ตอนที่ 39 เพ็ญจิตถามความเห็นลูกชาย   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 39 เพ็ญจิตถามความเห็นลูกชาย
ต๭นที่ 39 เพ็ญจิตถามความเห็นลูกชาย แต่เมื่อนึกถึงลูกชายทั้งสอง นึกถึงใบหน้าทั้งสามที่คล้ายคลึงกัน เธอก็ยิ่งไม่อาจปฏิเสธความปรารถนาภายในใจได้ เริ่มรักกันใหม่ เริ่มต้นทุกอย่างใหม่ทั้งหมด และยังไม่บอกเขาเรื่องลูกชายเป็นการชั่วคราว? แต่แบบนี้จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือ? ทะเบียนสมรสยังคงอยู่ ในทางกฏหมายแล้ว ว่ากันตามจริงแล้วพวกเขาเป็นสามีภรรยากันแล้ว ดูเหมือนวว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่ได้มีความหมายใดๆเลย หรือว่าจะต้องอย่าขาดจากกันหรือ ? เวลานี้จิตใจของเพ็ญจิตมือแปดด้านไปหมด เธอไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี? เธอออกมานานถึงเพียงนี้แล้ว ยังไม่รู้เลยว่าสุวิทย์จะโทรมาบ้างหรือเปล่า ตอนนั้นเธอตกใจมากจึงรีบออกมา ไม่ว่าอะไรก็ไม่ได้นำติดตัวมาทั้งสิ้น เธอวิ่งออกมาทั้งมือเปล่าๆ ครั้งนี้เธอไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง มาถึงตอนนี้ก็อดนึกเสียใจไม่ได้นิดหน่อย นั่งอยู่บนม้านั่งยาวในสวนสาธารณะ มองผู้คนเดินสัญจรไปมา เห็นคู่รักที่โอบกอดเข้าหากัน เพ็ญจิตก็ลังเลคิดไม่ตก จะอย่าหรือจะเริ่มต้นใหม่ ก็รู้สึกว่ามันช่างบ้าบอไร้สาระเสียจริง อีกทั้งภายในใจ เพ็ญจิตยังคงทำใจยอมรับได้ยากอยู่ แม้ว่าเธอจะไม่ได้ทำเพื่อตนเองแต่หลังงจากที่เธอกลับไปแล้วก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องราวกับลูกๆว่าอย่างไรดี มองดูเวลาแล้วทางโน้นก็น่าจะใกล้ถึงเวลารุ่งสางแบ้ว ลูกๆทั้งสองก็น่าจะตื่นนอนแล้วเหมือนกัน เพ็ญจิตจึงตัดสินใจโทรถามความเห็นของลูกๆ “หม่ามิ๊ ผมคิดถึงแม่จัง แม่เลิกงานแล้วหรอครับ?” ไนยชนรับสาย แม้ว่าเขาจะเป็นทุกเด็กผู้ชายแต่ทว่าเขาค่อนข้างจะรู้ใจเลยทีเดียว “ใช่แล้วจ่ะ ไนยชน นวันธรอยู่ข้างๆหนูไหมลูก?” เสียงเพ็ญจิตสั่นเทา ไม่ว่าอย่างไรก็ตามก็ไม่สามารถให้ลูกๆรู้ได้เป็นอันขาด มิเช่นนั้นลูกๆทั้งสองคงรีบบินมาโดยไม่สนใจทุกสิ่งอย่างเป็นแน่ “นวันธร หม่ามิ๊เรียกนายน่ะ” เพ็ญจิตพูดจบก็ได้ยินเสียงไนยชนตะโกนเรียกพี่ชาย เพราะว่าทั้งสองคนเกิดห่างกันเพียงสิบกว่านาที ในส่วนของการเรียกก็จะเรียกชื่อของอีกฝ่ายอย่างตรงๆเลย “เจ้าโง่ นายกดเปิดลำโพงก็ได้แล้ว” นวันธรเดินมาและเคาะความจำให้น้องชาย “หม่ามิ๊ หม่ามิ๊จะกลับมาเมื่อไหร่ครับ? อยู่ที่นั่นสบายดีไหมครับ? เจ้านายรังแกหม่ามิ๊หรือเปล่า?” นวันธรพูดขึ้นราวกับผู้ใหญ่ตัวน้อยๆ คำพูดรู้ใจเช่นนี้ทำให้เบ้าตาของเพ็ญจิตร้อนผ่าว “หม่ามิ๊สบายดีต่ะ หม่ามิ๊แค่คิดถึงพวกหนู หม่ามิ๊ไม่ได้อยู่ข้างพวกหนู พวกหนูดูแลตัวเองดีหรือเปล่า? ได้หาเรื่องวุ่นวายมาให้ลุงเจมส์เค้าบ้างหรือเปล่าจ๊ะ?” น้ำเสียงของเพ็ญจิตแหบแห้งเล็กน้อย ไม่ว่าอย่างไรก็กลับถามออกไปไม่ได้ “หม่ามิ๊ครับ พวกเราเป็นเด็กดีมากนะครับ ไปโรงเรียนตรงเวลาทุกวัน หลังจากกลับมา ก็ยังเป็นเด็กดีช่วยลุงเจมส์ทำงานบ้านอีกนะครับ ถ้าหม่ามิ๊คิดถึงพวกเราจริงๆ ก็รีบกลับมาหาพวกเราสิครับ หรือไม่ ผมกับไนยชนไปเยี่ยมหม่ามิ๊ก็ได้นะครับ หม่ามิ๊...” “ตาฉันแล้ว ตาฉันแล้ว นายพูดเยอะแล้วนะ หม่ามิ๊ หม่ามิ๊ ผมก็เป็นเด็กดีนะ ผมยังช่วยลุงเจมส์เช็ดโต๊ะ...” เสียงถกเถียงของลูกชายทั้งสองดังลอยออกมาจากปลายสาย ทุกครั้งที่ได้ยินสิ่งเหล่านี้ในใจของเพ็ญจิตก็รู้สึกเบิกบาน รู้สึกมีความสุขมากเป็นพิเศษ สิ่งเดียวที่น่าเสียดายก็คือนับตั้งแต่เด็กๆเกิดมาจนถึงตอนนี้ ยังไม่เคยให้พวกเขาพูดคำว่าพ่อเลยสักครั้ง “นวันธร ไนยชน ลูกๆต้องการแด๊ดดี้ไหม” เพ็ญจิตถามลูกๆทั้งสองด้วยความละอายอย่างเต็มเปี่ยม “หม่ามิ๊ หม่ามี๊มีผู้ชายที่ชอบแล้วใช่ไหมครับ?” เสียงเอะอะโวยวายจากปลายสายหยุดชะงักลง และเสียงทั้งสองผสานขึ้นพร้อมเพรียงกัน “ไม่ใช่ หม่ามี๊แค่คิดว่าควรจะหาแด๊ดดี้สักคนให้พวกหนู แค่เพียงไม่รู้ว่าพวกหนูชอบแด๊ดดี้แบบไหน?” เพ็ญจิตปาดน้ำตา เอ่ยถามลูกๆทั้งสองคน “หม่ามี๊ หม่ามิ๊ไม่ต้องคิดเพื่อพวกเราหรอกครับ ขอแค่เขาดีกับหม่ามี๊ สามารถดูแลหม่ามี๊ได้ก็พอ แน่นอนว่าถ้าหากหล่อด้วยก็จะยิ่งดีขึ้นไปอีก” ไนยชนพูดตอบกลับมาทางโทรศัพท์ “หม่ามิ๊ หม่ามิ๊ ไม่ใช่ว่าหม่ามิ๊บอกว่าแด๊ดดี้ของพวกเรายังอยู่หรือครับ? ทำไมถึงยังต้องหาแด๊ดดี้คนใหม่ล่ะครับ?” “เจ้าโง่ ถ้าหากว่าแด๊ดดี้ดีกับหม่ามี๊ล่ะก็ หม่ามี๊จะคลอดพวกเราออกมาแล้วเลี้ยงพวกเราสองคนเพียงลำพังหรือ ?” ปลายสายโทรศัพท์ปรากฏเสียงเจ้าลูกชายคนเล็กกำลังดุพี่ชายดังรอดออกมา “ก็ใช่ ตั้งแต่พวกเราเกิดมาก็ยังไม่เคยเจอแด๊ดดี้เลย หม่ามิ๊ หม่ามิ๊อยู่ที่นั่นหาแด๊ดดี้ให้พวกเราสักคนสิครับ เขาอาจจะหล่อหน่อย แต่ห้ามหล่อกว่านวันธรนะครับ แล้วก็ห้ามน่ารักกว่านวันธรด้วย เหมือนกับ...” “เจ้าโง่ หม่ามิ๊ครับ ไม่ว่าหม่ามิ๊จะเลือกผู้ชายแบบไหนก็ดีทั้งนั้นแหละครับ ขอแค่อย่าโง่เหมือนกันนวันธรก็พอครับ” ไนยชนหันไปจ้องพี่ชาย เขาโทษฟ้าเบื้องบนว่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ทำไมถึงให้นวันธรเกิดก่อนเขาได้ถึงสิบกว่านาที ฮือๆๆๆต้องให้เขาเป็นพี่ชายสิถึงจะถูก “ก็ได้จ่ะ หม่ามิ๊เข้าใจแล้ว ถ้าเกิดมีผู้ชายแบบนั้นจริงๆ หม่ามิ๊จะต้องพากลับไปให้พวกหนูแสกนแน่ ถ้าพวกหนูพูดว่าโอเคก็ถึงจะโอเค” เพ็ญจิตหัวเราะ ภายในใจก็มีคำตอบแล้ว ในเมื่อลูกๆเองก็ไม่ได้สนใจขนาดนั้น แล้วทำไมเธอจะต้องเอาตัวเองเข้าไปติดอยู่กับเรื่องราวความรักเพียงแค่สามวันนั้นด้วย อารมณ์รักเพียงแค่สามวันเทียบไม่ได้กับเวลาที่สูญเสียไปถึงห้าปี ถ้าหากสุวิทย์ยังมีความรู้สึกให้เธอจริงๆ เห็นแก่ในฐานะที่เขาเป็นพ่อของเด็ก เธอจะให้โอกาสเขาอีกครั้ง ให้กาสเขาเริ่มตามจีบเธอใหม่อีกครั้ง แต่สำหรับเรื่องของลูกๆทั้งสองคน เธอยังไม่คิดว่าจะบอกเขาในตอนนี้ รอจนกว่าเธอมั่นใจในความรักของเขา ถึงเวลานั้นค่อยเซอร์ไพรซ์เขาอีกทีก็ไม่เลว หลังจากจัดการกับสภาพอารมณ์เรียบร้อย เพ็ญจิตก็ตัดสินใจกลับบ้าน ในตอนนี้ มันผ่านล่วงเลยเวลาเลิกงานมานานแล้ว ครั้นจะกลับไปที่บริษัทอีกก็คงไม่มีประโยชน์อะไร เดินเอ้อระเหยอยู่ทั่งวัน กลัดกลุ้มใจอยู่ทั้งวัน ช่างเหนื่อยเหลือเกิน กลับไปพักผ่อนที่บ้านจะดีกว่า วันพรุ่งนี้ก็ต้องกลับไปทำงานตามเดิม ต้องกลับเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริงแล้ว ณ บ้านของเพ็ญจิต สุวิทย์หมุนโทรศัพท์ที่อยู่ในมืออย่างไม่หยุดหย่อน เขามาที่นี่ตั้งแต่ตอนกลางวันแล้ว แต่ว่าเคาะประตูเท่าไหร่ก็ไม่มีคนเปิด เขาคิดว่าเพ็ญจิตคงกำลังโกรธอยู่ จึงเอาแต่โทรหาเธอแต่ก็ไม่มีใครรับสาย รออยู่นานก็ไม่มีใครเปิดประตูสักที เขาจึงเข้ามาด้วยตัวเองเสียเลย เมื่อเห็นห้องเงียบว่างเปล่า เขาถึงรู้ว่าเพ็ญจิตยังไม่ได้กลับมา ครั้นคิดอยากจะออกไปหาก็ดันไม่รู้อีกว่าเธอไปอยู่ไหน รอจนกระทั่งเวลาบ่ายสาม เขาก็เริ่มนั่งไม่ติดแล้วจึงโทรหาเพ็ญจิตอีกครั้งก็ยังคงไม่มีใครรับสาย เขาพะวงเล็กน้อย ถึงเพิ่งจะคิดได้ว่าบางทีเพ็ญจิตอาจจะลืมหยิบโทรศัพท์ไปด้วย จะว่าไปแล้วเพ็ญจิตก็เพิ่งจะกลับมา และก่อนที่เธอจะไปต่างประเทศก็อาศัยอยู่ที่เมือง B เพราะฉนั้นก็คงไม่มีเพื่อนๆอยู่ที่นี่ และยิ่งไปกว่านั้นวันนี้ก็ยังเป็นวันทำงาน เธอคงไม่ได้ไปที่อื่นหรอกมั้ง ? คิดไปคิดมา สุวิทย์ก็ต่อสายกลับไปที่บริษัทก็แน่ใจว่าเพ็ญจิตไม่ได้กลับไปที่บริษัท เขาตัดสินใจจะไม่รออีกต่อไปแล้ว หากรออยู่ว่างๆเช่นนี้มีหวังเขาคงคิดเพ้อเจ้อไปเรื่อย ดังนั้นจึงไปซื้อกับข้าวกับปลาที่ตลาดแทน เขาเดาว่าเพ็ญจิตคงไม่มีกระจิตกระใจจะทานข้าวจากข้างนอกมาแน่ๆ ไม่สู้เตรียมทำไว้ให้เสร็จสรรพระหว่างรอเธอกลับมา บางทีหากเธอกลับมาก็อาจจะไม่โกรธเขาแล้วก็เป็นได้ ครั้นเพ็ญจิตหอบหิ้วสังขารอันเหนื่อยล้าของเธอกลับมาก็เดินขึ้นไปสำรวจชั้นบนด้วยความเคยชิน เธอถึงกับนิ่งอึ้งไปในทันนใด ทำไมห้องของตัวเองถึงเปิดไฟอยู่กันล่ะ? หรือว่าจะไม่ได้ปิดตอนออกไปเมื่อเช้านี้? ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่เธอออกไปเมื่อเช้าฟ้าก็สว่างแล้ว เธอไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปิดไฟ หรือว่าจะเป็นขโมย ? แต่เธอก็เพิ่งย้ายมาได้ไม่นาน คาดว่าหากขโมยมาก็น่าจะผิดหวังถกตูดหนีไปในท้ายที่สุดอยู่ดี ช่างเถอะ ไม่คิดแล้ว แค่เดินไปดูข้างบนก็รู้แล้ว บางทีเพ็ญจิตอาจจะอยู่เมืองนอกมานานเกินไปจนบืมคิดไปว่าที่นี่นั้นอันตราย หลังจากขึ้นไปดูข้างบนก็พบว่าประตูยังล็อคอยู่ และไม่ได้มีร่องรอยอะไรทิ้งไว้ ความกังวลเมื่อครูจึงคลายตัวลง สุวิทย์เปิดประตู เขาไม่ได้สนใจไฟที่เปิดอยู่ในห้องรับแขก เดินวนไปวนมาอยู่ข้างนอกทั้งวันช่างเหนื่อยเหลือเกิน หลังจากกลับมาเธอจึงเอนกายนอนลงบนโซฟาทันที วันนี้เธอสะเทือนใจมากจึงออกมาจากบริษัท เดินพเนจรอยู่ขเงนอกทั้งวัน ประสาทรับกลิ่นของเพ็ญจิตก็ดูราวกับว่าตายด้านไปเสียแล้ว กลิ่นหอมเตะจมูกฟุ้งขจรทั่วบ้านแต่เธอกลับไม่ฉุกคิดใดๆทั้งสิ้น เอาแต่นอนหลับตาอยู่บนโซฟา สุวิทย์ที่อยู่ในครัวไม่ได้ยินเสียงเปิดประตู ครั้นเขายกอาหารออกมาถึงจะเห็นเพ็ญจิตที่นอนอยู่บนโซฟา เขาประหลาดใจเล็กน้อยพร้อมกับเกาหน้าด้วยความดีใจ “คุณภรรยา คุณกลับมาแล้วหรือ” แค่พูดขึ้นว่า “คุณภรรยา” คำเดียวก็ทำเอาเพ็ญจิตที่นอนอยู่บนโซฟาสะดุ้งตัวขึ้นมา “สุวิทย์? คุณ..คุณมาอยู่ที่บ้านฉันได้ยังไง?” เพ็ญจิตมองสุวิทย์ที่สวมผ้ากันเปื้อนอยู่ ดวงตาก็เบิกโพลงกลมโต “คุณภรรยาครับ คุณอยู่ข้างนอกทั้งวันคงจะหิวแล้ว พวกเราไปล้างไม้ล้างมือแล้วมากินข้าวกันก่อนแล้วค่อยคุยกันดีไหม”สุวิทย์ฉีกยิ้มเล็กน้อย เดินเข้ามาจูงมือเถอะเข้าไปล้างมือในห้องน้ำราวกับเด็กน้อยอย่างไรอย่างนั้น เพ็ญจิตยังคงไม่ตื่นขึ้นมาจากความตกตะลึง เธอเดินตามแรงจูงของเขาเข้าไปในห้องน้ำ จนกระทั่งน้ำกระทบเข้ากับฝ่ามือเธอถึงจะคืนสติขึ้นมาได้ “สุวิทย์ คุณมาอยู่ที่บ้านฉันได้ยังไง?” เพ็ญจิตชักมือกลับอย่างเต็มแรง เธอจ้องไปยังสุวิทย์ที่ยิ้มแฉ่งหน้าบ้านอยู่ “ผมเป็นห่วงคุณก็เลยมาหา แต่ว่าโทรเท่าไหร่ก็ไม่มีใครรับ เคาะประตูก็ไม่มีใครเปิด ผมเป็นห่วงก็เลยหาคนมาสะเดาะกลอนให้” สุวิทย์เงียบพักครู่นึง แล้วอธิบายออกมาอย่างละเอียด ในเวลานี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตามก็ห้ามให้เธอรู้เด็ดขาดว่าเขาขโมยกุญแจมาปั๊มไว้ มิเช่นนั้นคงจบไม่สวยแน่นอน “ใครอรุญาตให้คุณเข้ามาในบ้านฉัน ? ใครให้คุณทำอะไรตามใจชอบโดยไม่ได้รับอนุญาติเช่นนี้? คุณไปเถอะ...” เพ็ญจิตชี้ไปที่ประตู พยายามกลั้นน้ำตาและไล่ให้สุวิทย์ออกไป “เพ็ญจิต ผมรู้ว่าผมผิด ผมควรจะบอกคุณตั้งแต่ตอนที่ผมจำคุณได้ แต่ว่าเพ็ญจิต ก่อนที่คุณจะคาดโทษผม คุณช่วนฟังผมอธิบายหน่อยได้ไหม” สุวิทย์ไม่เคยเห็นเพ็ญจิตโมโหร้อนเป็นไฟมาก่อน นี่เป็นครั้งแรก ใบหน้าเคร่งขึมปราศจากรอยยิ้มนั้นทำให้เขากังวลใจมาก “สุวิทย์ ไม่มีอะไรต้องอธิบายทั้งนั้น จริงๆแล้วมันก็ผ่านมาตั้งห้าปีแล้ว เรื่องการแต่งงานของเราหากว่ากันตามเนื้อความแล้วก็ไม่มีความหมายใดๆอยู๋อีกแล้ว คุณสามียื่นคำร้องขอถอดถอนสถานะสมรสของเราได้” สิ่งที่เพ็ญจิตพูดในเวลานี้ เป็นการตัดสินใจทั้งสองอย่างที่เธอคิดตั้งแต่ก่อนจะกลับมา ประการหลักก็เพื่อที่จำตำหนิที่สุวิทย์เข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ อีกทั้งยังตำหนิเรื่องที่เปิดกลอนประตูบ้านของเธออีกด้วย ถ้าหากไม่ได้เห็นแก่ “ความเป็นสามีภรรยา” และความเป็นเจ้านายลูกน้องแล้วล่ะก็ เธอคงแจ้งความไปแล้ว ตอนนี้ก็นับว่าเธอยังเห็นแก่หน้าของสุวิทย์อยู่มาก “เพ็ญจิต ผมไม่มีทางยกเลิกสถานะสมรสของพวกเราเด็ดขาด ต่อให้จะผ่านไปแล้วห้าปี แต่ตลอดห้าปีมานี้ ผมยังคงจำสถานะสมรสของตัวเองได้เสมอ และไม่เคยทำเรื่องใดๆที่เป็นภัยต่อความสัมพันธ์เราเลย อันที่จริงแล้ว หลังจากที่หายตัวไป ผมตามหาคุณมาตลอด คุณอย่าถือเอาเรื่องวันนี้มาตัดสินความผิดผมไปตลอดชีวิตเลยนะ” สุวิทย์พูดด้วยด้วยความสะเทือนใจเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพยายามทำมาทั้งหมด เพ็ญจิตจะไม่แยแสเลยสักนิด “แต่ว่าวันนี้คุณทำผิดฐานบุกรุกเข้ามาในยามวิกาลจริง ฉันมั่นใจว่าคุณก็คงจะรู้ตัวว่าคุณทำผิดกฏหมาย” เมื่อเห็นสุวิทย์เป็นดังนั้น เพ็ญจิตกลับยิ่งเย็นชามากขึ้น เธอซับผ้าขนหนูไปก็พูดไป “ใช่ ผมผิดไปแล้ว วันนี้ตั้งแต่คุณออกไปผมก็หาคุณไม่เจอ โทรไปก็ไม่รับ ผมเป็นห่วง ” เมื่อเห็นน้ำเสียงของเพ็ญจิตดูนุ่มนววลขึ้น สุวิทย์ก็เริ่มคลายความกังวลลง เขาจับแขนเพ็ญจิตพลางอธิบายให้เธอฟัง
已经是最新一章了
加载中