ตอนที่ 32 อรรถพลขอเพ็ญจิตแต่งงาน   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 32 อรรถพลขอเพ็ญจิตแต่งงาน
ต๭นที่ 32 อรรถพลขอเพ็ญจิตแต่งงาน เมื่อเห็นดังนั้นอรรถพลจึงสาวเท้าใช้ลิฟท์ส่วนตัววิ่งลงมาอย่างรวดเร็ว โชคดีที่ไม่ได้อยู่ชั้นสูงมักนัก ขณะที่เขาวิ่งลงมาถึงชั้นหนึ่ง ประตูลิฟท์ก็เปิดออกพอดี เมื่อเห็นอรรถพลยืนขวางอยู่ด้านหน้า เพ็ญจิตก็สบายกระเป๋าขึ้นบนไหล่“หนูจะไปโรงเรียนแล้ว พี่ไม่ต้องตามมา”เธอพยายามหลีกเลี่ยงอรรถพล “ฉันไปส่ง” ดูจากการแสดงออกของเพ็ญจิตแล้ว อรรถพลรู้ดีแก่ใจว่าตอนนี้พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ เขาทำได้เพียงแค่อดทนเอาไว้ ยังไงเสียเด็กก็ยังอยู่ในท้อง รอจนถึงกลับบ้านไปตอนเย็น หรือไม่ก็จนกว่าเธอจะสงบลงแล้วค่อยคุยเรื่องนี้กันใหม่ คำนวนจากเวลาโดยคร่าวๆแล้ว เด็กในท้องน่าจะอายุราวๆสี่เดือน เขาต้องสอบถามจากคุณหมอให้ดีเสียก่อนว่าในเวลานี้หากจะเอาเด็กออกจะมีผลกระทบอะไรหรือไม่ต่อสุขภาพของเพ็ญจิต โดยสรุปแล้ว เขารู้สึกว่าเด็กคนนี้ยังไงก็ไม่สามารถเก็บไว้ได้ “ไม่จำเป็น พี่ไปทำงานเถอะ หนูไปโรงเรียนเองได้”ในตอนนี้คนที่เพ็ญจิตไม่อยากเจอหน้ามากที่สุดก็คืออรรถพล เธอกลัวเขามาก แววตาเขาดูคล้ายราวกับเพชรฌฆาตซึ่งฉายแววปรารถนาที่พร้อมจะฆ่าลูกน้อยของเธอได้ทุกนาที “เพ็ญจิต เธออย่าเอาแต่ใจแบบนี้สิ สภาพเธอตอนนี้ไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไร ให้พี่ไปส่งเธอเถอะ”อรรถพลเน้นย้ำคำว่าพี่นี้มาก “พี่คะ ก่อนหน้านี้หนูก็ไปของหนูเองทุกวัน ไม่เห็นว่าจะมีอะไรไม่ปลอดภัยหนิคะ ดังนั้นพี่วางใจเถอะค่ะให้เวลาหนูหน่อย หาก มีปัญหาอะไรก็ค่อยกลับบ้านไปคุยกันตอนเย็นได้ไหมคะ?”เพ็ญจิตต่อรองกับอรรถลด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมจริงจัง เมื่อถึงขั้นนี้แล้วก็ไม่มีอะไรจะต้องปิดบังกันอีก และยิ่งไปกว่านั้นเธอก็แต่งงานแล้ว การให้กำเนิดลูกของเธอก็ถือเป็นเรื่องถูกต้องตามกฏหมายอย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อเห็นเพ็ญจิตยืนหยัดถึงเพียงนี้ อรรถพลจึงทำได้แต่ตอบตกลง“งั้นก็ได้ เดินทางปลอดภัยแล้วกัน” “อือ ขอร้องพี่อย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับพ่อและแม่สักระยะหนึ่งนะคะ” ก่อนที่จะจากไปเพ็ญจิตเอ่ยปากขอร้องอรรถพลเล็กน้อย อรรถพลผงกหัวตอบรับและช่วยเพ็ญจิตเรียกแท็กซี่ หลังจากส่งเธอขึ้นรถเรียบร้อยเขาถึงจะออกตัวไป เมื่อมองตามหลังเพ็ญจิตที่ออกไป กองไฟในใจของอรรถพลก็ปะทุเผาไหม้อย่างมิอาจหยุดได้ ไอ่คนนามสกุลคำวงษานั่นช่างเฮงซวยเสียจริงๆถึงขนาดทำเพ็ญจิตท้องได้ ฉันไม่มีวันให้อภัยเขาเด็ดขาด ไม่มีวัน ตลอดทั้งวันนี้อรรถพลไม่เป็นอันอ่านเอกสารใดๆทั้งนั้น อีกทั้งอารมณ์ของเขายังร้อนรุ่มอย่างเห็นได้ชัด เขาเอาแต่มองนาฬิกาอยู่ตลอด และตอนที่ออกจากที่ทำงานมาก็ยังเหลือเวลาทำงานอยู่อีกตั้งหนึ่งชั่วโมง เขาไม่ได้ตรงกลับบ้านแต่ไปรับเพ็ญจิตที่โรงเรียนแทน เขารู้ว่าตอนบ่ายนี้เพ็ญจิตมีเรียนแค่สองคาบเท่านั้น แต่เขามาไวเกินไปจึงรออยู่นอกประตูโรงเรียน เพ็ญจิตไม่คาดคิดว่าอรรถพลจะมาเธอจึงเดินออกมาข้างนอกอย่างปกติ ฝั่งอรรถพลเมื่อมองเห็นเธอก็ตะโกนเรียกและเดินมาทางไปทางเธอ “เพ็ญจิต พี่อยู่นี่” เมื่อได้ยินเสียงของอรรถพลคิ้วของเพ็ญจิตก็ขมวดแน่นเข้าหากันอย่างทันใด อรรถพลในวันนี้ดูผิดปกติกว่าทั่วไป ดูท่าแล้วบางทีเธอคงจะต้องย้ายออกมาอยู่ข้างนอกเสียแล้ว แม้ว่าจะเป็นพี่น้องกัน แต่ทว่านับตั้งแต่วันที่ล่วงรู้เรื่องราวต่างๆ ทุกอย่างก็ดูไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป โดยเฉพาะสายตาที่พี่ชายมองมาทำให้เธอรู้สึกหวาดระแวงเป็นอย่างยิ่ง ครั้งนี้เพ็ญจิตไม่ได้ปฏิเสธ เธอยอมเดินขึ้นรถอรรถพลไปแต่ทว่าเมื่อขึ้นรถมาแล้วก็เอาแต่เงียบไม่พูดไม่จา ถึงแม้อรรถพลคิดอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ทว่ากลับมองเห็นสายตาของเพ็ญจิตเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่างตลอดเวลาทำให้เขารู้สึกอึดอัดจึงเลิกล้มความคิดไป เขาวางแผนว่าครั้นถึงบ้านแล้วค่อยคุยกันใหม่จะดีกว่า “เพ็ญจิต เย็นนี้เราสั่งอาหารมากินกันเถอะ” หลังจากจอดรถเข้าที่แล้วอรรถพลจึงหันไปพูดกับเพ็ญจิต “แล้วแต่เลยค่ะ” เพ็ญจิตดูเหงาหงอยไร้ชีวิตชีวาอย่างเห็นได้ชัด อาจจะเป็นเพราะผลกระทบทางจิตใจ หลังจากรู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ดูเหมือนว่าเธอจะรู้สึกเหนื่อยล้าหมดแรงง่ายเป็นพิเศษ “เพ็ญจิต ดื่มนมสักแก้วก่อนเถอะแล้วเรามาคุยกันเรื่องเด้กคนนี้ดีไหม?” เมื่อถึงบ้านอรรถพลก็รินนมวัวใส่แก้วให้เพ็ญจิต อรรถพลรับแก้วนมมาแล้วดื่มเข้าไปอึกใหญ่ “พี่คะ เด็กคนนี้เป็นลูกของหนู หนูจะคลอดเขาออกมา” เพ็ญจิตพูดกับอรรถพลด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง อรรถพลนั่งยองๆอยู่ด้านหน้าเพ็ญจิต เขาจ้องมองไปที่ท้องของเธอและพูดด้วยน้ำเสียงดุดันจริงจัง “เพ็ญจิต เธอเคยคำนึงบ้างไหมเกี่ยวกับสถานการณ์ของเธอตอนนี้ เธอกำลังเรียนหนังสืออยู่ ถ้าหากเธอเก็บเด็กคนนี้เอาไว้ก็จะทำให้เธอเสียเวลาเรียนไม่จบได้นะ อีกอย่างหนึ่งตอนนี้ทะเบียนสมรสก็ไม่ได้อยู่ที่ตัวเธอ หากถึงเวลานั้นเธอจะต้องแบกรับสายตาดูถูกดูแคลนมากมายขนาดไหน เธอเคยรู้บ้างไหม?” เมื่อได้ยินพี่ชายพูดดังนั้นเพ็ญจิตก็รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง เธอเคยนึกว่าพี่ชายจะสนับสนุนเห็นด้วยกับเธอ แม้ว่าสุวิทย์จะไม่ได้กลับมาหาเธอแต่ทว่าเธอกับเขาก็แต่งงานกันแล้ว นี่เป็นเรื่องจริง ทำไมพี่ถึงพยายามทำให้เธอรู้สึกว่าเด็กคนนี้ ‘เกิดขึ้นมาจากกระบอกไม้ไผ่’ กันด้วยเล่า? “พี่คะ หนูแต่งงานแล้ว เด็กคนนี้เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฏหมาย หนุไม่จำเป็นจะต้องแบกรับสายตาดูถูกอะไรนั่น และอีกอย่างหนึ่ง ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอะไรก็ตามมันก็เป็นเรื่องของคนอื่น ไม่เกี่ยวข้องใดๆกับหนู หนูมีชีวิตอยู่ก็เพื่อตัวเอง ไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่น” “คืออย่างนี้นะเพ็ญจิต แต่ในเมื่อพวกเราอาศัยอยู่บนโลกแห่งนี้ ก็ย่อมจำเป็นที่จะต้องคอยแบกรับสายตาของผู่อื่น มันไม่งายเลยนะที่เธอจะสามารถกลับมาเรียนหนังสือได้ใหม่ การจะให้กำเนิดเด็กสักคนหนึ่งเธอเคยรู้บ้างไหมว่าต้องเสียเวลามากแค่ไหน” เมื่อเห็นเพ็ญจิตดูท่าทางว่าจะโกรธ อรรถพลจึงหยิบยกเรื่องความฝันของเธอมาพูดเกลี้ยกล่อมแทน “แต่ หนูคิดไว้แล้ว หนูสามารถพักการเรียนไว้ก่อนหนึ่งปี แบบนี้คงไม่มีปัญหาอะไร อีกอย่างหนึ่ง นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกของหนู หนูมั่นใจค่ะว่าจะไม่มีทางทิ้งการเรียนไปเป็นอันขาด” “แต่ว่านะเพ็ญจิต เธอเคยคิดบ้างไหม หากเธอให้กำเนิดลูกแล้ว การจะเลี้ยงดูเขามันเป็นเรื่องยากลำบากแค่ไหน?” อรรถพลพูดขึ้นอย่างลังเลอึกอัก เขาหมดหนทางจะพูดเกลี้ยกล่อมให้เพ็ญจิตยอมทำแท้งแล้ว เพ็ญจิตก้มหน้าใช้มือลูบท้องตัวเอง เธอเคยคิดว่าสายสัมพันธ์ระหว่างเธอกับสุวิทย์คงแยกขาดออกจากกันเรียบร้อยแล้ว ทว่าตอนนี้พระเจ้ากลับประทานเด็กน้อยมาให้เธอ บอกเธอเป็นการนัยว่าพวกเขายังคงต้องกลับมาพบกันใหม่ พวกเขาเป็นสามีภรรยากัน ไม่สามารถเดินแยกทางกันเช่นนี้ได้ “หนูรู้ ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน หนูจะเลี้ยงดูเด้กคนนี้จบเติบใหญ่ให้จงได้ หนูเชื่อว่าต้องมีสักวันที่หนูกับสุวิทย์จะกลับมาพบกันใหม่” “เพ็ญจิต เธอตัดสินใจจะคลอดเด็กคนนี้ออกมาจริงๆหรือ?”ลักษณะท่าทางของอรรถพลดูกลัดกลุ้มเล็กน้อย เพราะเคยคำนึงไว้แล้วว่าวันนี้จะเกิดผลลัพธ์เช่นนี้ ในเมื่อหมดหนทางที่จะเกลี้ยกล่อมให้เพ็ญจิตเอาเด็กคนนี้ออก ถ้าอย่างงั้นเขาจะสนับสนุนเธอให้คลอดเด็กคนนี้ออกมาเอง เพียงแต่เด็กน้อยคนนี้ต้องการพ่อ ในเวลานี้แหละที่นับได้ว่าเป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะสารภาพความในใจกับเพ็ญจิตด้วยการขอเธอแต่งงาน แม้ว่าจากสายตาคนนอกแล้ว บางทีสิ่งนี้อาจจะเป็นเหมือนการฉกฉวยโอกาสยามเธอเดือดร้อน แต่ทว่าเขาเขื่อว่าต้องมีสักวันหนึ่งที่เพ็ญจิตจะสามารถเข้าใจหัวใจดวงนี้ของเขาได้ “ใช่ค่ะ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามหนูต้องคลอดเด็กคนนี้ออกมา ไว้พอถึงเทอมหน้าก็ค่อยขอพักการเรียน” เพ็ญจิตเน้นย้ำอีกครั้ง เธอหวังว่าพี่ชายจะยอมรับการตัดสินใจของเธอและไม่พยายามโน้มน้าวให้เธอเอาเด็กคนนี้ออกอีก “ก็ได้ งั้นพี่จะแต่งงานกับเธอ”อรรถพลยืนขึ้น เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่ “อ่า- พี่คะ พี่พูดว่าอะไรนะคะ? พวกเราเป็นพี่น้องกันนะ พี่...พี่พูดอะไร...” เพ็ญจิตมองพี่ชายด้วยความตกตะลึง เธอแต่งงานแล้ว หรือว่าพี่ชายยังไม่ยอมเชื่ออีกหรือ? ทว่าต่อให้จะเป็นแบบนั้นก็เถอะ พวกเขาก็เป็นพี่น้องกัน จะเป็นไปได้อย่างไร... ทำไมพี่ถึงได้... “เพ็ญจิต ถ้าหากเธอยังยืนยันที่จะคลอดเด็กคนนี้ออกมา พี่จะแต่งงานกับเธอเอง!พี่ไม่ใช่พี่ชายแท้ๆของเธอ! อันที่จริงแล้วพี่อยากบอกเธอมาตลอดแต่ก็กลัวว่าเธอจะรับเรื่องนี้ไม่ได้ พี่รอเธอมาตลอด รอให้เธอเติบโตขึ้น รอให้เธอเรียนจบ ตอนนี้เอก็รู้แล้วว่าพวกเราไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ พวกเราไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกัน ซึ่งก็สามารถ...” อรรถพลนั่งคุกเข่าหนึ่งข้างอยู่หน้าเพ็ญจิตราวกับว่าจะขอแต่งงาน “พี่คะ หนูแต่งงานแล้วและระหว่างพวกเราก็เป็นแค่พี่น้อง แต่สุวิทย์ไม่เหมือนกันเพราะระหว่างพวกเรานั้น...” “เธออยากจะบอกฉันว่าระหว่างพวกเธอมันคือความรักงั้นหรือ? แค่สามวัน เธอก็รักเขาแล้วหรือ? หรือว่าจะพูดว่าเขาเคยบอกเธอว่าเขารักเธอ?” อรรถพลลุกขึ้นยืนด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวแสดงอาการหึงหวง “พี่คะ แม้ว่าระหว่างพวกเราจะไม่รักกันเสียจนถึงขั้นมิอาจลืมเลือนกันได้ แต่เขาที่อยู่ในใจหนูนั้นแตกต่างออกไป หนูเชื่อว่าเขาก็คิดแบบนี้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นเด็กคนนี้ก็เกิดขึ้นมาจากการแต่งงานกันตามปกติของพวกเรา เหตุใดถึงไม่สามารถคลอดเขาออกมาได้อย่างสง่าผ่าเผยกันล่ะคะ” แท้จริงแล้ว เพ็ญจิตไม่สามารถพูดคำว่ารักออกไปได้อย่างเต็มแก เธอไม่รู้ว่าความรักที่แท้จริงหน้าตาเป็นอย่างไร? ระหว่างเธอกับสุวิทย์ไม่ได้มีสายใยรักจนมิอาจแยกขาดออกจากกันได้อย่างในละครหรือนิยาย แต่สุวิทย์ยังอยู่ภายในใจของเธอ สำหรับเธอแล้วสุวิทย์ไม่เหใอนกับผู้ชายคนอื่นๆ เพ็ญจิตเชื่อว่าถ้าหากไม่ได้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นล่ะก็ เธอกับสุวิทย์คงได้ครองรักกันอย่างมีความสุขเป็นแน่ “เพ็ญจิต เด็กต้องการพ่อนะ เธอเองก็ต้องการผู้ชายสักคนมาดูแล” อรรถพลมองเพ็ญจิต เขาไม่อาจลบล้างมันออกไปได้ เขาเคยเห็นทะเบียนสมรสใบนั้น เพ็ญจิตแต่งงานแล้วจริงๆ แต่ในเวลานี้นาทีนี้ สิ่งที่เขาจะพอคิดได้ก็มีแค่วิธีนี้เท่านั้น “พี่คะ เด็กคนนี้มีพ่อค่ะ หนูเชื่อว่าสักวันหนึ่งหนูจะได้เจอสุวิทย์อีกครั้ง” เพ็ญจิตนิ่งเงียบไปครู่นึง เธอรู้ดีว่าเด็กคนนี้ต้องการพ่อ แต่ว่าเธอไม่อยากจะทรยศความรู้สึกและไม่อยากจะทรยศการแต่งงานของตัวเอง “เพ็ญจิต ทำไมเธอถึงไม่ลืมๆมันไปซะ เธอช่วยทำให้เรื่องสามวันนั้นเป็นแค่เพียงความฝันได้ไหม? ถ้าเธอจะคลอดเด็กคนนี้ ฉันก็จะสนับสนุนเธอแต่ต้องให้ฉันเป็นพ่อของเด็กคนนี้ ฉันเลี้ยงเด็กคนนี้เหมือนลูกแท้ๆของตัวเอง ฉันจะดูแลเด็กคนนี้เป็นเพื่อนเธอและเราจะมองดูเขาเติบโตไปด้วยกัน” ท้ายที่สุดเขาก็พูดสิ่งเหล่านี้ออกมาเมื่อเห็นถึงความหัวรั้นของเพ็ญจิต “พี่คะ หนูรู้ว่าพี่อยากจะช่วยหนู แต่พี่เป็นพี่ชายของหนู เป็นลุงของเด็กคนนี้” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เพ็ญจิตได้ยินสิ่งเหล่านี้ แต่ก่อนเธอแค่ทำเป็นหูทวนลมไป แต่ตอนนี้เธอจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญกับปัญหานี้สักหน่อยเสียแล้ว พี่ชายของเธอไม่ใช่พี่ชายคนนั้นอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้เขากลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวและกลายเป็นผู้ชายที่อยากตามจีบเธอ “เพ็ญจิต เธอก็รู้ว่าฉันไม่ใช่พี่ชายของเธอ พวกเราไม่มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด ฉันสามารถแต่งงานกับเธอได้” เมื่ออรรถเห็นท่าทีที่มิอาจยอมรับได้ของเพ็ญจิตจึงเอ่ยพูดอย่างตรงไปตรงมาอีกครั้งหนึ่ง พี่คะ หนูเคยคิดว่าหลังจากนี้อีกสักสองสามวันหนูจะออกไปหาบ้านสักหลังและจะย้ายออกไปอยู่ข้างนอก แม้ว่าพวกเราจะเป็นพี่น้องกัน แต่ยังไงๆพวกเราก็เป็นผู้ใหญ่กันแล้ว การจะอยู่ด้วยกันก็คงจะไม่ค่อยสะดวกสักเท่าไหร่” เพ็ญจิตได้ผลักตัวเองออกมาจากบ้านวงศ์อัจฉราแล้ว เธอรู้ดีกว่าควรจะรีบลงมือตัดขาดเรื่องวุ่ยวายนี้ออกแต่โดยเร็ว ภายในใจของเธอ พี่ชายก็จะเป็นพี่ชายของเธอตลอดไป “เพ็ญจิต ฉันชอบเธอ แค่นี้มันยอมรับยากมากหรือยังไง?” อรรถพลร้อนรนเมื่อได้ยินว่าเพ็ญจิตจะย้ายออกไป “ไม่ใช่อย่างนั้น พี่คะ พวกเราไม่ใช่เด็กน้อยอายุสิบขวบเหมือนอย่างแต่ก่อนแล้วนะคะ พวกเราควรจะมีช่องว่างเป็นของตัวเอง พี่เองก็ควรจะคบกับผู้หญิงสักคนแล้วรีบแต่งงานโดยเร็ว การที่หนูอยู่เป็นก้างขวางคออยู่แบบนี้มันคงจะไม่สะดวกสักเท่าไหร่ และยิ่งไปกว่านั้นหนูเองก็ต้องทำหน้าที่คนเป็นแม่ในอีกไม่ช้านี้แล้ว หนูต้องเข้มแข็งขึ้น ต้องเด็ดเดี่ยวขึ้น ไม่อาจจะพึ่งพี่ไปได้ตลอดชีวิต” เพ็ญจิตปฏิเสธ เธอได้ตัดสินใจแล้วว่าพรุ่งนี้เธอจะออกไปหาบ้านอยู่และจะรีบย้ายออกไปให้เร็วที่สุด “ฉันไม่เห็นด้วย !! ” อรรถพลโกรธเดือดดาล
已经是最新一章了
加载中