ตอนที่ 56 เมื่อห้าปีก่อนเป็นแค่เรื่องเล่นๆใช่ไหม
1/
ตอนที่ 56 เมื่อห้าปีก่อนเป็นแค่เรื่องเล่นๆใช่ไหม
OMG!สุ่มได้สามีคนหนึ่ง
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 56 เมื่อห้าปีก่อนเป็นแค่เรื่องเล่นๆใช่ไหม
ตนที่ 56 เมื่อห้าปีก่อนเป็นแค่เรื่องเล่นๆใช่ไหม โชคชะตาของอรรถพลนี่ดีไม่ใช่เล่นๆเลยจริงเชียว แม้ว่าห้องตรงข้ามจะมีผู้เข้าพักแบ้ว แต่ห้องตรงข้ามที่เฉียงออกไป หมายเลข 2817 ยังไม่มีคนจอง ดังนั้นอรรพลจีงจองห้องนี้ พออรรถพลมาถึงห้องก็ย้ายเก้าอี้ไปนั่งที่ริมประตู แน่นอนว่าถึงแม้ประตูจะไม่ได้เปิดโล่งโจ่งแจ้ง ทำได้แค่แง้มช่องว่างเล็กๆไว้คอยสอดส่อง ถึงมุมจะไม่ค่อยดีเท่าหี่ แต่ตราบใดที่ห้องหมายเลข 2806เปิดออก เขาก็สามารถมองเห็น และในยามนี้ ภายในห้องหมายเลข 2806 เพ็ญจิตกำลังนั่งอยู่บนโซฟาด้วยความกระสับกระส่ายว้าวุ่นใจ เดิมทีสุวิทย์อยากจะนั่งข้างๆเพ็ญจิต แจ่เพ็ญจิตกลับจงใจนั่งข้างปสันน์ ราวกับตั้งใจหลีกหนีสุวิทย์ “คุณภรรยา โกรธเหรอ?” ในขณะที่สุวิทย์พูดไปก็ส่งสายตาหาปสันน์ให้เขาถอยไป ปสันน์เพิ่งจะกระดกก้นชึ้น เพ็ญจิตก็คว้าแขนของเขาไว้ เห็นได้ชัดว่าไม่ยอมให้เขาไป “คุณภรรยา ผมคิดถึงคุณจังเลย แล้วผมก็เป็นห่วงเรื่องอาการบาดเจ็บของคุณด้วย นั่งรถนานขนาดนั้น บาดแผลมีตรงไหนที่ไม่สบายไหม?” สุวิทย์เห็นปสันน์ที่ถูกเพ็ญจิตยื้อให้นั่งไว้ก็ไม่สายใจ จึงทำได้เพียงแค่เปลี่ยนข้าง ลากเพ็ญจิตมานั่งที่แขนโซฟาแทน “ไม่มี แล้วฉันก็ไม่ได้โกรธด้วย เพียงแต่นี่มันดึกแล้ว คุณมีเรื่องด่วนอะไรนักหนาถึงได้ตามฉันมา?” เพ็ญจิตสูดลมหายใจเข้าลึก เลิกหัวขึ้นไปมองสุวิทย์ และพยายามปั่นหน้ายิ้มอย่างสุดกำลัง “งั้นก็ดี คุณภรรยา ถ้างั้นพรุ่งนี้ผมควรจะไปกราบพ่อตาแม่ยายอย่างเป็นทางการไหม” สุวิทย์เลื่อนแขนพสดไหล่เพ็ญจิต และถามขึ้นอย่างนุ่มนวล เพ็ญจิตได้ยินเข้า ก็รีบลุกขึ้นยืน พูดเอะอะเสียงดัง : “ไม่ได้” “คุณภรรยา ผมควรจะได้พบคุณพ่อตาแม่ยายตั้งแต่เมื่อห้าปีที่แล้วแล้ว โบราณว่ากันว่าลูกเขยจอม อัปลักษณ์ยังต้องพอหน้าพ่อตากับแม่ยายบ่อยๆ แล้วลูกเขยหน้าตาอย่างผมนี่ก็คงผ่านไปได้ฉะลุยและคู่เราเนี่ยก็เหมาะสมกันดังกิ่งทองใบหยก” มือข้างหนึ่งของสุวิทย์ลูบไล้ใบหน้าตัวเอง พูดพลางยิ้มอย่างหลงตัวเอง “ใช่—ก็งั้นแหละ— วันนี้ฉันแนะนำท่านรองประธานกับพ่อแม่แล้ว ดังนั้นตอนนี้ยังเจอกันไม่ได้ รอหลังจากฉันค่อยๆ...ค่อยๆอธิบายกับพ่อแม่แล้วค่อยพบก็ยังไม่สาย” เพ็ญจิตอ้ำๆอึ้งๆ แม้ว่าเหตุผลจะฟังดูไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าใด แต่ก็เป็นเรื่องจริง “ใข่ครับ บอส ผมต้องขอโทษด้วยครับ วันนี้ผมไปพบคุณอุดมกับคุณวาสนาแทนคุณมาแล้ว แล้วพวกเขาก็พอใจกับลูกเขยอย่างผมด้วย” ปสันน์รับคำต่อจากเพ็ญจิตเพื่อเป็นการยีนยันอีกเสียง หลังสุวิทย์ได้ยินเข้าก็โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ตวาดเสียงเป็นการเตือนปสันน์ : “ปสันน์ ฉันแค่ให้นายมาส่งเพ็ญจิต ไม่ได้อนุญาติให้เป็นแฟนของเพ็ญจิต” “ขอร้องแหละครับบอส คุณอย่าเพิ่งโทษนั่นนี่ไปทั่ว ผมไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย ผมแค่เข้าไปในบ้านวงศ์อัจฉรา คุณวาสนาก็ใช้สายตาราวกับแม่ยายมองลูกเขยจ้องมาที่ผมแล้ว” ปสันน์ยอมสารภาพบาป เมื่อเห็นสายตาอาฆาตของสุวิทย์มองมาที่ตน เนื้อตัวก็สั่นเทาเล็กน้อย รีบพูด : “แต่ว่าไม่เป็นไรหรอกครับ พี่ชายของเพ็ญจิตรู้ว่าผมเป็นตัวปลอม ถ้าหากคุณอยากเจอพ่อตาแม่ยายจริงๆ ผมเชื่อว่า...” “หุบปาก ปสันน์ นายออกไปก่อน ฉันกับเพ็ญจิตก็เรื่องต้องคุยกันสักหน่อย” สุวิทย์จ้องปสันน์ตาเขม็ง เห็นท่าทางเขาไปได้มีความคิดจะออกไปเองเลยสักนิด จึงออกปากไล่เจ้าตัวด้วยตัวเอง “ไม่เอาหน่านายท่าย ท่านมีสาวแล้วก็ถึงกับไม่เอาพี่เอาน้องเลย ที่นี่คือโรงแรม คุณไม่สามารถให้ผมไปยืนคาดโทษอยู่ข้างนอกได้หรอกหน่า อย่างมากที่สุดผมคงทำได้แค่เดินเข้าไปข้างใน” ปสันน์พยายามบรรเทาสถานการณ์ตรึงเครียด ทำหน้าทะเล่นแลบลิ้นปริ้นตา “นายก็ไปเปิดอีกห้องสิ คืนนี้ฉันจะคุยกับเพ็ญจิตทั้งคืน นายนอนไปก่อนเลย” สุวิทย์ไม่เกรงใจ“ห๊ะ! บอสครับ แบบนี้ไม่ดีนะครับ ถึงพวกคุณจะเป็นสามีภรรยากันแต่ผมคิดว่าเพ็ญจิตเธอดูเหมือน...”“หุบปาก! --” ยากนักที่เพ็ญจิตกับสุวิทย์จะพูดออกมาพร้อมกัน“ก็ได้ ผมเป็นคนเข้าใจอะไรง่าย ไม่เป็นกขค.ความรักของพวกคุรหรอก งั้นผมไปพักผ่อนก่อนนะ” ปสันน์เดินหัวเราะคิกคักไปยังประตู “ปสันน์ คุณห้ามไปเด็ดขาด” เพ็ญจิตแผดเสียงเรียกอยู่ด้านหลังเขา ร่างกายของปสันน์ถึงกับหบุดชะงัก และค่อยๆหันหน้ามามองเพ็ญจิต ทำหน้าตาเว้าวอน : “คุณผู้หญิงครับ...ผม...นายท่านไม่อยากให้ผมอยู่ที่นี่” “นายไม่บอกว่าจะพาฉันไปไซบีเรียหรอกหรอ?” เพ็ญจิตใช้คำพูดที่มีเพียงปสันน์เท่านั้นถึงจะเข้าใจ“คุณผู้หญิง...ผม” ปสันน์แสดงทีท่าราวกับจะร้องไห้ และในตอนนี้สุวิทย์เองก็ดันจ้องมาอีก “นายท่าน หากมกับคุณเพ็ญจิตไม่กลับไปคืนนี้ คุณลุง คุณป้าคงไม่สบายใจแน่ๆครับ” เมื่อได้ยินเพ็ญจิตพูดคุกคามอย่างเป็นนัยๆ ปสันน์จึงค่อยๆหมุนตัวและเดินกลับมาอย่างช้าๆ“ใช่แล้ว วิทย์คะ เรื่องที่จะไปเจอพ่อกับแม่ฉันไว้ค่อยว่ากันทีหลังเถอะค่ะ หรือไม่ก็ พรุ่งนี้คุณกับรองประธานกลับกันไปก่อนเลย แม่ของฉันอยากให้ฉันอยู่เป็นเพื่อนเธออีกนานๆสักหน่อย ดังนั้นโปรดอนุญาติให้ฉันลางานสักเดือนนะคะ” เพ็ญจิตกับปสันน์เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย อยากจะทำให้สุวิทย์หลงกลเปลี่ยนใจ จริงๆแล้วตอนที่ออกจากบ้านมา เพ็ญจิตไม่เตรียมมาว่าจะถูกทิ้งให้อยู่กับสุวิทย์ตามลำพัง เพียงแต่เมื่อได้ยินคำของปสันน์ ก็มิอาจควบคุมตนเองมิให้เผลอคิดไปได้ เขากลัวว่าจะไม่อาจควบคุมตนเองไม่ให้เอ่ยปากถามสุวิทย์ได้ อาจเผลอถามเขาว่าทำไมในปีนั้นถึงได้ยอมตกลงจดทะเบียน อาจถามว่าเขากับรักแรกคนนั้นได้ติดต่อกันอีกบ้างหรือเปล่า หรือถึงขั้นอาจถามว่า เขารู้สึกกัลตัวเองบ้างสักนิดหรือไม่ เธอมีคำถามเต็มไปหมด ไหนจะทั้งความกังวลและความกลัวอยู่หน่อยๆ กลัวว่าเรื่องของลูกๆจะถูกเปิดเผย กลัวว่าจะเสียลูกไปคนใดคนหนึ่งไป หรืออาจจะทั้งสองคน “อือ อือ แล้วไงต่อ? บอกผมได้นะ พวกคุณกำลังเล่นใบ้คำอะไรกันอยู่หรอ?” สุวิทย์ไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด เมื่อวานพวก เขายังดีๆกันอยู่ แต่ยังไม่ทันจะพ้นสิบกว่าชั่วโมง เพ็ณจิตถึงกับเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนอีกคน เขารับสภาพเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของเธอไม่ได้ มันทำให้เขาไม่สบายใจ และรู้สึกเหมือนกับกำลังจะสูญเสีย “วิทย์คะ วันนี้ฉันนั่งรถแต่เช้า ตกบ่ายก็ไปเดินเล่น ฉันเหนื่อยมากแล้วจริงๆ หรือไม่ก็ พรุ่งนี้ฉันจะลองอธิบายกับคุณพ่อคุณแม่ดู ถึงตอนนั้นคุณค่อยไปบ้านฉัน” เพ็ญจิตก่ายหน้าผาก ในตอนนี้ หัวของเธอมันปวดตึบๆไปหมด “บอส คุณอย่าเข้าใจผิดไป มันไม่ได้มีแค่เราสองคนนะครับ ยังมีคุณอรรถพลอีก” ปสันน์เห็นสายตาของสุวิทย์กวาดมา จึงรีบพูดอธิบาย “เพ็ญจิต เมื่อห้าปีก่อน คุณหายไปกับเขาใช่ไหม?” สุวิทย์ได้ยินคำว่าอรรถพลสามพยางค์นี้ ก็อดนึกถึงเรื่องเมื่อห้าปีก่อนไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอยู่ในวันนี้ก็เป็นเพราะไอ้อรรถพลทั้งนั้น ถ้าหากตอนนั้นไม่ใช่เขาที่มาพรากเพ็ญจิตออกจากโรงแรมไป พวกเขาคงไม่แยกจากกัน ถ้าหากเขาไม่ได้พาเพ็ญจิตไปอเมริกา เขากับเธอคงไม่ต้องพลัดจากกันมาถึงห้าปี เขาเกลียดอรรถพล เกลียดที่เขาเป็นพี่ชายของเพ็ญจิต ตอนนี้พอเพ็ญจิตกลับบ้านไป เขาก็เอาแต่ตามติดอยู่ข้างกายเพ็ญจิต จุดประสงค์มันก็เห็นๆกันอยู่ชัดเจน สุวิทย์นึกเสียใจ เขาไม่น่าอนุญาติให้เพ็ญจิตลางานมาตั้งแต่แรก ไม่น่าให้เพ็ญจิตกลับบ้านมาตั้งแต่ทีแรกเลยจริงๆ “วิทย์ คุณรู้สึกไหมว่าตอนนั้นพวกเราแค่เล่นๆ?” เพ็ญจิตนั่งลง ราวกับกำลังรำลึกถึงความทรงจำเมื่อครั้นแรกเจอกับสุวิทย์ “ไม่ แม้ว่าตอนนั้นจะคิดว่าตัวเองคงเจอกับคนบ้าเข้าแล้ว แต่ผมเห็นความจริงใจ เห็นความปรารถนา ความปรารถนาที่จะ แต่งงาน ปรารถนาที่จะเป็นอิสระซึ่งสื่ออกมาจากแววตาของคุณ ไหนจะท่าทางของคุณในตอนนั้น คุณยังยืนกรานอยากจะแต่งงานกับผมให้ได้ พยายามพิสูจน์ว่าคุณไม่ใช่ผู้หญิงประเภทที่จะมองแค่รูปลักษณ์ภายนอก และก็ไม่ใช่ผู้หญิงประเภทที่จะแต่งงานกับชายหนุ่มรูปหล่อร่ำรวยมีหน้ามีตา ผมเชื่อว่าคุณจะเป็นภรรยาที่ดี ผมเชื่อว่าพวกเราจะต้องมีความสุข...” คำพูดของสุวิทย์กลับไม่ได้ทำให้เพ็ญจิตรู้สึกมีความสุข ในทางกลับกัน ในใจก็ยิ่งทวีความเจ็บปวด ปสันน์บอกว่าเมื่อห้าปีก่อนเป็นช่วงเวลาที่เขาหายตัวไปพอดี แต่ตอนนี้เขากลับพูดคำเหล่านี้ออกมา เห็นได้ชัดว่าไม่จริงใจ “วิทย์คะ ขอบคุณนะคะ ตลอดห้าปีมานี้ความเป็นจริงมันได้พิสูน์ให้เห็นแล้วว่าฉันไม่สามารถเป็นภรรยาที่ดีได้” เพ็ญจิตแสยะยิ้มอย่างขื่นขม เธอเคยคิดว่าพวกเขามีความรักซึ่งกันและกันมาโดยตลอด แต่ตอนนี้เพิ่งจะรู้ว่าความรักฟังดูแล้วอาจสวยงาม แต่กลับเป็นเพียงความขื่นขมทุกข์ทนทรมาน “เฮ้ บอสครับ คุณเพ็ญจิตครับ ผมว่าผมไปเปิดห้องนอนที่นี่สักคืนจะดีกว่า” ปสันน์ตระหนักได้ชัดว่าบรรยากาศมันดูแปลกๆ แต่เขากลับไม่มีสิทธิมีเสียง ต้องโทษที่เขาปากมากเอง เดิมทีความรักระหว่างสุวิทย์และเพ็ญจิตอาจมิได้มีตัวตนอยู่ แต่เพราะความขี้ซุบซิบนินทาของเขากลับส่งผลต่อหัวใจของเพ็ญจิตอย่างเห็นได้ชัด เพ็ญจิตมิได้ยอมหยุดลดละ เอาตามจริงๆแล้วตอนนี้จิตใจของเธอกำลังสับสนวุ่นวายมาก มีคำคำหนึ่งที่พูดเอาไว้ไม่มีผิด ยิ่งปรารถนาไว้มากเท่าใด ความผิดหวังก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น เธอโหยหาความรัก แม้ว่าตอนนั้นจะเป็นคนลากสุวิทย์มาจดทะเบียน แต่ภายในก้นบึ้งหัวใจ เธอยังคงโหยหาการแต่งงานที่มาจากความรัก ก็เหมือนกับที่สุวิทย์พูดเมื่อครู่ เธออยากแต่งงาน หลังจากปสันน์ไปแล้ว สุวิทย์เห็นเพ็ญจิตเงียบฉี่ไม่พูดไม่จา จึงดึงตัวเธอนั่งลง กุมมือของเธอพลางเอ่ยถามขึ้นราวกับกำลังปลอบประโลม : “เพ็ญจิต เป็นเพราะพ่อกับแม่ของคุณไม่ยอมให้เราคบกันใช่ไหม?” “ฉันยังไม่ได้พูดกับพวกเขา แล้วพ่อกับแม่ของฉันก็ไม่ได้พูดด้วย พวกเขาดูเหมือนจะลืมเรื่องเมื่อห้าปีก่อนไปแล้วด้วยซ้ำ หรือบางทีพวกเขาอาจคิดว่าเป็นแค่เรื่องตลกเรื่องหนึ่ง” เพ็ญจิตอยากจะชักมือออก ตอนที่พูดคำเหล่านี้ออกมาในใจก็รู้สึกปวดร้าว ยามนี้ เธอสับสนมาก ไม่รู้ว่าควรจะแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องต่อไปดีหรือไม่ หรือควรจะถามให้มันชัดเจนกันไปเลย “แต่พี่ชายของคุณจำได้ใช่ไหม? เพ็ญจิต มีอีกเรื่อง คุณไปอเมริกากับเขาเมื่อห้าปีก่อนแล้วต่อมาทำไมถึงได้ไปอิตาลีแค่เพียงลำพัง?” สุวิทย์จ้องมองเพ็ญจิต สังเกตุเห็นว่าเมื่อพูดถึงอรรถพล เพ็ญจิตกลับมีท่าทางต่างตากออกไป โดยฉพาะเมื่อพูดถึงเรื่องเมื่อห้าปีก่อน “ฉันเรียนเรื่องการออกแบบเสื้อผ้า ไปเรียนที่อิตาลีจะค่อนข้างดีกว่า” “ปารีสดีกว่าไม่ใช่หรอ? เพ็ญจิตพวกเราเป็นสามีภรรยากันนะ มีเรื่องอะไรก็บอกมเถอะ ให้ผมได้ช่วยแบ่งเบาภาระของคุณบ้างดีไหม?” มือข้างหนึ่งของสุวิทย์กดหัวของเพ็ญจิตให้เธอซบลงบนไหล่ของตน “จริงๆแล้ว ฉันตามหาแม่มาโดยตลอด วิทย์ ฉันอยากลาออก” เพ็ญจิตพูดด้วยความยากลำบาก “คุณมีร่องรอยของแม่แล้ว?” สุวิทยิ์นิ่ง ประหลาดใจเล็กน้อย พบเจอกันมานานถึงเพียงนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ เพ็ญจิตพูดถึงแม่ “ใช่ค่ะ แม้ฉันจะถูกทอดทิ้งมาโดยตลอด แต่วันนี้หลังจากเจอกับครอบครับแล้ว ฉันก็ตัดสินใจจะไปเจอเธอ อย่างน้อยฉันอยากจะรู้ว่าทำไมเธอถึงทิ้งฉันไปในปีนั้น” เพ็ญจิตชักมือออก เขยิบเลื่อนไปทางขวามือ “คุณภรรยา วันนี้ครอบครับของคุณพูดอะไรบางอย่างใช่ไหม? หรือว่าพี่ชายของคุณพูดอะไร? พวกเราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรอว่าจะเริ่มต้นกันใหม่?” สุวิทย์ไม่ได้ฝืนอีกต่อไป เขาปล่อยเธอและลองถามหาคำตอบ เขาตั้งหน้าตั้งตารอการแต่งงานครั้งนี้ แต่เพ็ญจิตกลับเปลี่ยนไปมากถึงขนาดนี้ แสดงให้เห็นได้ชัดว่าภายในกี่ชั่วโมงนี้คงมีเรื่องอะไรที่เขาไม่รู้เกิดขึ้นแน่ๆ “วิทย์คะ ฉันขอโทษ เมื่อห้าปีก่อน ฉันลืมถามคำถามคุณไปหนึ่งข้อ ก่อนที่พวกเราจะจดทะเบียนกัน คุณ...คุณ...” เพ็ญจิตอ้ำอึ้งพูดไม่ออก เธอรู้สึกอยู่ตลอดมาคำถามนี้มันออกจะดูผิดสังเกตุไปเสียหน่อย เมื่อเห็นทีท่าของเพ็ญจิตเป็นเช่นนี้ สุวิทย์ก็พอจะเข้าใจ จึงพูดต่อจากเพ็ญจิต: “คุณอยากจะถามว่าผมมีแฟนหรือเปล่า ใช่ไหม?” “ตอนนั้นฉันยังเด็กมากจริงๆ ถึงกับลืมถามคุณไปได้ จริงๆแล้วคุณหล่อขนาดนี้ ฐานะก็ดี ตามจริงก็ควรจะพูดแฟนแล้วถูกไหม ? ” เพ็ญจิตฝืนยิ้มอย่างไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่รู้ว่าขะวางมือไม้ไว้ตรงไหน
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 56 เมื่อห้าปีก่อนเป็นแค่เรื่องเล่นๆใช่ไหม
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A