่สิ ต้องบอกว่า วิญญาณคือรูปร่างอีกแบบนึงของมนุษย์ ไม่ว่ากฎเกณฑ์ใดๆในโลกมนุษย์ ในโลกวิญญาณก็มีเหมือนกัน “แล้วทำไมถึงยอมให้โดนกำจัดสะละ ถ้าสมมติว่าจะไม่สามารถไปเกิดใหม่ได้ ก็ใช้ชีวิตอิสระอย่างนี้ไปเรื่อยๆไม่ดีเหรอ” จ้าวซิ้วยิ้มแล้วส่ายหัว แต่ทว่าก็ไม่ได้ตอบคำถามฉัน แล้วได้หยิบเครื่องประดับไข่มุกออกมาอย่างระวังระวังจากศีรษะของตนเอง เครื่องประดับทองนั่นวางอยู่บนมือของจ้าวซิ้ว แต่ทว่าจู่ๆกลับเปลี่ยนเป็นผุยผงเสียอย่างนั้น แล้วจ้าวซิ้วก็เทผงนั้นลงกับพื้น “เธอดูนี่สิ ของสิ่งนี้ไม่ใช่ของจากโลกใบนี้ตั้งแต่แรก มันก็ไม่สามารถจะอยู่ได้นานนักหรอก” พูดจบ จ้าวซิ้วก็ไม่ได้รอคำตอบอะไรจากฉันและลุกขึ้นเพื่อที่จะเดินกลับ แต่เมื่อเดินจนถึงประตูแล้ว เธอก็คล้ายว่าจะนึกอะไรได้ เลยหันกลับมาอีกครั้ง ฉันมองเครื่องประดับที่ยังเหลืออยู่บนศีรษะของเธอนั้นพริ้วไหวไปตามแรงเธอนั้น ช่างสวยเหลือเกิน
已经是最新一章了
加载中