ตอนที่ 52 การประกาศตามจีบของอรรถพล
1/
ตอนที่ 52 การประกาศตามจีบของอรรถพล
OMG!สุ่มได้สามีคนหนึ่ง
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 52 การประกาศตามจีบของอรรถพล
ตนที่ 52 การประกาศตามจีบของอรรถพล “ฮ่าๆ ป้าเข้าใจแล้ว นายวางใจเถอะ ป้าหน่ะเป็นคนเข้าใจอะไรง่าย ขอแค่ความรักของพวกเธอของทั้งสองราบรื่น ป้าก็ไม่มีปัญหาใดๆ...” คุณวาสนายิ้มกระหยิ่มทำท่าทางเข้าอกเข้าใจ ดวงตาทั้งสองข้างหยุดค้างอยู่ที่ปสันน์ จ้องจนเขาขุนลุกซู่เป็นหนังไก่ เส้นทางการไปโรงแรมในครั้งนี้ แหกไฟแดงมากี่ครั้งแล้วยังไม่รู้ตัวเลย และภายในรถอีกคันหนึ่ง เพ็ญจิตจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวกระอักกระอ่วนยิ่งกว่าปสันน์เสียอีก เดิมทีเธออยากจะนั่งรถของปสันน์ แต่ว่ามีคุณแม่อยู่จึงไม่อาจแสดงออกได้อย่างโจ่งแจ้งได้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเธอจะขึ้นมาบนรถของพี่ชายได้ คุณแม่กลับลงจากรถย์ไปนั่งรถปสันน์ได้ เพ็ญจิตลงรถย์มาแล้วยังรู้สึกอึดอัดอยู่ ในตอนที่นั่งอยู่ ทั้งเนื้อทั้งตัวเธอกระสับกระส่ายไม่เป็นตัวของตัวเอง “เพ็ญจิต พี่ขอโทษ” ก่อนรถจะออกตัว อรรถพลถึงกับพูดขอโทษเพ็ญจิต แม่ว่าคำนี้จะมาสายเกินไปถึงห้าปี แต่พูดออกไปก็ดีเสียกว่าไม่พูด ทว่าเพ็ญจิตเอาแต่ปิดปากเงียบฉี่ ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากพูด แต่เพราะไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไรดี เมื่อห้าปีก่อนที่พี่ชายบีบบังคับจะจูบเธอมัน เกินไปจริงๆ แต่ตอนเธอก็ประทับฝ่ามือให้เขาไปฉาดหนึ่งแล้ว เธอเองก็มีส่วนผิด ทว่าครั้งนี้หากเธอยอมรับคำขอโทษของพี่ ทั้งสองคนจะยิ่งอึดอัดต่อกันมากกว่าเดิมเข้าไปอีก “เพ็ญจิต เธอย่ากับผู้ชายคนนั้นแล้วหรือยัง?” เมื่อเห็นเพ็ญจิตไม่ยอมพูดจา อรรถพลจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุย “ยังค่ะ ฉันอยู่อิตาลีมาตลอดห้าปี” ครั้งนี้เพ็ญจิตยอมตอบ เธอพูดเข่นนี้ ก็เพื่ออยากจะเตือนสติพี่ชาย ไม่ให้พูดเรื่องของเธออีก คิดไม่ถึงว่าอรรถพลกลับเข้าใจตีความไปผิดเพี้ยนเสียได้ “ถ้างั้นเธอกลับมาครั้งนี้ก็เพื่อที่จะตามหาเขาแล้วทำเรื่องหย่าสินะ เรื่องนี้มอบให้พี่จัดการก็ได้แล้ว พี่ต้องลากคอมันออกมาได้แน่ เพ็ญจิต พี่รู้ว่าเมื่อห้าปีก่อนพี่บุ่มบ่ามเกินไป นับจากนี้เป็นต้นไป พี่จะเริ่มต้นจีบเธออย่างเป็นทางการ” “พี่คะ พี่เลิกล้อฉันเล่นสักทีเถอะค่ะ พวกเราเป็นพี่น้องกัน” ครั้งนี้เพ็ญจิตไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อรรถพลได้ล็อคประตูรถไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เขาเพียงอยากให้เพ็ญจิตได้เผชิญกับปัญหานี้อย่างจริงจังสักที“เพ็ญจิต พวกเราไม่มีสายสัมพันธ์กันทางสายเลือด ตลอดห้าปีมานี้ พี่รอเธอมาตลอด” อรรถพลกลับไปได้เป็นเดือดเป็นร้อนเพราะคำพูดของเพ็ญจิต แต่กลับพูดขึ้นอย่างสงบนิ่งเย็นชา “พี่คะ ฉันมีสามีแล้ว” ก่อนที่จะกลับมา แม้เพ็ญจิตจะไม่ได้เตรียมใจมาก่อน แต่ก็คิดไม่ถึงว่าพี่ชายจะกล้าพูดตรงไปตรงมาได้ขนาดนี้ “เพ็ญจิต เธอสามารถหาเหตุผลใดๆมาพูดก็ได้ แต่ห้ามใช้ข้ออ้างนี้เด็ดขาด เธออยู่เมืองนอกเมืองนามานานห้าปีนี้ ต่อให้พวกเธอจะเคยจดทะเบียนกัน แต่ก็เป็นแค่กระดาษแผ่นเดียวเท่านั้นแหละ ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนแรกเธอก็แค่ไม่ลงรอยกับแม่ก็เท่านั้นเอง การแต่งงานนั่นนับว่าไม่มีค่าอะไรหรอก” “พี่คะ แม้ว่าฉันกับสุวิทย์แค่รู้จักก็แต่งงานกันแล้ว แต่พวกเราจริงจังนะคะ ภายในใจของฉันเขาคือสามี พี่คะ พี่รีบๆขับรถเถอะค่ะ อีกเดี๋ยวพ้อกับแม่คงเป็นกังวลใจ” เพ็ญจิตรู้สึกว่าอากาศภายในรถเบาบาง ถ้าหากยังขืนไม่ขับรถต่อ เกรงว่าเธอคงได้เป็นลมเพราะขาดอากาศหายใจเป็นแน่ “ก็ได้ พี่ยังมีคำถามสุดท้ายอีกหนึ่งคำถาม ในปีนั้นที่เธอจากไปเธอกำลังตั้งท้องใช่ไหม? เด็กคนนั้น...เด็กคนนั้น เธอคลอดออกมาแล้วหรือ?” อรรถพลสูดหายใจเข้าลึก เขาไม่เคยลืมว่าตอนนั้นเพ็ญจิตอุ้มท้องจากไป ห้าปีมาแล้ว หากเธอคลอดลูกออกมาก็คงอายุราวๆ สี่ขวบกว่าละมั้ง “พี่คะ ฉันหิวแล้ว” เพ็ญจิตปฏิเสธที่จะตอบคำถามข้อนี้ ประการแรกก็เพราะเธอไม่อยากพูดโกหก ประการที่สอง หากมีคนรู้เรื่องนี้มากเท่าใด โอกาสที่สุวิทย์จะรู้เรื่องนี้ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น อรรถพลเห็นเพ็ญจิตชักสีหน้า ท่าทางแบบนั้นเห็นได้ชัดเลยว่าเธอไม่อยากตอบคำถามใดๆ ยามนี้ถึงได้ยอมขับรถต่ออยากไร้ทางเลือก เมื่อรถเคลื่อนตัวออก เพ็ญจิตก็เอนกายพิงด้านหลัง หลับตาแสร้งทำเป็นหลับ อรรถพลรู้ดีแก่ใจว่าเพ็ญจิตไม่มีทางหลับลงแน่ๆ แต่ก็ไม่ได้เรียกเธอ ซ้ำยังเปิดแอร์ให้อีก ทว่าเพ็ญจิตรู้สึกแน่นอกมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ทั้งร่างไม่รู้เนื้อรุ้ตัว โชคดีที่ระยะทางไปโรงแรมไม่ไกลมากนัก มิเช่นนั้นเกรงว่าเพ็ญจิตคงจะเป็นลมสลบเหมือดไปจริงๆ ณ ลานจอดรถของโรงแรม เมื่ออรรถพลจอดรถสนิท เพ็ญจิตก็รีบพุ่งตัวลงราวกับหนีเอาชีวิตรอด “เพ็ญจิต ในที่สุดพวกเธอกมาถึงกันสักที ผมนึกว่าคุณเกิดเรื่องงอะไรระหว่างทางซะอีก” ปสันน์ที่ยืนรออยู่ตรงประตูทางเข้าของโรงแรมครั้นเห็นเพ็ญจิตเดินมา ก็โล่งใจขึ้นมาทันใด แต่กลับไม่ได้สังเกตุเห็นอาการวิ่งหืดหอบราวกับหนีผีมาของเธอแต่อย่างใด “ปสันน์ ทำไมคุณยังไม่เข้าไปอีก แม่ฉันล่ะ?” เมื่อเพ็ญจิตเห็นปสันน์ยืมอยู่ข้างนอกเพียงลำพัง ก็มองหาไปทั่ว เอ่ยถามขึ้นด้วยความฉงน “อย่าได้พูดถึงเชียวนะ สายตาที่คุณป้ามองผมนั้นเหมือนกับสายตาที่แม่ยายมองลูกเขยไม่มีผิด ผมทนนั่งอยู่ไม่ไหว เลยหาข้ออ้างบอกว่าออกมารอคุณ” ปสันน์ถอนหายใจ “อ่อ แม่ฉันถามอะไรคุณบ้างหล่ะ?” เพ็ญจิตจ้องปสันน์ด้วยความประหลาดใจ ในขณะเดียวกันก็ปิ๊งไอเดียแจ๋วๆขึ้นมาในหัว “ไม่มีอะไร ก็แค่ถามคำถามพื้นฐานทั่วไปนิดหน่อย สมาชิกในครอบครัวเอย เงินเดือนเอย อายุเอย เคยมีแฟนมาแล้วกี่คน...” “เพ็ญจิต ผู้ชายคนนี้...” อรรถพลที่ลงจากรถตามมาติดๆเมื่อเห็นเพ็ญจิตยืนคุยกับผู้ชายอยู่หน้าโรงแรม จึงสำเหนียกนึกขึ้นมาได้ปสันน์นี้มาแต่ใด“พี่คะ เมื่อกี้เอาแต่พูดคุยเลยลืมแนะนำให้รู้จัก นี่คือปสันน์ เป็นแฟนของหนู” จู่ๆเพ็ญจิตก็ยกมือคล้องเข้าไปในแขนของปสันน์ พลางพูดประกาศ “ห๊ะ !” แฟนของหนูสามคำนี้ทำให้ปสันน์ตกใจแบบสุดขีด ในตอนนั้นที่เปล่งเสียงร้องตกใจออกมา เสียงตกใจของเขานี้ก็เท่ากับว่าเพ็ญจิตกำลังเล่นแง่อยู่ “พวกเราเข้าข้างในกันเถอะ” เพ็ญจิตคิดไม่ถึงเลยว่าปสันน์จะไม่มีพรสวรรค์ในการเล่นละครเลยสักนิด จึงทำได้เพียงเดินจูงมือเขาเข้าไปข้างใน “เพ็ญจิต คุณทำอะไรเนี่ย? หรือว่า หรือว่าครอบครัวคุณเห็นผมเป็น....ไม่ถูก เมื่อกี้คุณ...” ปสันน์พูดไปจู่ๆก็กลับรู้สึกเหมือนทำอะไรผิดไปแล้ว เมื่ออรรถพลเดินตามมาจากด้านหลัง เขาก็รีบลากเพ็ญจิตเข้าลิฟท์ และรีบปิดประตูไม่รีรอให้อรรถพลมาถึง อรรถพลเมื่อใกล้จะลับสายตา “รอก่อน” “เพ็ญจิต บ้านคุณมีเรื่องอะไรกันเนี่ย? นั่นพี่ชายคุณใช่ไหม? ทำไม...” “พวกเราเป็นแค่พี่ร้องกัน ไม่มีเรื่องอื่น--” เพ็ญจิตกลัวว่าปสันน์จะเดาออก จึงรีบกุลีกุจออธิบาย แต่เมื่อปริปากออก ก็ตระหนักได้ว่าตนได้หลุดความลับออกมาแล้ว จึงรีบเอามือปิดปากทันควัน ปสันน์เห็นดังนั้น ก็รู้ได้ทันทีว่าคนบ้านนี้ผิดปกติจริงๆด้วย แต่ด้วยสีหน้าท่าทางนั้นของเพ็ญจิต เขาจึงไม่อาจถามขึ้นอีก เลยเปลี่ยนหัวสนทนาแทน “คุณไปเมืองนอกตั้งหลายปีไม่เคยกลับบ้านเลยหรอ?” “อือ ปสันน์ ถ้าอีกเดี๋ยวพ่อกับแม่ถามขึ้นมา คุณจะช่วยเล่นละครว่าเป็นแฟนฉันไปตามน้ำหน่อยได้ไหม?” เพ็ญจิตก้มหัวลงเล็กน้อย แม้ว่าเมื่อกี้ปสันน์จะเสียท่าไปแล้ว แต่พ่อกับแม่ก็คงยังไม่ยอมปล่อยผ่านไป “หื๊ม ! ไม่ใช่ว่าคุณกับบอสดีกันแล้วหรอกหรอ? ทำไมถึงไม่ยอมพูดถึงบอสล่ะ ฐานะของบอสกับคุณเหมาะสมกันเสียยิ่งว่าอีก อีกอย่างฐานะทางคุณออกจะค่อนข้าง...” “ขอร้องล่ะ คุณอย่าถามอีกเลยว่าทำไม หากมีข้อสงสัย กลับไปแล้วฉันค่อยบอกคุณ” เพ็ญจิตกัดฟันตัดสินใจจะเล่นละครตบตาไปอีกสักสองสามวัน พ่อกับแม่น่ะพูดง่ายหรอก แต่ตอนนี้สิ่งที่เธอกลับมากที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพี่ “โอเค หวังว่าบอสจะไม่หึงมั่วๆซั่วๆนะ แต่ พอกลับไปแล้วคุณต้องเล่าให้ผมฟังนะ” ก่อนจะออกจากลิฟท์ ก็นับว่าปสันน์ยินยอมตกปากรับคำ ในห้องพิเศษ มองท่าแล้วผู้เป็นพ่อจะพอมีเหตุมีผลยิ่งกว่าผู้เป็นภรรยาและลูกชาย คุณอุดมมิได้ตื่นเต้นร้อนรนเหมือนภรรยา หลังจากสวมกอดกับเพ็ญจิตเสร็จก็สอดส่องสังเหตุปสันน์ “พ่อคะ นี่คือปสันน์ค่ะ ฟ...แฟนของหนู” เมื่อเห็นคุณพ่อหันไปสำรวจปสันน์ เพ็ญจิตจึงไม่อาจไม่แนะนำให้รู้จักได้ “คุณลุงครับ สวัสดีครับ คุณเรียกผมว่าปสันน์ก็ได้ครับ” ปสันน์ยื่นมือออกอย่างใจกว้าง มิได้อึ้งกิมกี่เหมือนเมื่อก่อน เมื่อปสันน์เดินเข้ามาก็ทันได้ยินตอนเพ็ญจิตแนะนำตัวปสันน์พอดี แต่เขาหลับไม่ได้แสดงตัว เพียงแต่ยืนสอดส่องปสันน์อยู่ก็เท่านั้น แค่เพียงอาหารกลางวันมื้อเดียว กูกินกันตั้งสองชั่วโมงกว่าจะอิ่ม สามารถเรียกได้ว่าอาหารมื้อนี้เป็นมื้อที่ยากลำบากมากที่สุดนับตั้งแต่ปสันน์เกิดมาเลย ตลอดสองชั่วโมง เขาแทบจะไม่ได้กินอะไร นอกจากการคอยตอบคำถามของคุณวาสนาไม่ยอมหยุดแล้วยังต้องคอยรับมือกับสายตาของอรรถพล ผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งสองท่านนี้ยังพอรับมือได้ดีอยู่ แต่กับนายอรรถพลคนนี้นี่ทำให้เขาทุกข์ใจเกินไป แต่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้กินข้าว แต่ก็เข้าใจเรื่องราวไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่องนายอรรถพลคนนี้ แม้ว่าจะอยู่กันคนละสายงาน แต่สำหรับท่านประธานอรรถพลที่ยังหนุ่มยังแน่นคนนี้ เขาก็พอจะรู้จักอยู่บ้างว่าก่อนที่อรรถพลจะกลับจากเมืองนอกมารับช่วงกิจการของครอบครัวต่อ ก็พอจะมีชื่อเสียงที่เมืองนอก หลังจากกลับมารับช่วงบริษัทต่อ ก็ดำเนินการปฏิรูปได้อย่างเฉียบขาด ในฐานะทายาทรุ่นที่สองของกิจการ นับว่าเป็นคนที่หาตัวจับได้ยากพอควร ธุรกิจด้านอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในวันนี้เติบโตก้าวกระโดดจนเจริญรุ่งเรือง แต่วิสัยทัศน์ของเขายังคงก้างไกลไม่เหมือนใคร ถึงกับสร้างหมู่บ้านเพื่อการพักผ่อนขึ้นมา แตกต่างกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งอื่น ที่พอสร้างบ้านมาแล้วก็ขายทอดตลาด บ้านของเขานั้นมีไว้แค่ให้เช่า แต่ทว่ากลับได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แค่เพียงเพราะหมู่บ้านพักผ่อนของเขานั้นมีเอกลักษณ์โดดเด่นเป็นพิเศษ พอๆทุกปลายสัปดาห์ก็ขาดตลาดทุกที ในยามบ่าย อรรถพลไม่ได้ทำงาน คุณอุดมก็ไปซื้อกับข้าวกับปลาเป็นเพื่อนคุณวาสนาที่ตลาด อรรถพลก็เลยพาเพ็ญจิตและปสันน์กลับบ้าน เมื่อกลับถึงบ้าน อรรถพลก็สวมวิญญาณผู้เป็นพี่ สั่งการเพ็ญจิตด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เพ็ญจิต ตามพี่มาที่ห้องหนังสือ พี่มีเรื่องอยากจะถามเธอหน่อย” “พี่คะ ฉันเหนื่อยแล้ว หากมีเรื่องอะไรค่อยคุยกันพรุ่งนี้ โอเคไหมคะ?” เพ็ญจิตตัดสินใจเดินกลับห้องไปพักผ่อนเพื่อที่จะหลักหนีอรรถพล “เธอแร่ใจนะว่าจะไม่หายตัวไปอย่างเมื่อห้าปีที่แล้ว?” อรรถพลจ้องเพ็ญจิต แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าผู้ชายคนนั้นกับเพ็ญจิตไม่ได้มีสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน แต่เขาก็ไม่สบายใจเวลาเห็นปสันน์อยู่ดี เพ็ญจิตกัดริมฝีปาก หันไปพูดกับปสันน์ “ปสันน์ ถ้าคุณเหนื่อยก็ไปพักก่อนเลย น้าจิลคะ รบกวนช่วยพาปสันน์ไปที่ห้องพักของแขกด้วยนะคะ” “โอเค ลูกพี่ วันนี้เพ็ญจิตลุกขึ้นมาตั้งแต่เช้า บวกกับนั่งรถมาตั้งหลายชั่วโมง คงจะเหนื่อยมากนะครับ พวกคุณพี่น้องมีอะไรจะคุยกัน ก็พยายามสรุปให้สั้นๆ เถอะดีไหมครับ?” ปสันน์ผงกหัว หันไปพูดกับอรรถพล เขาเล็งเห็นปัญหาระหว่างอรรถพลและเพ็ญจิต แต่ว่าอย่างไรคนเขาก็เป็นพี่เป็นน้องกัน เขาเองก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ เพียงแต่เพราะคำกำชับสั่งการของสุวิทย์ เขาจึงพยายามทำให้ดีที่สุด “แฟนปลอมๆคนนี้ของเธอรู้งานดีจริงๆ นายคงไม่รู้สินะว่าเพ็ญจิตเคยแต่งงานแล้วเมื่อห้าปีก่อน” อรรถพลแสยะมุมปาก จงใจพูดส่อเสียดอยู่หน่อยๆ ปสันน์ถึงกับตกตะลึง เมื่อหันไปเห็นท่าทางของเพ็ญจิต ดูท่าแล้วคงไม่ใช่เรื่องโกหก ทว่าตกใจไปก็เท่านั้น เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะเป็นคนที่ต้องมานั่งวิตกกังวล ดังนั้นจึงตอบกลับไปอย่างไม่เกรงใจ : “ผมรู้ว่ามีพี่ชายหลายคนที่หวงน้องสาว แต่ในเมื่อเพ็ญจิตแต่งงานแล้ว คุณในฐานะแค่พี่ชายคนหนึ่งเป็นทุกข์เป็นร้อนมากเกินไปหรือเปล่า” “ปสันน์ คุณไปพักผ่อนเถอะ พวกเราพี่น้องไม่ได้เจอกันมาห้าปีแล้ว ฉันมีบางอย่างอยากจะคุยกับพี่หน่อย” เพ็ญจิตพูดไปก็พลางก้าวเท้าลงบันไดไปรออรรถพลที่ห้องหนังสือก่อน
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 52 การประกาศตามจีบของอรรถพล
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A