ตอนที่ 53 อรรถพลรายงานสถานการณ์กับสุวิทย์   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 53 อรรถพลรายงานสถานการณ์กับสุวิทย์
ต๭นที่ 53 อรรถพลรายงานสถานการณ์กับสุวิทย์ หลังจากเพ็ญจิตไปถึงที่ห้องหนังสือ ก็รออยู่พักหนึ่ง อรรถพลถึงจะลงมา “เพ็ญจิต เธอเกลียดพี่ขนาดนี้เลยหรอ?” อรรถพลปิดประตูห้อง เอ่ยขึ้นด้วยความเจ็บปวด “พี่เป็นพี่ของฉัน” เพ็ญจิตมิได้ตอบคำถาม แต่กลับพูดเน้นย้ำแทน “ใช่ พี่เป็นพี่ชายของเธอ เป็นพี่ชายของเธอมาถึงยี่สิบสองปี แต่พวกเราไม่มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือดเลย เพ็ญจิต ตอนที่ตัวตนที่แท้จริวของเธอยังไม่ถูกเปิดเผย เธอไม่เคยทำกับพี่เช่นนี้มาก่อน” อรรถพลคิดอยากจะเดินเข้าไปใกล้อีก แต่เพ็ญจิตกลับเดินไปอีกทางหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าอยากจะรักษาระยะห่าง “ขอโทษค่ะ เมื่อห้าปีก่อนเป็นฉันเองที่ผิด พี่ให้อภัยฉันเถอะนะคะ” เพ็ญจิตก้มหัวพูด “เพ็ญจิต เธอก็รู้ว่าที่ฉันต้องการไม่ใช่สิ่งนี้ ประธานบริษัทโอก้ากรุ๊ปก็คือไอ่สุวิทย์นั่นใช่ไหม?” อรรถพลนั่ง ลงจ้องเพ็ญจิต และเอ่ยขึ้น เขารู้ตัวตนที่แท้จริงของปสันน์แล้วและก็รู้ด้วยว่าทำไมนายปสันน์นี่ถึงปรากฏตัวออกมาได้ ยิ่งรู้คำตอบมากเท่าใด เขาก็ยิ่งกระสับกระส่ายมากขึ้นเท่านั้น ความรักของพวกเขาตลอดยี่สิบกว่าปี หรือว่าจะสู้ไม่ได้กับความรักฉาบฉวยแค่สามวันเลยหรือ? ไอ้สุวิทย์ ผู้ชายคนนั้นกับเพ็ญจิตรู้จักมักใคร่กันแค่สามวัน เพ็ญจิตรักเขาจริงหรือ? หรือแค่เป็นเพราะ –ลูก เมื่อห้าปีก่อนที่เพ็ญจิตอุ้มท้องเด็กคนนั้นจะคลอดออกมาแล้วหรือยังนะ ? “พี่คะ ฉันกับเขาเป็นสามีภรรยาที่จดทะเบียนกันถูกต้องตามกฏหมาย” เพ็ญจิตหมดหนทางที่จะปฏิเสธ แม้ว่าโลกใบนี้จะกว้างใหญ่ไพศาล แต่ในโลกธุรกิจกลับไม่ได้กว้างขนาดนั้น ในเมื่อพี่ก็ปริปากพูดออกมาแล้ว ถ้างั้นเธอคงไม่มีหนทางที่จะปิดบังได้อีกต่อไป และไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องปิดบังแล้ว “ตลอดห้าปีมานี้ พวกเธอได้ข้องเกี่ยกันบ้างหรือเปล่า?” อรรถพลกำหมัดแน่น หากเป็นเช่นนี้จริง ก่อนอื่นเลยเขาคงไม่อาจยอมรับความรู้สึกนี้ได้ “ไม่อ่ะ ฉันได้คบใครตลอดห้าปีเลย” อรรถพลแผดเสียงด้วยความเจ็บปวด : “แต่เธอกลับมาก็เพื่อตามหาเขา เธอไม่ติดต่อกระทั่งครอบครัวก็พุ่งไปหาเขาแล้ว หรือว่าเธอเห็นผู้ชายที่คบกันแค่สามวันสำคัญกว่าครอบครัว ?” “ถ้าฉันบอกว่าเป็นแค่เรื่องบังเอิญ พี่จะเชื่อไหม? ตอนที่ฉันกลับมา ฉันแค่คิดว่าอยากจะหางาน หาที่อยู่ที่อาศัยให้เรียบร้อย คิดไม่ถึงว่าจะเข้าไปทำงานที่บริษัทของเขา” เมื่อรู้ว่าพี่ชายโกรธ เพ็ญจิตก็ไม่คิดจะปิดบังอำพรางอีก จึงสารภาพไปตามความจริง “เป็นแค่เรื่องบังเอิญจริงๆหรอ? ถ้างั้นเด็กคนนั้นเธอคลอดออกมาแล้วใช่ไหม?” อรรถพลมองเพ็ญจิตด้ว ความรู้สึกทั้งรักทั้งเกลียด ตลอดห้าปีมานี้ เรื่องการตั้งท้องของเพ็ญจิตมันคอยหลอกหลอนเขาอยู่เสมอ ตลอดห้าปี หลายครั้งหลายคราที่เข้าถูกฝันร้ายนี้ปลุกตื่นขึ้นกลางคัน เขามักจะฝันเห็นเพ็ญจิตพาลูกน้อยมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าอยู่เสมอ การที่เพ็ญจิตเงียบไปทำให้เขารู้คำตอบ อรรถพลเอ่ยถามขึ้นด้วยเสียงต่ำ “เขารู้แล้วหรือยัง ?” เพ็ญจิตเงียบอีกครั้ง ผ่านไปสักพักถึงจะยอมพูด “ฉันยังคิดไม่ออกว่าจะบอกเขาดีไหม” อรรถพลเงียบไปครู่นึง แล้วก็หลุดขำออกมาเสียงดัง “ฮ่าๆๆๆ....” ในฐานะที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน เขาสามารถนึกออกว่าหากสักวันหนึ่งสุวิทย์มารู้เรื่องนี้เข้าละก็จะมีท่าทีอย่างไร แต่ว่า....จู่ๆเขาก้าวเดิน คว้าจับไหล่ทั้งสองข้างออกเพ็ญจิต แล้วกล่าวขึ้น : “เธอกลับมาเพื่อหาพ่อให้เด็ก?” เพ็ญจิตมิได้ปฏิเสธ แม้ว่าจนถึงตอนนี้ เธอยังคงคิดว่า ลูกของเธอยังเล็กนัก พวกเขาต้องการครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ ผู้ชายที่ดีแค่ไหน ก็สู้พ่อแท้ๆของตนไม่ได้ “ลูกต้องการพ่อ” อรรถพลรีบพูด : “ฉันทำได้ เพ็ญจิต ฉันรู้งานยิ่งกว่าเขา หลายปีมานี้ ฉันนึกเป็นห่วงพวกเธอแม่ลูกอยู่ตลอด ให้โอกาสฉันสักครั้งเถอะนะ ฉันจะพิสูจน์ให้เธอเห็นว่าฉันเหมาะสมกับเธอ เหมาะสมกับเด็กมากกว่าเขา” เมื่อเห็นเพ็ญจิตไม่ยอมตอบ อรรถพลก็ยิ่งจับแน่นยิ่งกว่าเดิม แค้นจนแขนของเพ็ญจิตปวดร้าวไปหมดแล้ว “พี่คะ พี่ทำให้ฉันเจ็บนะ ตอนนี้ฉันยังไม่อยากพูดเรื่องนี้ ฉันกลับมาอยู่แค่ไม่กี่วัน สองสามวันผ่านไปก็ต้อง กลับไปทำงานเหมือนเดิม” เพ็ญจิตอยากจะผลักไสอรรถพล แต่มือทั้งสองข้างเขานั้นจับไว้แน่นเกินไป เมื่ออรรถพลเห็นเพ็ญจิตร้องด้วยความเจ็บปสด จึงรีบคลายมืออกในทันทีและกล่าวขอโทษขอโพยไม่ยอมหยุด : “พี่ขอโทษๆ พี่ไม่ได้ตั้งใจ พี่แค่กังวลมากเกินไป เพ็ญจิต เธอไม่ควร-ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่านะ” “พี่คะ พี่อย่าเป็นแบบนี้ได้ไหม? ในใจของฉันพวกเราจะเป็นพี่น้องกันตลอดไป ส่วนเรื่องเมื่อห้าปีที่แล้ว ฉันก็ไม่คิดว่าเป็นความผิดพลาด ฉันไม่เคยนึกเสียใจ” เมื่อเพ็ญจิตได้รับอิสระ ก็รับนั่งลงบนโซฟาที่อยู่ข้างๆ และพูดด้วยเสียงเคร่งขรึมจริงจัง “ก็ได้ เพ็ญจิต หากเธอยังเห็นว่าฉันเป็นพี่ชายอยู่ ก็ฟังที่ฉันพูดสักประโยคเถอะ ห้ามให้สุวิทย์รู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของเด็กเด็ดขาด ต่อให้เธอไม่รู้สึกว่าเป็นความผิดพลาด แต่สำหรับเขาล่ะ? เรื่องนี้ฉันรู้ดีทั้งหมด ตลอดห้าปีมานี้ ผู้หญิงที่เข้ามาวอแวข้องแวะกับเขาก็ไม่น้อยเลย ความรู้สึกที่เขามีให้เธอคือความรักหรือเปล่า? ถ้าหากเขามีผู้หญิงอื่นขึ้นมา แล้วเธอให้เขารู้เรื่องลูก เขาจะแย่งเด็กไป” อรรถพลกอดอก ในเวลานี้ เขาไม่สามารถบีบบังคับให้เพ็ญจิตรับรักเขาได้อีก จึงต้องกำจัดสุวิทย์ คู่แข่งคนนี้ออกไปเสียก่อน “เขาไม่ทำหรอก” เพ็ญจิตพูดค้านอย่างมั่นอกมั่นใจ จริงๆนับตั้งแต่กลับมาปัญหานี้ก็คอยกวนใจเธอมาโดยตลอด โดยเฉพาะพักหลังๆมานี้ ท่าทางการแสดงออกของสุวิทย์ทำให้เธอลังเลใจ ทว่าพี่ชายนั้นอยู่ตรงหน้า เธอมิสามารถแสดงออกถึงความลังเลไม่แน่ใจได้ ต้องทำให้เด็ดขาดแน่วแน่เสียหน่อย ต้องขจัดความคิดของพี่ชายออกไปให้จงได้ เธอสามารถยอมรับได้เพียงพี่ชายคนเมื่อห้าปีก่อนเท่านั้น ถ้าหากพี่ชายยังเป็นเช่นในตอนนี้ต่อไป เธอเกรงว่าคงทำได้แค่หลบหนีเขาไปถึงจะได้ รอจนกว่าจะมี “พี่สะใภ้”ปรากฏตัวออกมา “เพ็ญจิต พวกเรามาทำแบบทดสอบกันสักหน่อย ถ้าหากไอ้สุวิทย์นั่นมันเป็นผู้ชายที่ดีจริงๆ พี่จะช่วยพสกเธอได้อยู่ด้วยกันแน่ๆ แต่เธอก็ต้องรับปากกับพี่ว่า ถ้าหากเขาไม่ใช่คนดี เธอจะออกมาจากชีวิตเขาและทำเรื่องหย่า” อรรถพลสวมบทบาทพี่ชายออกมาพูดอีกครั้ง และเขายังเน้นย้ำสถานะพี่ชายนี้อีกด้วย เมื่อเพ็ญจิตได้ยินดังนั้น ก็อกสั่นขวัญแขวนขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว เอาแต่ส่ายหน้าพูด : “พี่คะ ฉันไม่ต้องการแบบทดสอบอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็เป็น...” ด้วยความที่เป็นพี่น้องกันมายี่สิบกว่าปี อรรถพลสามารถคาดถึงความไม่แน่ใจจากสายตาและน้ำเสียงของเธอออก ดังนั้นจึงพูดท้าทายเธอ : “เพ็ญจิต เธอกำลังกลัวใช่ไหม? เธอกลัวว่าเขาจะทำให้เธอผิดหวัง กลัวว่าเขาจะไม่ใช่พ่อที่มีความรับผิดชอย กลัวว่าเขาจะมีผู้หญิงอื่นหรือกลัว่าเมื่อห้าปีก่อนเขาจะมีแฟนอยู่แล้ว แต่ไม่ได้บอกเธอ” คำพูดของอรรถพลจึงทำให้เพ็ญจิตสั่นเทา เธอไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยเมื่อห้าปีก่อน อีกอย่างสุวิทย์ก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อนด้วย “พี่คะ พี่ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันรู้ว่าควรจะทำอย่างไร ในขณะที่ยังไม่แน่ใจ ฉันไม่มีทางยอมให้เขารู้เรื่องลูกเด็ดขาด” คำพูดของอรรถพลทำให้เพ็ญจิตที่ยังไม่แน่ใจสั่นไหว ตัดสินใจไม่ยอมบอกเรื่องลูกๆกับสุวิทย์สักพักหนึ่ง อรรถพลพูดอย่างเคร่งขรึม : “ใช่ นี่สิถึงจะเป็นน้องสาวที่ดี เธอไม่ควรดำเนินรอบตามความผิดพลาดของคุณป้าในปีนั้น” “คุณป้า พี่หมายถึง--”เมื่อได้ยินคำของอรรถพล เพ็ญจิตก็ตกตะลึง ไร้ปฏิกริยาตอบสนองไปครู่นึง“ก็แม่ของเธอไง เพ็ญจิต นอกจากจะตามหาตัวเธอมาตลอดห้าปีแล้ว พี่ยังได้ยินข่าวจากพ่อว่าตามหาแม่ของเธอเจอแล้ว” อรรถพลพูดวางกับดักล่อ “แม่ของฉัน?” เพ็ญจิตมองอรรถพลด้วยความตกตะลึง เมื่อห้าปีก่อน เธอคิดอยากออกไปตามหาแม่ พอหลังจากมีลูก เธอก็ยิ่งอยากไปตามหาเธอเข้าไปอีก ไม่ใช่เพื่ออะไร ก็แค่อยากจะรู้เท่านั้นว่าทำไมตอนนั้นแม่ถึงทอดทิ้งเธอไป แล้วพ่อของเธอเป็นใครกันแน่ เพ็ญจิตคุยกับอรรถพลอยู่ในห้องหนังสือเสียจนลืมเวร่ำเวลา ปสันน์ที่ถูกกันตัวออกไปกลับมิได้พักผ่อน เขาเอาแต่รอให้เพ็ญจิตลงมาอยู่ที่ห้องรับแขก ทว่าหนึ่งชั่วโมงผ่านไป เพ็ญจิตก็ยังไม่ออกมาจากห้องหนังสือ เขาเริ่มวิตกเล็กน้อย เมื่อเดินขึ้นไปถึงด้านนอกห้องหนังสือ เห็นประตูปิดอยู่ ก็ไม่กล้าเคาะ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ที่นี่ก็เป็นบ้านของเธอ ผู้ชายคนนั้นยังเป็นพี่ชายของเธออีก คงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรอกหน่า เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาก็เดินลงไป เขาไม่อาจข่มตานอนหลับทั้งกลางวันแสกๆเช่นนี้ได้ ดังนั้นก็เลยคุยกับน้าจิล คิดว่าจะไปสำรวจรอบๆแถวนี้สักหน่อย เขาไม่ได้ขับรถ เพียงแต่คิดว่าจะเดินไปแค่บริเวญใกล้ๆนี้เท่านั้น เดินไปๆก็ยิ่งรู้สึกสงสัย เดิมทีคิดอยากจะโทรไปถามเพ็ญจิต แต่คิดทีหนึ่ง ในเมื่อมันเป็นเรื่องระหว่างเพ็ญจิตกับหัวหน้า ถ้างั้นถามหัวหน้าก็คงจะเหมือนกันแหละ จึงต่อสายโทรหาสุวิทย์ “บอส ไม่นานมานี้ ฉันได้ยินเพ็ญจิตคุยกับพี่ชายว่าเธอแต่งงานแล้วเมื่อห้าปีก่อน ในเล่าหน่อยสิว่านายรู้เรื่องหรือเปล่า? ผู้หญิงมีตั้งมากตั้งมาย เรื่องความรักเนี่ยมันต้องควบคุมกันหน่อย โดนเฉพาะกับผู้หญิงที่มีสามีเป็นตัวเป็นตนแล้ว” ปสันน์โทรเข้าไปที่ห้องทำงานของสุวิทย์ อดไม่ได้ที่จะสั่งสอนสักหน่อย แค่ประโยคแรกเขาก็ซัดเข้าแล้ว“เขาพูดอะไรอีก?” สุวิทย์ที่อยู่ปลายสายโทรศัพท์อดขมวดคิ้วไม่ได้ เท่าที่จำความได้คนบ้านวงศ์อัจฉราไม่ค่อยจะชอบขี้หน้าเขาสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะคุณพี่ชายตัวดีของเพ็ญจิต “ไม่ได้พูดถึงเรื่องอื่นอีกเลย แต่ทว่าเขากับเพ็ญจิตเข้าไปคุยกันในห้องหนังสือมาหนึ่งชั่วโมงกว่าแล้วยังไม่ออกมาสักที จากที่ฉันสังเกตุการณ์ เพ็ญจิตดูเหมือนจะกลัวๆพี่ชายที่ขี้หวงน้องสาวคนนี้นะ แต่ว่านี่ก็เป็นเรื่องระหว่างสองพี่น้อง นายไม่รู้เรื่องเพ็ญจิตแต่งงานแล้วจริงๆหรอ?” ปสันน์เห็นสุวิทย์ไม่ยอมตอบจึงถามขึ้นอีกครั้ง “สามีก็คือฉันเองนี่แหละ” ไม่ทันได้รีรอให้ปสันน์ตอบกลับ สุวิทย์ก็ชิงพูดขึ้นอีก : “ปสันน์ นายไปดูเพ็ญจิตหน่อย และถ้าหากเป็นไปได้ พยายามอย่าให้พวกเขาอยู่กันตามลำพัง” “วิทย์ พูดจริงดิ นายแต่งงานตั้งแต่เมื่อไหร่? ห้าปีก่อน—ห้าปีก่อนไม่ใช่ว่านาย--” “เรื่องนี้ค่อยเล่าให้นายฟังอีกที นายรีบไปเรียกให้เพ็ญจิตลงมาได้แล้ว บอกว่าฉันเรียกหาเธอ” สุวิทย์ใจร้อน “แต่ว่า แบบนี้คงไม่ดีมั้ง พวกเขา...” ปสันน์ยังอยากจะพูด สุวิทย์ก็ชิ่งตัดสายไปแล้ว“ให้ตายเถอะ เห็นทีระหว่างสุวิทย์กับเพ็ญจิตคงเล่นชู้กัน ทำไมเมื่อก่อนฉันถึงไม่รู้? แต่งงาน? เมื่อห้าปีก่อนนี่มันเรื่องจริงหลอกวะเนี่ย?” ปสันน์มองโทรศัพท์ บ่นพึมพำอยู่คนเดียว ตอนนี้ความอยากรู้อยากเห็นในใจเขาถูกจุดปะทุขึ้นมาแล้ว เพื่อที่จะรู้ความจริง เห็นทีเขาคงต้องมองเพ็ญจิตเสียใหม่ ก่อนอื่น ถ้ารู้เร็วกว่านี้อีกหน่อย เขาคงคิดหาวิธีแอบฟังอรรถพลดูซิว่าพวกเขาสองพี่น้องคุยอะไรกันนานขนาดนี้ ทว่าหัวหน้าเพิ่งจะมาพูดเอาป่านนี้ ถึงอยากจะฟังแต่ก็เกรงว่าคงฟังไม่ได้แล้ว ปสันน์ที่แต่เดิมคิดอยากจะออกไปเดินเล่นรอบๆเสียหน่อย พอได้รับคำสั่งจากสุวิทย์ ก็รีบวิ่งหน้าตั้งกลับไป แต่ในตอนที่เขาไปถึงบ้านวงศ์อัจฉรา เพ็ญจิตก็ลงมาเรียบร้อยแล้ว กำลังนั่งดื่มน้ำผลไม้ ดูทีวีอยู่ และอรรถพลก็นั่งอยู่ข้างๆเธอ ทั้งสองคนคุยไปก็หัวเราะไป ท่าทางแตกต่างจากตอนกินข้าวเมื่อกลางวันอย่างกับหนังคนละม้วน “เพ็ญจิต พวกคุณสองพี่น้องคุยกับเรียบร้อยแล้ว” ปสันน์พูดไปก็เดินไปนั่งลงแทรกกลางระหว่างสองพี่น้อง ถ้าเป็นเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน อรรถพลคงได้ต่อยเข้าไปสักหมัดแล้ว แต่ว่าตอนนี้ ปสันน์เลิกหัวดูแล้ว อารมณ์ของอรรถพลดูสงบนิ่งลง ซ้ำยังยิ้มพลางส่งขนมให้เพ็ญจิตอีกด้วย “ใช่ ปสันน์ ถ้าคุณยังไม่เหนื่อย เดี๋ยวฉันพาคุณออกไปดูรอบๆ” เพ็ญจิตตบบ่าปสันน์ พูดอย่างอารมณ์เบิกบาน “ก็ได้ เธอไม่อยู่มาตั้งห้าปี วันนี้เดี๋ยวพี่อาสาเป็นคนขับรถชั่วคราวให้เอง ทั้งสองท่านอยากจะไปไหนก็ได้ทั้งนั้น” อรรถพลลุกขึ้นยืน ทั้งสองพี่น้อง หนึ่งคนหนึ่งมือ วางประทับลงบนไหล่ของปสันน์ 
已经是最新一章了
加载中