ตอนที่ 54 กลับไปเป็นดังวันวานไม่ได้อีกแล้ว
1/
ตอนที่ 54 กลับไปเป็นดังวันวานไม่ได้อีกแล้ว
OMG!สุ่มได้สามีคนหนึ่ง
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 54 กลับไปเป็นดังวันวานไม่ได้อีกแล้ว
ตนที่ 54 กลับไปเป็นดังวันวานไม่ได้อีกแล้ว ปสันน์ยังคงฉงนสงสัยยากจะถาม ทว่าอยู่ต่อหน้าอรรถพลก็ไม่ดีนักหากจะเอ่ยถาม จึงทำได้เพียงอดทนเก็บไว้ในใจ รอจนกว่าจะกลับไปค่อยถาม ส่วนเพ็ญจิตเองถึงแม้ว่าจะพูดคุยจะหัวเราะอยู่ แต่ก็ยังจงใจรักษาระยะห่างจากอรรถพล “เพ็ญจิต เดินจนเหนื่อยแล้ว พวกเราไปพักกันที่ร้านกาแฟเถอะ” อรรถพลมองเห็นร้านกาแฟตั้งอยู่ไม่ไกล จึงพูดกับเพ็ญจิต “ก็ดีค่ะ ถ้างั้นพวกคุณไปกันก่อนเลยค่ะ เดี๋ยวฉันเอาของไปเก็ยที่รถก่อน” เพ็ญจิตพูดไปก็คว้าหยิบของในมือของปสันน์และ อรรถพล แต่เมื่อปสันน์ได้ยินเข้า ก็รีบยัดของเข้าไปในมือรรถพลทันที หัวเราะฮ่าๆ “ลุกพี่ ต้องรบกวนแล้วหล่ะ เดี๋ยวผมกับเพ็ญจิตจะไปรอคุณที่ร้านกาแฟแล้วกัน” ปสันน์พูดไปก็ไม่ได้รีรอให้อรรถพลได้ตอบกลับ มือข้างหนึ่งของปสันน์ก็ลากเพ็ญจิตวิ่งหนีไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “ปสันน์ คุณทำอะไรเนี่ย? ของตั้งเยอะแยะขนาดนั้น พี่จะยกไปคนเดียวได้ไง อีกอย่างจากตรงนี้ก็ห่างจากลานจอดรถไกลมากด้วย” เพ็ญจิตหันตัวกลับอยากจะไปช่วยยก แต่ปสันน์กลับจับไว้แน่นไม่ยอมปล่อย “ขอร้องล่ะ ของแค่นั้นเอง สำหรับผู้ชายน่ะเป็นเรื่องจิ๊บๆ อีกอย่าง กุญแจรถก็อยู่ที่เขา พวกเราเข้าไปรอข้างในก่อนเถอะ” ปสันน์แข็งข้อจะลากเพ็ญจิตเข้าไปในร้านกาแฟให้จงได้ หาที่นั่งที่ไม่ค่อยเป็ยจุดสนใจ สั่งกาแฟมาสองแก้ว“ท่านรองประธานคะ คุณรู้จักกับพี่ชายฉันมาตั้งแต่แรก?” เพ็ญจิตมองปสันน์ด้วยความสงสัย นอกจากเรื่องนี้ เธอก็คิดถึงเหตุผลอื่นไม่ออกแล้ว ทั้งสองดูเหมือนไม่ค่อยจะลงรอยกัน พูดแต่ละคำก็ล้วนแต่จะกระทบกระทั่งกัน ถ้าหากไม่รุ้จักกันมาก่อนก็คงจะแปลกเกินไปจริงๆ “ไม่รู้จัก เคยเห็นแต่ในนิตยสาร พี่ชายเธอไม่ธรรมดาเลยนะ นับว่าเป็นหนุ่มที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์ทีเดียว แต่ว่า...” ปสันน์มองเพ็ญจิต และจงใจยั่วน้ำลาย เพ็ญจิตพูดต่อ “แต่ว่าอะไร?” “หวงน้องสาวมากไปหน่อย หากไม่รู้ว่าพวกคุณเป็นพี่น้องกัน จะคิดว่าเป็นคู่รักกันซะอีก” ปสันน์คิดแค่อยากจะพูดล้อเล่นนิดๆหน่อยๆเท่านั้น ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของเพ็ญจิตกลับค้างแช่แข็ง “ท่านรองคะ เคยมีใครบอกไหมคะว่าคุณนี่ขี้เม้ามอยชะมัด” เพ็ญจิตจ้องปสันน์ หลังจากได้พูดคุยกับพี่ชาย เธอก็คิดถึงเรื่องเมื่อห้าปีก่อนอยู่ตลอดเวลา ตลอดเวลาจริงๆ เธอลองมาเดินเอ้อระเหยลอยชายตามท้องถนนดั่งเมื่อก่อน ลองพูดคุยยิ้มหัวเราะดั่งวันวาน ถึงกระทั่งทำท่าออดอ้อน แต่ในใจของเธอยังคงรู้สึกอึดอัดอยู่ เธอกำลังคิดว่าปัญหามันอยู่ที่ตนเองหรือเปล่า เมื่อปสันน์พูดเช่นนี้ เธอก็ทุกข์ใจมากขึ้นไปอีก “คุณเป็นคนแรก” ขนมได้ถูกนำมาเสิร์ฟ ปสันน์หยิบเค้กขึ้น กัดเข้าไปหนึ่งคำแล้วจึงพูดต่อ “เพ็ญจิต ผมมีข้อสงสัยอย่างหนึ่ง เมื่อกี้พี่ชายคุณพูดว่าคุณเคยแต่งงานแล้วเมื่อห้าปีก่อน นี่เป็นเรื่องซุบซิบไร้สาระใช่ไหม?” “ก็คงใช่มั้ง แม้ว่าเมื่อห้าปีก่อน ฉันยังไม่เห็นหน้าคร่าตาของสามีฉันว่าเป็นอย่างไรชัดๆด้วยซ้ำ แต่ฉันก็แต่งงานแล้วจริงๆ” เมื่อคิดถึงสุวิทย์เมื่อห้าปีก่อน รอยยิ้มเขินอายก็ประทับอยู่บนใบหน้าของเพ็ญจิต “ห๊ะ!แต่งงานแล้วจริงๆ?” ปสันน์อ้าปากค้างอยู่นานไม่หุบสักที เขาเหมือนจะพอเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว ตอนที่หัวหน้าตอบมาเมื่อกี้นี้ น้ำเสียงดูจริงจัง ไหนจะท่าทางหวานหยาดเยิ้มของเพ็ญจิตในตอนนี้อีก หรือว่าเพ็ญจิตจะแต่งงานกับหัวหน้าตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อนแล้วจริงๆ? “พี่คะ ตรงนี้ค่ะ” ในขณะที่ปสันน์กำลังรอคำตอบของเพ็ญจิต กลับไม่ได่คิดถึงอรรถพล มาตอนไหนไม่มา ดันมาตอนช่วงเวลาสำคัญ “เอาล่ะ ปสันน์ สุวิทย์ส่งนายมาล่ะสิท่า” อรรถพลนั่งลง จ้องปสันน์ตาไม่กระพริบ จะยิ้มก็ไม่ยิ้ม “พี่คะ ฉันสั่งลาเต้ที่พี่โปรดปรานมากที่สุดให้เรียบร้อยแล้วนะคะ” เพ็ญจิตยกคิ้วหลิ่วตา หั่นเค้กและ ป้อนเข้าปากอรรถพล ฝั่งทางนี้ ทั้งสามคนกำลังดื่มกาแฟกินขนมกันอยู่ แต่สุวิทย์ที่อยู่อีกเมืองหนึ่งหลังจากวางสายของปสันน์แล้วก็เริ่มนั่งไม่ติดเก้าอี้ นับตั้งแต่ได้รับสายของปสันน์ ในใจของสุวิทย์ก็เต้นตุ้มๆต่อมๆ หรือบางทีปสันน์อาจจะแค่หยอกล้อจำๆก็ได้มั้ง ทว่ามันก็เตือนให้เขานึกขึ้นมาได้ ในที่สุดเจาก็เข้าใจสักทีว่าทำไมเมื่อห้าปีก่อนอรรถพลถึงได้พยายามจะขัดขวางไม่ให้เขากับเพ็ญจิตคบกันถึงขนาดนั้น ที่แท้แล้วพวกเขาก็รักผู้หญิงคนเดียวกันนี่เอง น่าเสียดาย... เมื่อคิดถึงตรงนี้ สุวิทย์ก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ความรัก เขาถึงกับใช้คำว่าความรัก หรือว่าในเพียงแค่สามวันเขาหลงรักสาวน้อยได้ลึกซึ้งถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? สุวิทย์นึกเสียใจสุดขีด เขาน่าจะไปส่งเพ็ญจิตกลับไปด้วยตัวเอง ทำไมเขาถึงคิดไม่ถึงว่าความรักที่อรรถพลมีต่อเพ็ญจิตไม่ใช่ความรักแบบพี่น้อง แต่เป็นความรักแบบหนุ่มสาว เขาเริ่มจะเข้าใจได้อย่างฉับพลัน เมื่อห้าปีก่อน เพ็ญจิตไปอเมริกากับอรรถพล แต่ต่อมา เธอกลับไปที่อิตาลีเพียงลำพัง อีกอย่างก็ไม่ยอมกลับมาถึงหลายต่อหลายปี หรืออาจจะเป็นเพราะอรรถพลกัน? ว่ากันว่าพวกผู้หญิงอ่อนไหวเป็นพิเศษกับเรื่องของความรัก ผู้ชายเองก็ไม่ได้โง่เง่า หลังจากสุวิทย์เข้าใจก็นั่งไม่ติดเก้าอี้ หากไม่ใช่ว่านัดหมายกับลูกค้าเรียบร้อยแล้ว เขาเคงได้ขับรถบินไปหาแน่ ในเวลาบ่ายสี่โมง หลังจากสุวิทย์มอบหมายงานให้ผู้ช่วยเสร็จสิ้นในที่สุด ก็รีบบึ่งตรงไปยังบ้านวงศ์อัจฉราอย่างมิหยุดพักสักวินาทีเดียว เขาเหยียบเร่งเต็มสปีดไปยังบ้านวงศ์อัจฉรา เมื่อมาถึงก็เป็นเวลาทานข้าวเย็นพอดิบพอดี ทว่าการต้อนรับของเขากลับดีไม่เท่าของปสันน์ ลำดับแรกก็คือคนงาน หลังจากเห็นเขากลับไม่ยอมเปิดประตูในทันทีซ้ำยังกลับไปรายงานเจ้านายอีก สุวิทย์โกรธเดือดดาล คิดถึงเรื่องเมื่อห้าปีก่อนที่คนบ้านวงศ์อัจฉราไล่เขาออกจากบ้าน เขาตัดสินใจไปพักที่โรงแรมก่อน จนเมื่ออรรถพลออกมาดู เจ้าตัวก็ไม่อยู่เสียแล้ว หลังจากไปพักที่โรงแรมเป็นที่เรียบร้อย สุวิทย์ก็โทรหาเพ็ญจิตทันที ทั้งครอบครัวกำลังพูดคุยกันอยู่ที่ห้องรับแขกหลังจากทานอาหารเสร็จ โทรศัพท์ของเพ็ญจิตก็ดังขึ้น เธอมองไปก็เห็นว่าเป็นสายของสุวิทย์ จึงลุกขึ้นยืนและพูดกับครอบครัว : “พ่อคะ แม่คะหนูขอไปรับโทรศัพท์หน่อยนะคะ” เดิมทีเพ็ญจิตอยากจะไปรับสายที่ห้อง แต่ยังต้องขึ้นบันไดไปอีก เห็นได้ชัดว่าเป็นการทำเรื่องเล็กๆให้เป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นจึงแค่เดินออกมารับสายที่ด้านนอกแทน อรรถพลเห็นสีหน้าท่าทางของเพ็ญจิต เขาก็เดาออกว่าเป็นสุวิทย์ แต่กลับไปได้ตามออกไป ทำได้เพียงแค่แกล้งทำเป็นดูทีวีหลอกๆ แต่สายตากลับล่องลอยออกไปข้างนอก “วิทย์ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” ด้านนอก เพ็ญจิตกระซิบกระซาบถามสุวิทย์ เขาโทรมาตอนนี้“คุณภรรยาครับ ผมอยู่ที่โรงแรมที.เอส คุณมาหาตอนกลางคืนได้ไหม?” เมื่อได้ยินเสียงของเพ็ญจิต ความโกรธของสุวิทย์ก็จางหายไปเป็นปลิดทิ้ง แม้แค่เสียงก็ทำให้เขามีความสุขได้ “คุณมาหรอ?” เพ็ญจิตขมวดคิ้ว ไม่ใช่ว่าตกลงกันเรียบร้อยว่าจะให้ปสันน์มาเป็นเพื่อนก็พอแล้วหรือ ? ทำไมเขาถึงถ่อมาที่นี่อีก ? เมื่อคิดถึงเรื่องที่ตนลากปสันน์เข้ามาเป็นแฟนในวันนี้แล้ว หากให้พ่อแม่รู้จักกับสุวิทย์ ถ้างั้น...เธอไม่อยากจะคิดต่อ เรื่องพ่อกับแม่น่ะเอาไว้ก่อน ที่สำคัญก็คือพี่ชายตัวเนี่แหละ แม้แต่กับปสันน์ยังเต็มไปด้วยความเกลัยดชัง ไม่ต้องพูดถึงสุวิทย์เลย “ผมคิดถึงคุณ คุณภรรยาครับ หรือไม่ก็ให้ผมไปหาคุณ” ในใจของสุวิทย์รู้ดีว่าเพ็ญจิตต้องไม่ยอมให้เขาไปหาแน่ๆ แต่ก็จงใจพูดขึ้น เป็นเช่นนั้นจริงๆ พอเพ็ญจิตได้ยินว่าสุวิทย์จะมา จึงรีบพูดขึ้น : “ไม่ต้อง อีกเดี๋ยวฉันจะให้ปสันน์ไปเป็นเพื่อน” “งั้นก็ได้ ผมจะรอคุณที่โรงแรมนะ หมายเลขห้อง 2806” เพ็ญจิตเหมือนจะได้ยินเสียงหัวเราะของสุวิทย์ เดิมทีก็ไม่ได้คิดว่าจะไปหรอก แต่เจ้าตัวดันมาถึงที่นี่แล้ว เธอกลัวว่าหากไม่ยอมไป สุวิทย์จะมาหาเธอถถึงที่เข้าจริงๆ หลังจากกลับเข้าไปในห้อง เพ็ญจิตก็บอกว่าเพื่อนเก่าโทรมาหา นัดตนให้ออกไปทานมื้อดึกด้วยกัน คุณอุดมและคุณวาสนาไม่ได้พูดอะไร มีแค่ปสันน์เท่านั้นแหละที่มองเพ็ญจิตด้วยความสงสัย “ก็ได้ งั้นเดี๋ยวพี่ไปเป็นเพื่อน” อรรถพลเอ่ยขึ้นโดยไม่รีรอให้เพ็ญจิตได้พูดจบ“ขอบคุณค่ะพี่ แต่ให้ปสันน์ไปเป็นเพื่อนหนูเถอะค่ะ พวกเรากะว่าจะสนุกกันให้สุดเหวี่ยงไปเลย พรุ่งนี้พี่ยังต้องไปทำงาน” เพ็ญจิตปฏิเสธทางอ้อม อรรถพลยังยืนกรานว่าจะไปด้วย โชคดีที่คุณอุดมลุกขึ้นมาพูด:“อรรถพลเอ๋ย ให้ปสันน์ไปกับเพ็ญจิตเถอะ” ปสันน์ออกมาเป็นเพื่อนกับเพ็ญจิต ไม่ทันรอให้เขาเอ่ยถาม เพ็ญจิตก็พูดขึ้นเอง : “พวกเราไปที่โรงแรมที.เอส”“ไม่ใช่ว่าบอสมานะ ?” ปสันน์ที่คาดเข็มขัดนิรภัยถึงกับตกตะลึงไปครู่นึง แล้วจึงเอ่ยถาม เพ็ญจิตแปลกใจเล็กน้อย แค่แวบเดียวก็เข้าใจอะไรๆแล้ว จึงถามขึ้นอย่างไม่พอใจ “นายโทรหาเขา?”“เพ็ญจิต คุณอย่าเข้าใจผิดนะ ผมโทรไปหาบอสจริงแต่ไม่ได้บอกให้เขามา ผมแค่บอกว่าพวกเรามาถึงแล้วอย่างปลอดภัยเอง” ปสันน์ตกใจเมื่อได้ยินน้ำเสียงของเพ็ญจิต อีกประเดี๋ยวเขาเผ่นหนีดีกว่า “ฉันรู้ว่าถ้าเขาจะมาใครก็ขวางไม่ได้” เพ็ญจิตถอนหายใจ เธอไม่โทษใครทั้งนั้น ในตอนแรกเป็นเธอเองที่ลากสุวิทย์ไปแต่งงานได้อย่างไร้ยางอายไม่รู้สึกรู้สา หากจะโทษใครจริงๆ ก็ต้องโทษตัวเอง ในตอนแรกเธอวู่วามเกินไปจริงๆ ยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากนัก แต่เมื่อได้มาอยู่ด้วยกันตลอดหลายวันมานี้ เธอคิดว่าสุวิทย์คนนี้ก็มิได้บกพร่องอันใด ปสันน์อ้าปากหัวเราะ “ฮ่าๆ ใช่ ถ้าเธอเข้าใจวิทย์จริงๆนะ เขาคนนั้นน่ะหัวดื้อมาก เมื่อตัดสินใจเรื่องใดแล้ว จะไม่มีทางกลับลำเป็นอันขาด” “พวกคุณรู้จักกันมานานมากแล้ว?” เมื่อได้ยินปสันน์พูดโม้ เพ็ญจิตก็อดถามไม่ได้“ใกล้ยี่สิบปีแล้วมั้ง เธอล่ะ? พวกคุณรั้กกันมานานแค่ไหนแล้ว?” ปสันน์ขับรถไปก็คุยกับเพ็ญจิตไป เพ็ญจิตลังเลก่อนจะหัวเราะเบาๆ “หลังจากฉันมาทำงานที่บริษัทถึงจะนับว่ารู้จักเขา” “ไม่หรอกมั้ง? พี่คุณไม่ได้พูดว่าพวกคุณแต่งงานกันตั้งแต่เมื่อห้าปีที่แล้วหรอกหรอ?” ยามนี้ปสันน์ขี้สงสัย ราวกับเด็กๆ อยากจะรู้ให้ได้ว่าเพ็ญจิตกับสุวิทย์มีความสัมพันธ์เช่นไรกันแน่ และรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่ “ก็ใช่ ตอนนั้นฉันกับแม่ไม่ลงรอยกัน จากนั้นฉันก็เลยไปลากผู้ชายข้างถนนมาแต่งงานอย่างมั่วๆ ขื่อของผู้ชายคนนั้นกับชื่อของท่านประธานของพสกเราดันเหมือนกันโดยบังเอิญก็เท่านั้นเอง” เพ็ญจิตพูดปกปิด “OH, MY GOD!” ปสันน์ได้ยินดังนั้น ก็เบรครถด้วยความตกใจ จากนั้นก็มองไปยังเพ็ญจิตอย่างประหลาดใจ ส่วนตัวเพ็ญจิตก็เอนไปด้านหน้าเพราะว่าเขาเบรครถอย่างกระทันหัน บวกกับในเวลาค่ำคืนดึกดื่นก็มองไม่ค่อยจะชัดอยู่แล้ว มิเช่นนั้นเกรงว่าเพ็ญจิตคงได้ตกใจเพราะท่าทางของปสันน์เป็นแน่ “sorry ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมแค่ตกใจ เพ็ญจิต คุณกับบอสแต่งงานกันแบบนั้นเหรอ?” แม้ว่าเพ็ญจิตจะไม่ได้พูดชัดเจน ปสันน์ก็พอจะเดาออก แน่นอนว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือคำสั่งของบอสเมื่อเช้านี้ “เพ็ญจอต เมื่อกี้คุณแค่พูดเล่นหรือพูดขริง เมื่อห้าปีก่อน คุณลากบอสไปจดทะเบียนอย่างนั้นหรอ?” ความอยากรู้อยากเห็นในใจของปสันน์ถูกงัดขึ้นมา “ถ้าคุณคิดว่าใช่ก็ใช่ เมื่อห้าปีก่อน ฉันถูกบังคับให้แต่งงาน ในเย็นวันนั้นฉันทะเลาะกับแม่ จากนั้นก็ออกจากบ้านมา ในตอนนั้นฉันเดินหลับตาไปตามถนนบอกกับตัวเองว่า ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ขอแค่เป็นผู้ชายที่ฉันเจอคนแรกและเขายังไม่ได้แต่งงาน ฉันก็จะแต่งงานกับเขา เอาหล่ะ นี่ก็เป็นเรื่องราวการแต่งงานของฉัน ตอนนี้จะขับรถได้หนือยัง?” เพ็ญจิตคิดไม่ถึงเลยว่าความอยากรู้อยากเห็นของปสันน์จะท้วมท้นมากมายถึงเพียงนี้ เธอรู้ว่าหากไม่พูด เขาต้องหาโอกาสถามอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงเล่าประสบการณ์การแต่งงานของตนเมื่อห้าปีก่อนให้เขาฟังอย่างคร่าวๆ “เป็นไปไม่ได้หน่า ต่อให้คุณจะมุทะลุบ้าบิ่นขนาดไหน บอสเองก็คงไม่บ้าตามน้ำขนาดนั้น เขาเป็นพวกมีเหตุผลมาตลอด ไม่เคย...” ปสันน์เบรครถกระทันหัน จากนั้นก็ถามด้วยความประหลาดใจอีกครั้ง : “เธอพูดว่าเมื่อห้าปีที่แล้วหรอ ?” ปสันน์ประมวลความคิดในหัวอยู่ครู่นึง ในที่สุดก็นึกถึงวันเวลาเป็นตายร้ายดีของสุวิทย์ในช่วงนั้นออก และก็นึกถึงผู้หญิงที่ทำให้สุวิทย์ต้องเจ็บปวดคนนั้นได้ –ไรวินทร์ ด้วยเหตุนี้ ถึงได้ตกใจมากเป็นพิเศษ
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 54 กลับไปเป็นดังวันวานไม่ได้อีกแล้ว
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A