ตอนที่ 36 เธอถึงกับลืมมันไปแล้วจริงๆ
1/
ตอนที่ 36 เธอถึงกับลืมมันไปแล้วจริงๆ
OMG!สุ่มได้สามีคนหนึ่ง
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 36 เธอถึงกับลืมมันไปแล้วจริงๆ
ตนที่ 36 เธอถึงกับลืมมันไปแล้วจริงๆ “ท่านประธานคะ ขอบคุณนะคะที่พาฉันไปโรงพยาบาล ฉันคงไม่กล้ารบกวนท่านประธานอีก ฉันเรียกรถกลับไปเองได้ค่ะ” หลังจากไปโรงพยาบาลแล้ว ไม่ว่าเพ็ญจิตจะเปล่งคำใดก็ล้วนแต่จะไม่ยอมนั่งรถหรูของสุวิทย์ ในตอนแรกที่เธอถูกเขาบังคับให้มาโรงพยาบาลก็เพราะเธอไม่มีทางเลือก ในเมื่อตอนนี้คุณหมอบอกว่าเธอไม่เป็นอะไรแล้ว ถ้าอย่างงั้นเธอก็สามารถกลับไปเองได้ ก็ใครใช้ให้สุวิทย์อนุญาตให้เธอไม่ต้องไปทำงานกันล่ะ “คุณกลัวว่าผมจะกินคุณหรือไง หรือว่าเธอมีความลับอะไรที่ไม่อยากให้ผมรู้” สุวิทย์เองก็ดื้อดึงเช่นกัน เขาตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามเขาต้องพาเธอไปส่ง ประการแรกคือเขาไม่วางใจหากเธอจะนั่งรถแท็กซี่กลับไปด้วยสภาพในตอนนี้ ประการที่สองก็เพื่อที่จะไปสำรวจลู่ทางหากคราวหน้าคราวหลังจะไปอีกจะได้สะดวก “ฉัน...ฉันจะไปมีความลับอะไรได้ วันๆท่านประธานต้องจัดการเรื่องเป็นหมื่นๆเรื่อง ที่บริษัทยังมีงานมากมายรอให้คุณไปจัดการอยู่ ฉันจะรบกวนเวลาอันมีค่าของท่านประธานได้อย่างไรกันคะ” เมื่อถูกสุวิทย์พูดราวกับว่าเธอไม่ทำเรื่องเลาทรามต่ำช้าจนไม่อยากแพร่งพรายให้ใครรู้ได้เช่นนี้ เพ็ญจิตก็รู้สึกเดือดดาลจนหายใจหายคอไม่สะดวก “ไร้สาระ รีบขึ้นรถ” สุวิทย์ทำเพิกเฉยแล้วดันเธอให้นั่งลงที่เบาะข้างคนขับ “จอมมาร ขี้เผด็จการ” เพ็ญจิตพูดอารมณ์ฉุนจัดขณะกระแทกเข้ากับรถยนต์ตอนที่ถูกดันเข้าไปในรถ “คุณพูดว่าผมเป็นอะไรนะ?”สุวิทย์ที่นั่งอยู่บนเบาะคนขับได้ยินคำที่เพ็ญจิตพูดไม่ชัด แต่พิเคราะห์ดูก็รู้ว่าต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่นอน “ท่านประธานนี่ว่างจังเลยนะคะ ต่อให้คุณไม่ต้องไปที่บริษัท แต่ว่าชายหญิงก็ควรหลีกเลี่ยงการกระทำลับๆล่อๆ หากถูกภรรยาของท่านประธานเข้าใจผิดขึ้นมา ต่อให้ฉันไปกระโดดแม่น้ำหวงผู่ก็คงจะยังชะล้างไม่หมด” เพ็ญจิตทำปากจู๋ สุวิทย์นิ่งไปสักพักพลางมองเธออยู่ข้างๆ จากนั้นก็ยิ้มหัวเราะขึ้นอย่างมีนัยยะ”เรื่องนี้คุณไม่ต้องเป็นห่วง เธอเป็นคนใจกว้าง” “อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด พวกผู้ชายนี่ช่าง- -’มักมาก’” เพ็ญจิตพูดสองคำสุดท้ายในใจ ตอนนี้เธอยังไม่กล้าที่จะพูดออกไปต่อหน้า กลัวว่าจะโดนไล่ออกจากงานเพราะเรื่องเล็กๆนี่ หากยั่วโมโหเขาขึ้นมาล่ะก็คงไม่ง่ายเลยถ้าจะจัดการ “คุณจะอะไร จะพูดว่าผมช่างเอาอกเอาใจช่างอบอุ่นมากหรือ” สุวิทย์หัวเราะ เขาพูดต่ออย่างเป็นธรรมชาติ “หลงตัวเอง” เพ็ญจิตขบริมฝีปากและจ้องไปที่เขา ต้องเผชิญหน้ากับเจ้านายจอมเผด็จการเช่นนี้เธอเองก็จนมุมจริงๆ แล้วเหมือนกันทำได้แค่เพียงยอมให้เขาไปส่ง เธอเชื่อว่าพอถึงบ้านเขาก็น่าจะไปเองแหละ น่าเสียดายที่ความคิดของเพ็ญจิตช่างไร้เดียงสาเกินไป เธอดูถุกสุวิทย์เกินไปเสียแล้ว เขามาส่งเธอที่บ้านจริง แต่ทว่าดูเหมือนว่าสุวิทย์ยังไม่มีความคิดที่จะกลับไปทำงาน ซ้ำยังถือวิสาสะเปิดตู้เย็นตามอำเภอใจ “นี่ ท่านประธาน ดูเหมือนว่าที่นี่จะเป็นบ้านของฉันนะคะ คุณช่วย – ฮัดเช้ย-อย่าทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของได้ไหม” เพ็ญจิตทีจ้องสุวิทย์ซึ่งกำลังรื้อค้นของในตู้เย็น ด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “คนป่วยไม่ควรพูดมากขนาดนี้ รีบไปนอนพักบนเตียงเถอะ” สุวิทย์เลิกสายตาขึ้นมามองแล้วใช้มือบีบจมูกเพ็ญจิต “ท่านประธานคะ ไม่ทราบว่าพวกเราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือปล่าวคะ” เพ็ญจิตก้าวเข้าไปใกล้ๆ เพื่อสำรวจดูสุวิทย์ เธอคิดว่าหากสุวิทย์คนนี้เป็นสุวิทย์ที่ตนรู้จักก็คงดีไม่น้อย แต่ทว่านี่คงเป็นแค่ความฝันที่เห็นจะมีแต่คนโง่เชื่อก็เท่านั้น ไม่ต้อวพูดถึงพื้นเพสกุลรุนชาติ แค่มองดูด้วยตาเปล่าก็แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวแล้ว สุวิทย์เมื่อได้ยินดังนั้น มือของเขาก็ชงักเล็กน้อย ภายในใจก็รู้สึกปิติตื้นตัน หรือว่าเพ็ญจิตจะจำได้แล้ว? “เธอคิดว่าไงล่ะ?” สำหรับคำถามที่เพ็ญจิตถาม ขึ้นหลังจากสุวิทย์ระงับความตื่นเต้นได้แล้ว เขาก็ถามออกไปอย่างเรียบเฉย “ท่านประธานคะ ในเมื่อพวกเราก็ไม่ได้สนิทกัน คุณช่วยวางของในมือลงได้ไหมคะ” เมื่อได้ยินเพ็ญจิตพูดดังนั้นสีหน้าของสุวิทย์ก็เขียวคล้ำ ที่แท้แล้วเธอแค่อยากจะไล่เขาออกไปอ้อมๆนี่เอง ช่างเป็นผู้หญิงที่ใจร้ายจริงๆ หรือว่าเธอจะลืมมันไปแล้วจริงๆ? “เพ็ญจิต เธอแน่ใจนะว่าจะไม่กลับไปนอนบนเตรียงตอนนี้?” สุวิทย์ปิดตู้เย็น เดินตรงไปทางเพ็ญจิต เธอจึงก้าวถอยหลังลงรู้สึกราวกับว่ากำลังโดนขมขู่อยู่ “ท่านประธานคะ ขอบคุณสำหรับความหวังดีของท่านนะคะ ฉันสบายดีมากจริงๆ เดี๋ยวฉันจะไปนอนพักแล้ว เชิญคุณรีบกลับออกไปทำงานเถอะดีไหมคะ? ฉันไม่อยากตกเป็นประเด็นขี้ปากของชาวบ้านเขา” เพ็ญจิตพูดทัดท้านขึ้นด้วยเสียงเล็กเสียงน้อยเมื่อถอยจนถึงประตู แม้ว่าเธอจะไม่มีความจำเป็นถึงขึ้นที่จะต้องนอนพักผ่อน แต่เมื่อเจ้านายมีความกรุณาให้ ถ้าอย่างงั้นเธอก็ขอขโมยโอกาสนี้นอนพักอยู่บ้านสักตื่นก็แล้วกัน “ขนาดไม่สบายยังพยศได้ขนาดนี้ ไม่รู้จริงๆว่าเธอเป็นผู้หญิงอย่างไงกันแน่ ใครมันจะไปกล้าแต่งงานกับเธอ” เขาเฝ้าดูเพ็ญจิตเดินเข้าไปในห้อง นอนลงบนเตียงและดึงผ้ามาห่ม สุวิทย์ทำตัวราวกับ’มนุษย์ป้า’ เอะอะโวยวายแล้วก็จากไป ภายในใจของเพ็ญจิตนึกสงสัยว่าท่านประธานเป็นคนจิดใจดีเช่นนี้มาโดดยตลอด หรือ แค่ใจดีกับเธอเป็น’พิเศษ’กัน? แต่ว่าทำไมล่ะ? ครั้นเสียงประตูปิดลงดังเข้ามาจากข้างนอก สุดท้ายเพ็ญจิตก็รู้สึกสบายใจได้เสียที ไม่อย่างนั้นเธอคงยังไม่อาจวางใจได้อยู่หน่อยๆ เธอลุกขึ้นมาเดิน ’ตรวจตรา’ อยู่รอบหนึ่ง ทั้งในห้องรับแขก ห้องครัวก็ไม่พบใคร ประตูเองก็ปิดลงสนิทแล้ว เขาคงจะไปแล้วจริงๆ มาถึงตอนนี้เธอถึงจะนอนพักได้อย่างอุ่นใจ เพ็ญจิตถูกกลิ่นหอมยั่วยวนปลุกให้ตื่นขึ้น เมื่อเช้าเธอตื่นสายเพราะไม่สบายแถมยังรีบเร่งไปทำงานเลยไม่ทันจะได้กินข้าวเช้า ยามนี้เมื่อกลิ่นยั่วยวนลอยมาเตะจมูก ท้องไส้ก็ร้องจ๊อกๆขึ้นมาในทันที ลุกขึ้นจากเตียงอย่างงัวเงีย เดินตามกลิ่นหอมไปทางห้องครัว ครั้นเห็นร่างสูงใหญ่ที่อยู่ในครัวอาการง่วงเหงาหาวนอนก็หายไปในทันใด “คุณ คุณ คุณ คุณ ... ท่านประธาน? คุณออกไปแล้วไม่ใช่หรอ?” เพ็ญจิตพูดคำว่าคุณค้างอยู่นาน เมื่อสุวิทย์หันตัวกลับมา ดวงใจของเธอนั้นที่อกสั่นขวัญแขวนจึงสบายใจลง เธอคิดว่ามีขโมยจโจรที่ไหนงัดบ้านมาอยู่ในห้องครัวเสียแล้ว แต่ว่า... “คุณไปล้างหน้าล้างตาสักหน่อยก่อนเถอะ เดี๋ยวก็กินได้แล้ว” สุวิทย์แสดงท่าทางสงบนิ่งไม่ได้พูดอธิบายอะไร ตลอดห้าปีมานี้เขาชินกับการทำนั่นทำนี่ด้วยตัวคนเดียว บัดนี้ยากนักที่จะมีโอกาสได้แสดงออกต่อหน้าภรรยาที่ห่างตัวไปตั้งหลายปีเช่นนี้ แน่นอนว่าเขาต้องทำให้ดีให้งามมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อครู่ระหว่างไปซื้อกับข้าวที่ตลาดเขาเองก็ไตร่ตรองแล้วว่าถ้าหากเพ็ญจิตลืมเขาไปแล้วจริงๆก็ไม่เป็นไร อย่างมากก็แค่ตามจีบเธออีกสักครั้ง ในตอนแรกพวกเขาเดินทางลัดข้ามขั้นตอนสายใยรักนี้ไป มาชดเชยเอาตอนนี้ก็ดีเหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้นตัวเขาเองก็ไม่มีความสนใจเรื่องการอย่าอะไรนั่น “ท่าน...ท่านประธาน ฉันสามารถ... สามารถถามสักหน่อยได้ไหมคะว่าทำไม...ทำไมคุณถึง...” ลิ้นของเพ็ญจิตเหมือนกำลังถูกแมวกัดลิ้นจนพูดไม่จบประโยคดีสักที เธอมองไปยังสุวิทย์ ภายในใจก็คิดหรือว่าเจ้านายที่นี่ก็เป็นห่วงพนักงานแบบนี้ทุกคนกันนะ? “คุณเป็นคนป่วย” สุวิทย์รู้ว่าเพ็ญจิตอยากจะพูดอะไร เพราะทุกอย่างที่เธอคิดมันเขียนอยู่บนหน้าเธอหมดแล้ว แต่ว่าสำหรับภรรยาที่ปฏิกริยาเชื่องช้าคนนี้ เขาเองก็วางแผนว่าจะเสาะหาความจริงให้เร็วที่สุดตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาเลยว่าเธอจะลืมได้แม้กระทั่งการแต่งงานของตัวเอง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเขาผู้เป็นสามีคนนี้เลย “ท่านประธานคะ พวกเจ้านายที่นี่ก็ดูแลพนักงานแบบนี้ทุกคนใช่ไหมคะ?” เพ็ญจิตยังคงรับไม่ได้ ทำไมเจ้านายถึงทำตัวสนิทสนมถึงขนาดนี้ได้แถมยังมีเวลามาทำอาหารให้ลูกน้องอีก ดมๆแล้วกลิ่นหอมนี้ก็ดูเหมือนว่าจะรสชาติดีทีเดียว หรือว่าจะเป็นเพราะอย่างนี้กันนะ? “ไปล้างหน้าบ้างตาเร็วๆเข้าสิ เดี๋ยวโจ๊กเย็นก็ไม่อร่อยกันพอดี” สุวิทย์พูดขึ้นก็ตักโจ๊กใส่ออกมาในชาม “จ๊อกๆๆ...” เพ็ญจิตยังคงอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทว่าท้องไว้ก็ดีนส่งเสียงประท้วงขึ้นมา สุวิทย์เมื่อได้ยินเสียงร้องจ๊อกๆก็เลิกหน้าขึ้นมามองเธอ เพ็ญจิตจึงรีบวิ่งเข้าไปในห้องนน้ำทันทีด้วยความอาย เมื่อเพ็ญจิตกินโจ๊กเข้าไปคำแรก ดวงตาก็เปล่งประกายสุกใสชุ่มชื้นอย่างอธิบายไม่ถูก “ร้อนไปหรือ?”สุวิทย์เมื่อเห็นดวงตาชุ่มชื้นของเพ็ญจิตก็ถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ “ไม่ ไม่ใช่ มันอร่อยมาก” น้ำเสียงเพ็ญจิตโอดครวญ ขณะพูดไปก็มุดหัวตะกละตะกลามกินราวกับว่ากลัวจะถุกใครแย่งไปกินอย่างไรอย่างนั้น “ถ้างั้นก็กินเยอะๆ” ภายในใจของสุวิทย์ก็อบอุ่นใจ ตลอดหลายปีมานี้เพ็ญจิตคือคนแรกที่มีโชคได้ลิ้มรสฝีมือการทำอาหารของเขา แท้ที่แบ่งปันและความรู้สึกเมื่อได้รับคำชื่นชมจากคนอื่นเช่นนี้มันดีอย่างงี้นี่เอง สุวิทย์มองเพ็ญจิตด้วยความประหบาดใจ นี่ก็เป็นชามที่ห้าแล้วเธอยังจะกินต่ออีก ท้องไส้ของเธอจะรับไหวหรือนี่? “ฉัน... คุณอย่ามองฉันสิ ฉ..ฉันไม่ได้กินข้าวเช้า” ใบหน้าของเพ็ญจิตแดงระเรื่อ เดาว่าเขาคงเพิ่งเคยพบเคยเจอผู้หญิงเช่นนี้เป็นครั้งแรกแน่ๆ จะทำไงได้ล่ะ ใครอนุญาติให้โจ๊กอร่อยได้ขนาดนี้กัน อีกอย่างหนึ่งเขาอุตส่าห์ต้มอยู่นานขนาดนั้นหากกินไม่หมดก็ล่ะก็คงเปลืองแรงแย่ “งั้นคุณก็กินเถอะพอไม่พอยังไง ยังมีชามของผมอยู่ คุณจะกินไหมล่ะ?” มีบางสิ่งบางอย่างที่แสนอบอุ่นพองโตขึ้นภายในอกของเขา ความรู้สึกเช่นนี้ช่างดีเสียจริง มีความสุขยิ่งกว่านั่งกินข้าวคนเดียวเสียอีก ใช่แล้ว ความรู้สึกแบบนี้แหละ สิ่งนี่แหละที่เรียกว่าความสุข ความรู้สึกนี้แหละคือความสุขจริงๆ เขา...เขาเกือบจะลืมมันไปแล้ว ครั้นมองไปที่เพ็ญจิต สุวิทย์ก็ตัดสินใจว่าต่อจากนี้เขาจะต้องลิ้มรสความรู้สึกเช่นนี้อยู่เสมอให้จงได้ หลังจากกินเรียบร้อยแล้วจิตใจก็รู้สึกกระปรี้กระเป่าดีขึ้นมาไม่น้อย สุวิทย์ยังทำหน้าที่สวมบทบาทเป็นหัวหน้าครอบครัวอีก เขาปัดกวาดเช็ดถูห้องครัวจนสะอาดหมดจด เมื่อเห็นสีหน้าเพ็ญจิตดีขึ้นบ้างแล้วเขาถึงยอมจากไป “ท่านประธานคะ ขอบคุณนะคะ” เพ็ญจิตออกไปส่งสุวิทย์ที่ประตู เธอยังรู้สึกเกรงใจอยู่มาก “หากรู้สึกขอบคุณกันจริงๆ หลังจากนี้ก็อย่าเรียกผมว่าท่านประธานอีก” สุวิทย์ตอบกลับ เขาจ้องเข้าไปในดวงตาของเพ็ญจิต “ไม่เรียกว่าท่านประธาน? ถ้างั้นจะเรียกว่าอะไร?” เพ็ญจิตนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แม้ว่าเพ็ญจิตเองก็รู้สึกแปลกๆอยู่บ้างที่ต้องเรียกเขาว่าท่านประธานเวลาไม่อยู่ที่บริษัท แต่ถ้าไม่เรียกว่าท่านประธานแล้วจะให้เรียกว่าอะไร? “เธอคิดเอาเองแล้วกัน ถ้าพรุ่งนี้ยังไม่สบายอยู่ก็พักผ่อนอยู่บ้าน ไม่ต้องรีบไปทำงานที่บริษัท” สุวิทย์พูดตอบพลางยิ้มบางๆให้เพ็ญจิต “ตึกๆ... ตึกๆ” เพ็ญจิตมองสุวิทย์ที่เดินไปทางลิฟท์ด้วยความตะลึง หัวใจก็เต้นตึกๆ เต้นเสียจนหน้าของเธอแดงก่ำไปหมดแล้ว ค...ความรู้สึกแบบนี้ช่างประหลาดเหลือเกิน ซ้ำยังรู้สึกแปลกๆอีกด้วย ครั้นเห็นแผ่นหลังของสุวิทย์ลับไปแล้ว เพ็ญจิตจึงสบัดบอกกับตัวเองว่าอย่าบ้าผู้ชายไปหน่อยเลย ต่อให้ท่านประธานดีแค่ไหนเขาก็เป็นคนอื่น ยิ่งไปกว่านั้นเธอก็เป็นผู้หญิงที่มีสามีเป็นตัวเป็นตนแล้ว อีกทั้งยังเป็นคุณแม่ลูกสองอีก อย่าได้ทำผิดพลาดล้ำเส้นไปเป็นอันขาด หลังจากส่งสุวิทย์แล้ว เพ็ญจิตก็นอนไม่หลับ แค่เธอหลับตาลงก็เห็นภาพรอยยิ้มบางๆนั่นที่เขายิ้มให้ก่อนจะไป แค่เพียงนึกถึง หัวใจก็เต้นเร็วระรัวขึ้นมาทันที มือของเพ็ญจิตทาบลงบนอก ถามตัวเองว่าเธอเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร ไม่ใช่แค่ว่าเขาทำอาหารให้แค่มื้อเดียวหรอกหรือ อย่างมากวันหลังก็แค่ตอบแทนเขาสักมื้อก็พอแล้ว ทำไมถึงต้องลุกลี้ลุกลนถึงเพียงนี้ เพ็ญจิต เธออย่าได้หลงเสน่ห์ผู้ชายเป็นอันขาด เธอต้องยึดมั่นไว้ ต้องใจร่มๆเข้าไว้ หลังจากสุวิทย์กลับไปที่บริษัทเขาก็จัดการงานที่ค้างไว้เมื่อช่วงกลางวันจนเสร็จ เดิมทีคิดอยากจะไปดูเพ็ญจิตที่บ้านอีกครั้ง แต่เมื่อด้มดูนาฬิกาก็กลับเป็นเวลาถึงสี่ทุ่มกว่าแล้ว เขาจึงล้มเลิกไป แต่ทว่าก็ยังคงกังวลว่าเธออาจจะยังไม่ดีขึ้นจึงต่อสายโทรหาเธอดูเสียหน่อย เมื่อได้รับสายโทรศัพท์จากสุวิทย์ เพ็ญจิตก็นอนไม่หลับ ท่านประธานคนนี้ช่างไม่เข้าท่าเสียจริง แต่ทว่าในใจของเธอก็รู้สึกกระชุ่มกระชวยอย่างไม่คาดคิด อีกทั้งยังดูราวกับว่ากำลังตั้งตารอคอยอยู่เล็กน้อย หลังจากวางสายเธอก็รีบคลุมโปงทันที และสรุปเอาว่าเรื่องผิดปกติทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะอาการป่วย เช้าวันต่อมา เพ็ญจิตไปทำงานที่บริษัท แม้ว่าเมื่อคืนเธอจะนอนไม่ค่อยกลับ แต่วันนี้เพ็ญจิตก็ตื่นเช้าเป็นพิเศษ หลังจากที่เมื่อวานได้ผ่านการพักผ่อนมาแล้วอาการเป็นหวัดก็ดีขึ้นมาก เมื่อนึกได้ว่าเมื่อวานท่านประธานดีต่อเธอขนาดนั้น อีกทั้งดึกดื่นถึงเพียงนั้นเขายังอุตส่าห์โทรมาหาเธออีก เพ็ญจิตจึงคิดว่าตนเองควรจะทำอะไรสักอย่างเพื่อเป็นการตอบแทนที่ท่านประธาน ‘ดูแลเป็นอย่างดี’ สุวิทย์เองเมื่อตื่นนอนตอนเช้าก็อยากจะโทรถามไถ่อาการของเพ็ญจิตสักหน่อย แต่ก็กลัวว่าจะรบกวนการนอนของเธอ เขาจึงซื้ออาหารเช้าแล้วมุ่งตรงไปที่บ้านของเพ็ญจิตเองเสียเลย เคาะประตูอยู่นอนก็ไม่มีใครมาเปิด ในใจสุวิทย์ก็นึกสงสัยจึงยกสายโทรหาเพ็ญจิต “เพ็ญจิต ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน?” สุวิทย์โทรศัพท์ไปถามด้วยน้ำเสียงไม่พึงพอใจ “ท่านประธานคะ ตอนนี้ฉันอยู่ที่บริษัทแล้วค่ะ คุณมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?” เพ็ญจิตที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานเมื่อได้รับสายจากสุวิทย์ที่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงผิดปกติก็รู้สึกตกใจ “ผมบอกแล้วคุณแล้วใช่ไหมว่าให้พักผ่อนอยู่ที่บ้าน ใครอนุญาตให้คุณไปที่บริษัทกัน” สุวิทย์เอ่ยขึ้นด้วยความโมโห
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 36 เธอถึงกับลืมมันไปแล้วจริงๆ
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A