ตอนที่ 55 ปสันน์ขว้างระเบิดเวลาไว้ในใจของเพ็ญจิต   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 55 ปสันน์ขว้างระเบิดเวลาไว้ในใจของเพ็ญจิต
ต๭นที่ 55 ปสันน์ขว้างระเบิดเวลาไว้ในใจของเพ็ญจิต “อือ ท่านรองประธานคะ คุณพูดอย่างนี้เหมือนว่าฉันเป็นคนแย่มากเลยนะ” ในใจของเพ็ญจิตว้าวุ่นเล็กน้อย อะไรที่บอกว่าท่านประธานเป็นไปไม่ได้หรอก แต่พวกเขาก็จดทะเบียนกันตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อนแล้ว อีกอย่างเธอเองก็ไม่ได้บีบบังคับสุวิทย์สักหน่อย—โชคดีไป ตอนนั้นนดูเหมือนเธอจะหมายความว่าอย่างนั้นนิดหน่อย แต่สิทธิการตัดสินใจก็อยู่ในมือของสุวิทย์อยู่ดี ถ้าในเวลานั้นเขาไม่ยินยอม ผู้หญิงอ้อนแอ้นบอบบางตัวลำพังอย่างเธอไม่สามารถลากเขาไปเซ็นชื่อที่สำนักงานพลเรือนได้หรอก “เปล่านะ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อย ผมแค่ไม่กล้าเชื่อคุณนิดหน่อย พวกคุณไม่รู้จักกันและกันมาก่อน แต่กลับไปจดทะเบียนสมรสทันที โดยเฉพาะตัวบอสเอง เขาคงไม่มีทางหุนหันพลันแล่นขนาดนั้นได้ แต่ว่าหากเป็นเมื่อห้าปีที่แล้ว งั้นก็อาจจะพอเป็นไปได้จริงๆ” ปสันน์อธิบาย “ท่านรองคะ คำพูดของคุณนี่ขัดแย้งกันเองนะคะ เดี๋ยวก็พูดว่าสุวิทย์คงไม่หุนหันพลันแล่น เดี๋ยวก็บอกว่าถ้าเป็นเมื่อห้าปีที่แล้วก็พอเป็นไปได้” เพ็ญจิตหันไปจ้องปสันน์ เธอรู้สึกว่าคำพูดของเขามีนัยแฝงอยู่ “สำหรับปสันน์แล้วเมื่อห้าปีก่อนนั้น เป็น...”ปสันน์ไม่ยอมพูดให้จบก็ดีนหยุดชะงักลง เพ็ญจิตคิดว่าเจาจะพูดต่ออีก แต่คิดไม่ถึงว่าจะปิดปากเงียบสนิท ไม่ยอมแม้แต่จะปริปากพูด“คงไม่บังเอิญว่าตอนนั้นตรงกับช่วงที่เขาอกหักพอดีหรอกนะ?” ปสันน์ไม่พูด แต่เพ็ญจิตก็เดาออกได้เอง ถึงแม้ว่าจะแต่งงานกันมาถึงห้าปีแล้ว แต่เพ็ญจิตก็ไม่เคยพินิจเลยว่าทำไมเมื่อห้าปีที่แล้วสุวิทย์ถึงได้ยอมตกลงแต่งงานกับตัวเอง แต่ณ เวลานี้ คำพูดอ้ำๆอึ้งๆของปสันน์ได้จุดประกายความอยากรู้ของเธอขึ้นเรียบร้อยแล้ว เธออยากรู้มากจริงๆว่าทำไมสุวิทย์ถึงยอมตกลง ? หากจะบอกว่าตกหลุมรักตั้งแต่แรกเจอ นั่นก็คงเป็นเรื่องหลอกเด็ก เธอก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองจะสวยปานนางฟ้าถึงขนาดที่ผู้ชายเห็นปุ๊บก็อยากจะแต่งงานกับเธอปั๊บ เช่นนั้นแล้วก็ต้องมีเหตุผลอย่างอื่นแน่นอน และเมื่อฟังน้ำเสียงของปสันน์ เดาว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ต้องเกี่ยวข้องกับผู้หญิงแน่นอน สถานการณ์เช่นนี้ มีโอกาสว่าจะอกหักได้สูงมาก“เรื่องนี้ ให้เขาเป็นคนบอกคุณด้วยตัวเองค่อนข้างจะดีกว่า” เมื่อถึงไฟแดง ปสันน์จึงหยุดลงและพูดด้วยท่าทางมาดขรึม “ท่านรองประธานคะ แต่ว่านี่คุณพูดออกมาแล้วนะคะ ฉันบอกความลับของฉันทั้งหมดให้คุณฟังแล้ว ไม่ใช่ว่าคุณก็ควรจะตอบเรื่องราวต่างๆให้ฉันฟังป็นมารยาทหรือ” ในตอนนี้เพ็ญจิตอยากจะรู้คำตอบจนเต็มทน เธอรู้สึกไม่สบายใจกระสับกระส่ายหน่อยๆ การที่เจอสุวิทย์ด้วยสภาพสกปรกมอมแมมเมื่อห้าปีก่อนนั้น ก็รกรุงรังเหมือนคนอกหักจริงๆ ถ้าหากว่าเธอเดาไม่ผิดล่ะก็ สิ่งที่พี่พูดก็อาจจะเป็นไปได้ สุวิทย์อาจจะมีแฟนตอนที่เขามาแต่งงาน ถ้างั้นห้าปีมานี้ เขาก็น่าจะยังรอผู้หญิงที่ทำให้เขาผิดหวัง เลอะเลือนคนนั้น ? ตอนที่เขาออกจากโรงแรมไปก็เหมือนจะพูดเช่นนั้น คุณพ่อป่วยจนเสียชีวิต และก็เพราะผู้หญิงคนนั้น? ในยามนี้ ยิ่งเพ็ญจิตรู้น้อยมากเท่าใด ก็ยิ่งดีมากเท่านั้น ประโยคนี้ดูเหมือนจะมีเงื่อนงำแฝง ปสันน์ทำหน้าเว้าวอนขอร้องเพ็ญจิต “ไม่ใช่ความลับอะไรหรอก เพ็ญจิต ขอร้องล่ะนะ อย่าทำให้ผมลำบากเลย มันเป็นอดีตไปแล้ว คุณแกล้งทำเป็นว่าไม่รู้หน่อยได้ไหม? ขอร้องล่ะ ขอร้อง หากบอสรู้เข้าว่าผมเป็นคนบอก ผมคงได้ถูกส่งไปไซบีเรียแน่” “ท่านรองคะ ถ้าหากว่าไม่อยากไปไซบีเรีย คุณควรจะบอกฉันเป็นการดีที่สุดนะคะ หากฉันไปถามสุวิทย์ เขาต้องรู้แน่ว่าคุณเป็นคนเปิดเผย ถึงตอนนั้น...หีๆ...”เพ็ญจิตจงใจแสดงท่าทางร้ายๆ “กีวี่ ขอร้องแหละนะคุณห้ามพูดเด็ดขาด หากบอสไม่ได้บอกคุณ นั่นก็แปลว่าเขาไม่อยากพูด หากเขารูว่าผมปากมากล่ะก็ ผมได้ตายอย่างอนาถแน่ คุณเพ็ญจิต ขอร้องล่ะครับ...” ปสันน์ได้ยินดังนั้น ก็จอดรถข้างทาง ขอร้องเพ็ญจิตให้เก็บเป็นความลับ “ท่านรองประธานคะ ฉันก็ขอร้องคุณเหมือนกัน ขอแค่บอกฉันว่าทำไมเมื่อห้าปีก่อนสุวิทย์ถึงยอมจดทะเบียน ฉันก็จะรูปซิปปิดปากสนิท ไม่ให้สุวิทย์รู้เป็นอันขาด” เพ็ญจิตเปิดไฟดวงน้อยในรถพลางฉีกยิ้มเล็กน้อยและจ้องไปยังปสันน์ “นี่...จริงๆแล้ว...ให้สุวิทย์เป็นคนพูดเองจะดีกว่า” ตอนนี้ปสันน์นึกเสียใจจนตายได้อยู่แล้ว ต้องโทษความรู้มากของเขา จากนี้คงต้องรูปซิปปิดปากไว้ให้ดี ในที่สุดเขาก็เขาใจแล้วว่า การเก็บเกี่ยวสิ่งที่ตนทำ มันเป็นเช่นไร “เมื่อกี้คุณไม่ได้บอกว่า หากเขาอยากบอกก็คงบอกเองหรอ? ดังนั้นก็คงต้องรบกวนคุณแล้ว” เพ็ญจิตยิ้มตาหยี แต่ในใจลึกๆขื่นชนเต็มทน ดูจากท่าทางการแสดงออกของปสันน์ ความรักระหว่างผู้หญิงคนนั้นกับสุวิทย์คงไม่ทำธรรม ถ้าไม่ใช่รักแรก ปิดสิบเปอร์เซนต์ก็คงเป็นคู่หมั้น ไม่แน่ก็อาจจะเป็นชนิดแบบคนที่สลักไว้ในใจจนมิอาจลืมเลือนได้ ปสันน์จ้องเพ็ญจิตตาไม่กระพริบ ลังเลแล้วลังเลอีก เมื่อเห็นเพ็ญจิตไม่มีทีท่าว่าจะยอมประนอมอ่อนลง จึงถอนหายใจแล้วพูดขึ้น : “จริงๆก็ไม่มีอะไร ก็อย่างที่คุณพูด ในตอนนั้นสุวิทย์อกหักอยู่ ไรวินทร์เป็นรักแรกของสุวิทย์ พวกเขารู้จักกันสมัยเรียนมหาลัย ความรักของทั้งคู่ไปได้ดีจนกระทั่งเจอกับผู้ใหญ่ ก็...” ปสันน์พูดถึงตรงนี้ ก็ตบตัวเองเข้าไปหนึ่งฉาด “ก็อะไร ?” เพ็ญจิตเห็นปสันน์เป็นเช่นนั้น ก็รู้ได้ทันทีว่าต้องเป็นส่วนสำคุญที่สุดแน่ๆ จึงรีบซักไซร้ถาม “ก็ไม่มีอะไร? ก็แค่ยัยไรวินทร์นั่นหันไปรักคนอื่น ทอดทิ้งสุวิทย์ จากนั้นสุวิทย์ก็ไปเมืองนอก และท้ายที่สุด พ่อเขาก็เสียไป พอเขากลับมา ก็กลายสภาพเป็นอย่างที่เห็น” ปสันน์เพิ่งรู้ว่าตนเผลอพลั้งปากพูดไป ก็โกรธจนตีอกชกต่อยตัวเอง แต่เรื่องที่ไรวินทร์แต่งงานกับคุณลุง เขาไม่สามารถพูดได้จริงๆ “แค่นี้หรอ? ปสันน์ ถ้างั้น...รักแรกของเขาล่ะ? ไม่มีข่าวคราวเลยหรอ?” เพ็ญจิตรู้ว่าปสันน์ไม่ได้พูดส่วนที่สำคัญ จึงซักไซ้อีกรอบ “ไปแล้ว แต่งกับคนอื่นไปแล้ว จากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย เอาล่ะ นี่คงเป็นเหตุผลที่วิทย์วู่วามทำไปในปีนั้น แต่คุณห้ามพูดเรื่องนี้กับวิทย์เป็นอันขาด หากเขา...” ดูท่าทางปสันน์ไม่อยากพูดต่ออีก เดิมทีเพ็ญจิตคิดอยากจะถามต่ออีกสักหน่อย ทว่าเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น และเป็นสุวิทย์ที่โทรมา ท่าทางคงจะโทรมาเร่งเธอ “วิทย์ล่ะสิ บอกไปว่าพวกเราใกล้ถึงแล้ว” ปสันน์แอบมีความสุข บอสนี่โทรมาได้ทันเวลาจริงๆ ไม่เช่นนั้นไม่รู้ว่าเขาควรจะทำอย่างไรดี “อือ พวกเราไปกันเถอะ” เพ็ญจิตรู้แล้วว่า ถ้าถามอีกก็จะไม่มีคำตอบแล้ว จึงกดรับสายหลังจากถอนหายใจ ยามนี้ เธออดดีใจไม่ได้ อดดีใจไม่ได้ที่ตนไม่ได้บอกเรื่องที่ไนยชนกับนวันธรเกิดมาให้สุวิทย์รู้ โชคดีที่เธอไม่ได้ขาดสติวู่วามดั่งเมื่อห้าปีก่อนอีกแล้ว หลังจากวางสาย ในรถก็เงียบงันเป็นพิเศษ ปสันน์กลัวว่าเพ็ญจิตจะถามอีก ดังนั้นจึงไม่กล้าเปิดปากพูด ส่วนเพ็ญจิตเองก็กำลังคิดถึงเรื่องรักแรกขอสุวิทย์อยู่ เป็นผู้หญิงแบบไหนกันนะ ทำไมถึงได้ทำให้สุวิทย์เสียศูนย์ถึงขนาดนั้นได้ ตกลงแล้วเรื่องมันเป็นยังไงกัน ถึงได้เลิกลากับคนรักที่สัญญาว่าจะแต่งงานกันไปได้? เธออยากรู้ เธออยากรู้มากที่สุดว่ารักแรกของเขาไปอยู่ที่ไหน? อยากรู้ว่าในใจของสุวิทย์ยังมีแต่รักแรกนั่นใช่ไหม หากเป็นเช่นนั้น ความรักของเขาในวันนั้นมันจะมีค่าอะไร? ในตอนที่มาถึงโรงแรมเอ็มยู ก่อนที่จะจอดรถ ปสันน์ขอร้องเพ็ญจิตอีกรอบ “เพ็ญจิต คุณห้ามเอ่ยกับสุวิทย์เด็ดขาด และก็ห้ามพูดถึงไรวิทน์ด้วย ขอร้องล่ะ” “ฉันรู้ คุณวางใจเถอะ ฉันสัญญาว่าจะไม่พูดเด็ดขาก อีกอย่างมันก็ผ่านมาตั้งห้าปีแล้ว คุณก็พูดเองว่าผู้หญิงคนนั้นคงไม่ปรากฏตัวออกมาอีกแล้ว ดังนั้นฉันเองก็ไม่มีความจำเป็นทีจะต้องซักไซ้ไล่ถามอะไร” ในขณะที่เพ็ญจิตพูด ก็รู้สึกไม่สบายอึดอัดใจเป็นพิเศษ ผายมือทั้งสองออกราวกับถอนหายใข ยิ้มและพูดขึ้นว่า : “จริงๆที่แนกลับมาครั้งนี้ก็เพื่อที่จะจัดการเรื่องหย่า ความวู่วามเมื่อห้าปีก่อนได้ทิ้งรอยยาดแผลย้อนหลังเอาไว้ ถ้าหากไม่หย่า ถ้าเขาเจอผู้หญิงที่ชอบ ก็คงแต่งงานด้วยไม่ได้” ปสันน์เดินตามหลังเพ็ญจิตเข้าไปในลิฟท์ เขายืนอยู่ด้านหลังของเพ็ญจิต ในใจก็นึกเสียอกเสียใจจนพูดไม่ออก มิน่าเล่าหัวหน้าถึงได้ปฏิบัติกับเพ็ญจิตดีเป็นพิเศษ ที่แท้พวกเขาก็เป็นสามีภรรยากันนี่เอง แต่เกรงว่าบนโลกนี้คงไม่สามารถหาคู่สามีภรรยาที่แปลกประหลาดได้เท่าพวกเขาอีกแล้ว เฮ้อ หากบอสรู้เข้าเขาคงตายแหงแก๋แน่ๆ ทั้งปสันน์และเพ็ญจิต ต่างคนก็ต่างมีเรื่องคิดในใจ จึงมิได้สังเกตุว่าหลังจากที่พวกเขาเดินเข้ามาในโรงแรม อรรถพลก็ตามพวกเขาเข้ามาเช่นกัน อีกทั้งตอนที่ประตูลิฟท์ปิดลงเขาก็เดินเข้ามาในโรงแรมแล้วเรียบร้อย เขาไม่ได้ไปที่ล็อบบี้ เอาแต่ยืนอยู่ด้านหน้าลิฟท์ดูว่าลิฟท์จะไปหยุดอยู่ที่ชั้นไหน เขารู้สึกว่าเพ็ญจิตไม่ได้มาเจอเพื่อนแน่ๆ ถ้างั้นก็คงเป็นไปได้แค่เพียงอย่างเดียว สุวิทย์ สามีในนามคนนั้นของเธอมา ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง งั้นก็ดี จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปหาเขาที่บริษัทโอก้ากรุ๊ปให้เขายอมเซ็นเรื่องขอหย่า จะว่าไปก็นับว่าโชคของอรรถพลไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ ลิฟท์ตัวนี้เล่นหยุดตลอดทาง คงต้องตามหาทีละชั้นๆ เกรงว่าเพ็ญจิตกับปสันน์จะกลับไปเสียก่อน หลังจากลิฟท์ลงมา อรรถพลก็กลับไปที่ล็อบบี้ สอบถามว่าสุวิทย์พักอยู่ห้องไหน “น้องครับ ช่วยผมหาหน่อยได้ไหมว่าคนที่ชื่อสุวิทย์พักอยู่ห้องไหนได้ไหมครับ?” อรรถพลเป็นลูกค้าวีไอพี ของโรงแรมเอ็มยู พนักงงานล้วนรู้จักเขา เขาเองก็ดีใจเพราะพนักงานเข้ากะที่ล็อบบี้วันนี้ ได้ความประทับใจของเขาไปเต็มๆ เขาจำได้ว่าตอนนั้นเธอมีนามสกุลเดียวกัน “คุณอรรถพลคะ ขอโทษค่ะ ตามกฏแล้วพวกเราไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลห้องพักของลูกค้าได้ค่ะ” พนักงานหญิงกล่าวขอโทษพลางยิ้มเล็กน้อย “ผมรู้ พวกเรานัดกันว่าจะคุบเรื่องธุรกิจกันตอนเก้าโมง คุณดูซิว่านี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ตอนที่รับโทรศัพท์เมื่อกร่ผมก็ยุ่งๆอยู่ เลยได้ยินเลขห้องไม่ชัด ดูเหมือนว่าจะเป็น 8 หรือ 6 อะไรนี่แหละ” อรรถพลทำเป็นคาดเดาอย่างอาจหาญ พนักงานที่ล็อบบี้ยังคงปฏิเสธแบบอ้อมๆ “คุณอรรถพลคะ ต้องขออภัยด้วยจริงๆค่ะ หรือคุณจะลองโทรหาคุณสุวิทย์เพื่อยืนยันอีกทีไหมคะ” “นั้น ช่วยหน่อยเถอะ ดูสิพวกเรามีนัดคุยเรื่องธุกิจกัน หากยังขืนโทรไปอีก เห็นได้ชัดว่าไร้มารยาท อาจจะส่งผลต่อธุรกิจของพวกเราได้ ขอร้องล่ะ อีกอย่างผมก็เป็นแขกประจำของพวกคุณ ไม่ใช่คนเลวที่ไหน” อรรถพลพูดไปก็ยิ้มพลางยกตัวอย่างขึ้น “ก็ได้ค่ะ คุณอรรถพลเป็นแขกประจำของพวกเรา งั้นพวกเราจะยกเว้นให้ครั้งหนึ่ง” ในที่สุดพนักงงานก็ยอมตกลงแล้ว และเปิดคอมพิวเตอร์ค้นหา “คุณอรรถพลคะ คำว่าศุทที่คุณหมายถึงคือ ศ ศาลา สระอุ ทอ ทหารใช่ไหมคะ?” “ไม่ใช่ เป็นสอ เสือ สระอุ วิทย์ก็คือวิทย์แบบวิทยาศาสตร์ รบกวนพวกคุณแล้ว” อรรถพลอธิบายตัวสะกดอย่างละเอียด “คุณอรรถพลคะ พวกเราหาเจอแล้วค่ะ คุณสุวิทย์เช็คอินได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่า ห้องของเขาคือ 2806” พนักงานอธิบายละเอียดยิบ “ใช่ เขาเพิ่งมาถึงเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว นั้น ขอบใจมาก ถ้างั้นผมขอตัวไปเจรจาธุรกิจกับสุวิทย์ก่อนนะ หากไหนว่างๆ เดี๋ยวผมพาไปเลี้ยงกาแฟ” อรรถพลยิ้ม และยังแสดงท่าทางมีน้ำใจจะเลี้ยงกาแฟพวกเขาอีก“ขอแค่คุณอรรถพลมีเวลา พวกเราก็ว่างเสมอค่ะ” พนักงานสาวได้รับความโปรดปรานอย่างไม่คาดฝัน “งั้นก็เป็นสุดสัปดาห์นี้แล้วกันครับ” อรรถพลโปรยยิ้ม เดินเข้าลิฟท์ แจ่ก่อนจะเดินไปที่ลิฟท์ก็หันหลังกลับมา “คุณอรรถพลคะ ไม่ทราบว่าคุณยังมีเรื่องอะไรให้ช่วยอีกคะ?” พนักงานเห็นอรรถพลหันหลับมา ก็ประหลาดใจ “ผมกำลังคิดว่าวันนี้พวกเราคงคุยกันจนถึงดึกๆเลย พวกคุณช่วยเปิดห้องให้ผมสักห้องด้วยครับ ช่วยเช็คให้หน่อยว่ามีคนอยู่ห้องตรงข้ามหรือข้างๆห้อง2806 หรือเปล่า ” อรรถพลฉีกยิ้มพลางหยิบบัตรประชาชนออกมา
已经是最新一章了
加载中