ตอนที่ 35 สุวิทย์เนียนป้อนยา   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 35 สุวิทย์เนียนป้อนยา
ต๭นที่ 35 สุวิทย์เนียนป้อนยา ภาพเหตุการณ์ที่พิธีมอบรางวัลเมื่อวาน บางทีคนด้านล่างเวลาทีอาจจะมองไม่เห็นแต่คนที่อยู่บนเวทีอย่างพลังนั้นเห็นชัดเจนแจ่มแจ้งว่าขณะที่ท่านประธานมองคุณเพ็ญจิตจิตใจก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน หรือว่าท่านประธานจะยอมเปิดใจแล้ว? จู่ๆเขาเริ่มสนใจผู้หญิง? “อือ พลัง จัดห้องทำงานของคุณเพ็ญจิตมาที่...ที่ห้องข้างๆที”สุวิทย์ทำท่าอึกอักอยากพูด “ท่านประธานครับ คุณ?”พลังจ้องด้วยความตกใจ การจัดการของท่านประธานดูท่าจะไม่ค่อยสมควรแก่เวลาสักเท่าไหร่ คุณเพ็ญจิตเธอเองเป็นถึงหัวหน้านักออกแบบ เธอย่อมมีห้องทำงานเป็นของตัวเองอีกทั้งยังถูกจัดเตรียมไว้พร้อมแล้วเสียด้วยเหตุใดท่านประธานถึงอยากย้ายห้องทำงานของคุณเพ็ญจิตมาที่นี่? หรือว่าเพื่อที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกัน? “ใช่ ก็ห้องข้างๆห้องทำงานผมที่แหละ ส่วนเรื่องห้องประชุมก็ให้ย้ายไปอยู่ชั้นล่างเสีย”สุวิทย์พูดด้วยน้ำเสียงจริงแท้แน่นนอนอย่างมิต้องสงสัย พลังไม่เข้าใจ เพ็ญจิตเองก็ไม่เข้าใจ ที่นี่ไม่ใช่ว่าก็ดีอยู่แล้วหรือ ทำไมถึงต้องย้ายห้องทำงานอย่างกระทันหันเช่นนี้กันด้วย? แม้ว่าจะเคลือบแคลงใจอยู่มาก แต่ทว่าเธอก็ไม่ได้พูดออกมา สำหรับเธอแล้วไม่ว่าจะทำงานที่ไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็รู้สึกไม่ค่อยสะดวกเล็กน้อยราวกับว่าถูกขังให้อยู่โดดเดี่ยวอย่างไรอย่างนั้น เธอเองก็รู้สึกคุ้ยเคยกับคืนวันที่ยุ่งวุ่นวายเช่นนี้มากแล้วเช่นกัน เพียงแต่เมื่อเช้านี้เธอมาสายเพราะเมื่อคืนได้รับสายโทรศัพท์จากลูกๆ คาดไม่ถึงเลยว่าทั้งสองคนจะป่วยพร้อมกันเสียได้ ตอนนั้นเธออยากจะรีบรุดไปลางานเพื่อกลับไปดูแลลูกๆ แต่เจมส์บอกว่าเขาพาลูกๆทั้งสองไปโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังไม่อาจวางใจได้จึงเฝ้าอยู่หน้าโทรศัพท์ทั้งคืน จนกระทั่งรุ่งสางเจมส์บอกว่าลูกๆไข้ทุเลาลงแล้ว หัวใจที่ห้อยต่องแต่งดวงนั้นของเธอจึงจะสบายใจลงได้ และก็เพราะเหตุนี้เองเธอจึงมาสายเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เธอทำงานมา ขณะที่ในมือถือแบบร่างอยู่เพ็ญจิตก็รีบพุ่งตัวเข้าไปในลิฟท์ กว่าลิฟท์ทะยานขึ้นมาถึงชั้นบนสุด ก็สายเกินไปเสียแล้ว ในใจของเธอรู้สึกร้อนรนกระสับกระส่าย ครั้นประตูลิฟท์เปิดเธอจึงรีบพุ่งตัวออก แต่ทว่า ‘ปัง’เธอชนเข้ากับอะไรแข็งๆบางอย่าง ที่แท้แล้วคนที่เพ็ญจิตวิ่งชนก็คือสุวิทย์ เมื่อช่วงเวลาเข้างานในตอนเช้าเขาไม่เห็นเพ็ญจิต และตอนนี้ก็เลยเวลาเข้างานมาถึงครึ่งชั่วโมงแล้วก็ยังไม่เห็นเพ็ญจิตอีก สุวิทย์รู้สึกเป็นกังวลจึงอยากจะลงไปดูข้างล่างเสียหน่อย คาดไม่ถึงเลยว่าเพ็ญจิตจะพุ่งออกมาจากลิฟท์ ซ้ำเธอยังวิ่งมาชนเขาอีก “ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ...” เพ็ญจิตไม่ได้สนใจจมูกที่เจ็บปวด เธอเอาแต่พูดขอโทษไปก็ก้มลงเก็บแบบร่างที่ตกกระจายเกลื่อนอยู่เต็มพื้นไป สุวิทย์โน้มตัวลงไปช่วยเพ็ญจิตเก็บแบบร่าง “คุณเพ็ญจิต ดูเหมือนว่าวันนี้คุณจะมาสายนิดหน่อยนะ” สุวิทย์วางแบบร่างลงบนมือของเพ็ญจิต มือใหญ่ๆก็วางลงบนบ่าของเธออย่างเบาๆ เมื่อเห็นปอยผมหน้าม้าห้อยลงมาที่หน้าผากของเธอจึงใช้มืออีกข้างหนึ่งเลิกเส้นผมเธอขึ้นอย่างสนิทสนมซ้ำทัดเก็บไว้ข้างหูให้เธออีกด้วย เขาก้มหน้าส่งยิ้มให้เธอ ลมหายใจร้อนผ่าวตกกระทบเข้ากับใบหน้าของเธอ โดยมิได้เปล่งเสียงใดออกมา “ขอโทษค่ะ เมื่อคืนนี้...เมื่อเช้านี้ฉันนอนตื่นสาย” ใบหน้าเพ็ญจิตแดงระเรื่อ เธอกล่าวขอโทษขึ้นอย่างทันใด “ต่อจากนี้เธอทำงานแค่ในบริษัทก็พอ ไม่ต้องแบกเอากลับไปทำที่ เดี๋ยวถ้ามีใครรู้เข้าเขาจะหาว่าผมทารุณพนักงาน” เมื่อมองเห็นดวงตาแดงก่ำของเพ็ญจิต สุวิทย์ก็พูดขึ้นที่อย่างเล่นทีจริงจัง เพ็ญจิตพยักหน้าหงึกๆ “ฉันเข้าใจแล้วค่ะ ท่านประธานคะ ถ้าอย่างงั้นฉันขอตัวกลับไปที่ห้องทำงานก่อนนะคะ” เมื่อเห็นแผ่นหลังที่เดินจากไปด้วยความหวาดกลัวของเพ็ญจิต สุวิทย์ก็ฉีกยิ้มที่มุมมากเล็กน้อย นอกเหนือจากรูปลักษณ์ภายนอกที่เปลี่ยนไปแล้วดูเหมือนว่านิสัยใจคอก็แตกต่างออกไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงเลยว่าการแตะต้องตัวเพียงแค่นี้ เธอถึงกับหน้าแดงไปได้ สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนไปก็คือแววตาใสสะอาดปราศจากมลทินใดๆและความบริสุทธิ์นี้แหละคือสิ่งเขาชอบมากที่สุด หลังจากกลับมาถึงห้องทำงาน หัวใจของเพ็ญจิตยังคงเต้น‘ตึกๆ’‘ตึกๆ’เธอไม่คิดเลยว่าท่านประธานจะเข้ามาใกล้เธอถึงเพียงนี้ เธอตกใจแทบแย่ มือทั้งสองอังอยู่ที่แก้มทั้งสองข้าง จนถึงตอนนี้เธอถึงจะสามารถรู้สึกได้ว่าพวกมันกำลังร้อนระอุไปหมดเสียแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อกี้ท่านประธานจะสังเกตเห็นหรือไม่ ช่างน่าขายหน้าเสียจริงๆ ในขณะที่ภายในใจของเพ็ญจิตก็ให้กำลังใจตัวเอง ครั้งหน้า ครั้งหน้าห้ามมาสายอีกเป็นอันขาด ในเมื่อเพ็ญจิตก็มาทำงานแล้ว สุวิทย์ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลงไปข้างล่าง เขากลับไปที่ห้องทำงานแล้วเปิดดูภาพวีดีโอของห้องข้างๆ เขารู้ดีว่าการกระทำเช่นนี้รับว่าเป็นการบุกรุกสิทธิส่วนบุคคลของพนักงงาน แต่เขาก็หาได้สนใจไม่ เขารีบร้อนอยากจะเข้าใจผู้หญิงคนนี้เสียเหลือเกินว่าเหตุใดเธอถึงกลับมา สุวิทย์อยากจะรู้ว่าเพ็ญจิตมีนการที่อยากจะเข้าใกล้เขาใช่หรือไม่ หรือว่าเธอจะยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร? หรือว่าจะลืมทุกอย่างจนหมดสิ้นแล้ว หากเป็นแค่เรื่องบังเอิญเขาก็จะปล่อยเลยไม่ถือสาอันใดและยังคงสถานภาพการสมรสต่อไป แต่ถ้าหากเป็นแผนการชั่วร้าย ถ้าอย่างงั้นก็อย่ามาหาว่าเขาไม่เกรงใจแล้วกัน มองดูใบหน้าแดงก่ำและสีหน้าท่าทางเขินอายของเธอผ่านทางหน้าจอ ร่างกายของสุวิทย์จึงเกิดปฏิกริยาทางเคมีขึ้นอย่างไม่คาดคิด ตลอดเวลาหลายปีผ่านมานี้ เขาละความอยากและบริสุทธิ์ใจอยู่เสมอไม่เคยหวั่นไหวกับผู้หญิงหน้าไหนทั้งนั้น คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้เพียงแค่เห็นเธอก็กลับมีอาการขึ้นเสียได้อีกทั้งในหัวของเขาก็ฉายภาพความหอมหวานในคืนวันเข้าหอเมื่อห้าปีก่อนขึ้นมาอีกอย่างธรรมชาติ ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อเช้าเพ็ญจิตจะคอยหลบหน้าเขาตลอด ผ่านมาก็ตั้งหลายวันแล้ว นอกจากมองมองเธอจากในหน้าจอสุวิทย์ก็ยังไม่ได้ ‘พบหน้า’ เธออีกเลย นับตั้งแต่วันนั้นเพ็ญจิตก็มาทำงานเช้ากว่าเดิมเล็กน้อยและพอเธอเวลาเลิกงานเธอแทบจะรีบบินหนีออกไปราวกับจงใจหนีเขาอย่างไรอย่างนั้น ณ ห้องทำงานของท่านประธานบริษัท การคอยแอบมองเพ็ญจิตเพ็ญจิตได้กลายเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ในทุกๆวันของสุวิทย์ วันนี้สุวิทย์เห็นใช้กระดาษทิชชู่ซับจมูกอย่างไม่หยุดหย่อนจนจมูกของเธอแดงก่ำไปหมดราวกับว่ากำลังเป็นหวัด เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะปวดใจอยูบ้างจึงรีบสั่งให้ผู้ช่วยไปซื้อยาแก้หวัด ภายในใจเขานึกโมโห นี่เธอเป็นผู้หญิงประสาอะไรกันแม้แต่ตัวของตัวเองก็ยังไม่ยอมดูแลให้ดี หลังจากพลังซื้อยากลับมา สุวิทย์จึงต่อสายโทรศัพท์ไปยังห้องข้างๆด้วยความฉุนเฉียว “เพ็ญจิต คุณรีบมาที่ห้องทำงานผมเดี๋ยวนี้” เพ็ญจิตที่กำลังแก้ไขแบบร่างอยู่ จู่ๆเมื่อได้รับสายจากสุวิทย์ที่ดูเหมือนกำลังโกรธอยู่ก็นิ่งอึ้งไป ไม่เข้าใจว่าเธอทำผิดอะไรกันแน่ แต่เมื่อได้รับคำสั่งจากหัวหน้าใหญ่อย่างไรก็ต้องไป และเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงไม่ให้ไปทำผิดอะไรต่อหน้าเขาอีก เธอจึงเดินไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องน้ำและเติมเครื่องสำอางที่ห้องน้ำก่อน สองวันมาดูอากาศก็เย็นลงอย่างกระทันหัน ขณะที่เธอนอนก็เลยเป็นหวัดอย่างไม่รู้ตัว สภาพของเธอตอนนี้ช่างดูไม่จืดเลยเสียจริง “ท่านประธาน คุณเรียกฉันหรือคะ?” เมื่อมาถึงห้องทำงานของสุวิทย์ เพ็ญจิตก็พยายามอดกลั้นไม่ให้ตัวเองจามออกมา แต่ทว่าเวลาที่ป่วยนั้นการที่คนเราจะควบคุมตนเองก็ย่อมไม่ได้ผลอะไรเป็นเรื่องธรรมดา เวลาที่เพ็ญจิตรับรู้ได้ว่ากำลังจะควบคุมตนเองไม่อยู่แล้วจึงรีบใช้มือปิดจมูกยังรวดเร็ว แต่ทว่าก็สายเกินไปเสียแล้ว “ฮัดเช้ย -” “ข... ขอโทษค่ะ ฉัน...” “กินยาซะ หากไม่สบายก็ไม่ต้องทนเอาไว้หรอก” สุวิทย์พูดไปก็พรางรินน้ำให้เพ็ญจิตไปด้วยตัวเอง “ท่านประธาน ฉ...ฉันแค่ไม่สบายนิดหน่อย ไม่....ฮัดเช้ย” เพ็ญจิตจามออกมาอีกครั้งขณะพูด “กินซะ คนป่วยไม่มีสิทธิจะพูดอะไรทั้งนั้น” สุวิทย์เอ่ยขึ้น เขาไม่เพียงแต่จะยัดแก้วน้ำเข้าไปในมือเพ็ญจิต ซ้ำยังแกะแคปซูลยาสองสามเม็ดให้เธอด้วยตัวเองอีกด้วย “ท่านประธานคะ ไม่เป็นไรค่ะ ฉ...ฉันทำเองได้ค่ะ” “พูดต่อสิ แต่อย่ามาหาว่าผมถือวิสาสะป้อนยาให้คุณล่ะ” สุวิทย์จ้องริมฝีปากขาวซีดอย่างเห็นได้ชัดของเพ็ญจิตพลางพูดขู่ เมื่อตระหนักได้ถึงนัยยะของสุวิทย์ ใบหน้าของเพ็ญจิตก็แดงระเรื่อและไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก เธอรับยาและโยนเข้าไปในปาก แต่ทว่าเมื่อเธอยกแก้วน้ำขนแตะขอบปากก็กลับหยุดชะงักลง หากเธอจำไม่ผิดล่ะก็แก้วใบนี้เป็นของท่านประธาน และ.. ตาของเพ็ญจิตสำรวจไปรอบๆ บนโต๊ะทำงานของสุวิทย์ไม่ได้มีแก้วน้ำใบอื่นอยู่อีก ซึ่งก็หมายความว่า... “เพ็ญจิต คุณคิดว่าแก้วใบที่ผมเคยใช้มันสกปรกหรือ?” สุวิทย์หรี่ตาลงเล็กน้อย ในใจก็เริ่มตื่นเต้นด้วยความสงสัยราวกับว่ากำลังตั้งตารอคอยอะไรบางอย่าง เขาจ้องมองไปยังเพ็ญจิตที่กำลังมือไม้สั่น “ไม่ ไม่ใช่ค่ะ ฉ...ฉันกลัวว่าจะแพร่หวัดไปติดท่านประธานด้วย ฉ...ฉันไปรินน้ำใหม่แล้วกันนะคะ เอือก..” ยาที่อยู่ในปากทำให้เพ็ญจิตพูดได้ไม่ค่อยชัด ในขณะเดียวกันหัวก็เธอมึนตึบๆ เธอรู้สึกว่าอุณหภูมิในร่างกายเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยไม่จำเป็นต้องส่องกระจกก็รู้ ครั้งนี้เกรงว่าหน้าเธอคงแดงก่ำราวกับลูกพลับแล้วกระมัง “พวกผู้หญิงนี่ร่ำไรจริงๆ” เมื่อสุวิทย์เห็นยาติดคอของเพ็ญจิตจึงรีบกระดกแก้วแล้วป้อนน้ำเธอด้วยตัวเอง “ฉัน... เอือก..” เดิมทีคิดอยากพูดว่าจะทำเอง แต่ทว่ายาที่ติดอยู่ในลำคอนี่ช่างกลืนยากลืนเย็นเสียจริง เพ็ญจิตไม่ได้ปฏิเสธอีกต่อไป เธอยอมดื่มน้ำอึกใหญ่ตามแรงมือของสุวิทย์และกลืนยาเข้าไป “เดิมอีกสักสองอึกสิ จะได้ช่วยดูดซึมยาได้” ตาของสุวิทย์จ้องถมึงเป็นการขู่บังคับ เพ็ญจิตหมดหนทางปฏิเสธและก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ เธอจำต้องก้มหน้าก้มตาดื่มน้ำจนหมดไปครึ่งแก้ว ครั้นทำท่าอยากจะขอบคุณแล้วจากไป แต่ก็ไม่ทันจะได้คิด มือของสุวิทย์ที่วางแก้วน้ำลงอังมาที่หน้าผากของเธอ “ร้อนอะไรขนาดนี้ ไปหาหมอมาหรือยัง” “ยังค่ะ แค่เป็นหวัดเล็กๆน้อยๆ กินยาก็ไม่เป็นอะไรแล้ว” สมองใหญ่ๆของเพ็ญจิตไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าที่ท่านประธาน ทำหมายถึงอะไร หรือว่าเขาไม่รู้หรือไงว่าชายหญิงไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวกัน โดยเฉพาะชายหญิงที่ยังโสด... “คนป่วยไม่มีสิทธิจะพูดว่าไม่ ไปหยิบเสื้อผ้ามา ผมจะไปส่งคุณที่โรงพยาบาล” สุวิทย์ตัดสินใจเองเออเองอีกครั้ง “ท่านประธานคะ ฉันไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาลหรอกค่ะ แค่ฉันกลับไปพักผ่อนนอนหลับสักงีบหนึ่งก็ดีขึ้นแล้วค่ะ” เพ็ญจิตถูกสุวิทย์บังคับให้ขึ้นรถ แต่ท่าเธอไม่อยากไปโรงพยาบาลจริงๆอีกอย่างเธอก็ไม่ได้อาการหนักขนาดนั้นด้วย “คนที่เป็นไข้ไม่มีสิทธิพูดว่าไม่ เธอนั่งดีๆ” สุวิทย์ออกคำสั่งอย่างเผด็จการ “ฉ...ฉันไม่ได้มีไข้ เพียงแค่...” เพ็ญจิตพูดติดอ่าง เธอไม่รู้ว่าจะอธิบายว่าอย่างไรดี เธอได้มีไข้เสียที่ไหนกันล่ะเพียงแค่เธอไม่ค่อยชินกับการเธอเขามาแตะเนื้อต้องตัวก็เท่านั้นเอง เธอแค่รู้สึกเขินหน้าก็เลยแดงและร้อนผ่าวขึ้นมา ไม่ได้มีไข้สักนิด แต่ทว่าเธอจะพูดคำเหล่านี้ออกไปได้อย่างไร หากพูดออกไปจริงๆ เกรงว่าจะทำให้เขาเข้าใจผิดได้ สุวิทย์เองก็รู้ดีว่าเพ็ญจิตไม่ได้มีไข้ แต่เขาก็ยังไม่วางใจจึงอยากพาเธอมายังแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาล “คุณผู้ชายครับ ภรรยาของคุณแค่เป็นหวัดนิดหน่อยไม่ได้ร้ายแรงอะไร แค่กลับไปดื่มน้ำให้มากๆ พักผ่อนสักสองวันก็ดีขึ้นแล้วครับ” คุณหมอกระหยิ่มยิ้มพลางมองไปที่สุวิทย์และเพ็ญจิต แค่เป็นหวัดนิดๆหน่อยๆก็เท่านั้นแต่ถึงขึ้นพามาถึงแผนกฉุกเฉิน เพิ่งจะเคยพบเคยเจอเป็นคนอย่างพวกเขาเป็นครั้งแรก “คุณหมอครับ เธอไม่เป็นอะไรจริงๆใช่ไหมครับ? ไม่จำเป็นต้องฉีดยาใช่ไหมครับ?” สุวิทย์ยังคงไม่สบายใจ เพ็ญจิตเมื่อเห็นคุณหมอที่นั่งอยู่ข้างๆยิ้มกริ่มออกมาใบหน้าก็ยิ่งร้อนผ่าวมากขึ้นจึงรีบดึงแขนสุวิทย์ลากออกมาข้างนอกโดยไม่พะวงหน้าพะวงหลังอันใด “คุณผู้ชายครัย ที่คุณเป็นห่วงคนรักของคุณพวกเราก็เข้าใจได้ครับ แต่แฟนของคุณไม่ได้เป็นอะไรจริงๆครับ เมื่อทานยา กลับไปพักผ่อนให้มากขึ้นและดื่มน้ำให้มากๆก็หายแล้วครับ” คุณหมอพยายามอดกลั้นและยิ้มออกมาด้วยมาดเคร่งขรึม
已经是最新一章了
加载中