ตอนที่ 57 คุณภรรยา คุณนี่มีพรสวรรค์เรื่องทำให้คนกลายเป็นบ้าจริงๆ   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 57 คุณภรรยา คุณนี่มีพรสวรรค์เรื่องทำให้คนกลายเป็นบ้าจริงๆ
ต๭นที่ 57 คุณภรรยา คุณนี่มีพรสวรรค์เรื่องทำให้คนกลายเป็นบ้าจริงๆ “ฮ่าๆ คุณภรรยา คุณเพิ่งมาถามคำถามนี้หลังจากผ่านไปห้าปีไม่รู้สึกว่ามันสายไปหน่อยหรอ?” สุวิทย์หัวเราะ ดูออกว่าเพ็ญจิตกำลังกังวล จึงลุกขึ้นไปหยิบขวดน้ำออกมาจากตู้เย็น เปิดแล้วก็ส่งให้เพ็ญจิต “ไม่...คงไม่สายไปหรอก พสกเราแค่จดทะเบียนกัน แล้วก็รู้จักกันแค่สามวัน หากจะหย่ากนตอนนี้ เธอ...เธอก็น่าจะไม่รู้หรอก”มือไม้ของเพ็ญจิตสั่นระริก ความเจ็บปวดผุดทิ่งแทงขึ้นมาในใจ ไท้เพียงแต่เป็นเพราะว่าสุวิทย์มีผู้หญิงอยู่แล้ว แต่ยิ่งเป็นเพราะเขาไม่เคยพูดถึงเธอเลยต่างหาก “ผมออกจะหล่อขนาดนี้ ฐานะก็ดีอีก คุณจะยอมปล่อยผมไปได้หรอ?”ทั้งๆที่รู้ดีอยู่ว่าในใจของเพ็ญจิตไม่อาจรับได้ สุวิทย์กลับยังจงใจพูด “อะไรที่เป็นของฉันก็เป็นของฉัน อะไรที่ไม่ใช่ก็จะไม่ฝืน สุวิทย์ ไม่สิ ท่านประธาน ตอนนั้นพวกเราจัดการจดทะเบียนกันที่นี่ ตอนนี้ก็หย่ากันที่นี่เถอะ ไม่มีใครรู้หรอก” เพ็ญจิตพูดไปก็กระดกน้ำเข้าปากอย่างดุดัน อยากจะให้ตนเองสงบอารมณ์ลงได้บ้าง “อือ ก็ไม่เลวหนิ ถ้างั้นได้หยิบทะเบียนสมรสมาหรือเปล่าล่ะ?”สุวิทย์หยิบขวดน้ำเปล่าออกจากมือของเพ็ญจิต เงยหน้าดื่มน้ำกรอกๆ อันที่จริงแล้วตอนนี่เขาโกรธเพ็ญจิตตนอยากจะฟัดเธอให้ตาย ผู้หญิงซื่อบื้อคนนี้คิดได้แต่เรื่องไร้สาระไปเรื่อย หรือว่าจะดูไม่ออกจริงๆว่าเขากำลังโกรธอยู่ ? สุวิทย์คิดไม่ถึงว่าเธอจะถือเป็นจริงเป็นจัง คิดไม่ถึงว่าเธอจะพกทะเบียนสมรสติดตัวมา และถึงขนาดหยิบมันออกมาจากกระเป๋า “มี คุณก็พกมาใช่ไหม” สุวิทย์กัดฟัน เมื่อครู่นี้ยังพอใช้คำว่าโกรธมาอธิบายได้ แต่ตอนนี้...คงต้องใช้คำว่าเป็นบ้ามาอธิบายแทนเสียแล้ว เขาใช้แรงคว้าทะเบียนสมรสเล่มน้อยๆสีแดงๆจากในมือของเพ็ญจิต และฉีกมันออกเป็นเสี่ยงๆอย่างบ้าคลั่ง พอเห็นใบหน้าน้อยๆที่มุ่งมั่นจริงจังของเพ็ญจิตนั้นแล้ว เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะโยนเธอออกไปข้างนอกหรือจะกดเธอและครอบครองเธออย่างดุเดือดเผ็ดมันแทนดี ทำให้เธอได้รู้เสียบ้างว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่ใช่แค่เพียงทะเบียนสมรสเล็กๆเพียงสองเล่ม เขาเปล่งเสียงอย่างยากลำยากผ่านช่องฟันมาหนึ่งประโยค : “คุณอย่าบอกผมนะว่าในห้าปีนี้ คุณพกทะเบียนสมรสติดตัวไว้ตลอดเพื่อที่จะหาทางหย่า?” เพ็ญจิตค่อยๆใจเย็นลงและฟังออกถึงความเดือดดาลร้อนแรงดั่งไฟของสุวิทย์ เธออยากจะอธิบายทว่าพออ้าปากก็กลับพูดไม่ออกเสียได้นี่ ตามจริงแล้วนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลจริงๆ “เพ็ญจิต ผมจะบอกให้นะว่าคุณกำลังฝันอยู่ ทั้งชีวิตนี้ผมไม่มีทางหย่าให้เป็นอันขาด” สุวิทย์เขยิบเข้าใกล้เพ็ญจิต ฝ่ามือพาดอยู่ด้านหลังโซฟา เชิดหน้าผากของเพ็ญจิตพลางพูดประกาศ ในหูของเพ็ญจิตดังอื้ออึงไปหมด เผลอหลุดพูดไปโดยไม่ทันคิด : “ง...งั้นแฟนสาวรักแรกของคุณล่ะจะทำยังไง?” ในความเป็นจริงเมื่อได้ยินสุวิทย์พูดเช่นนี้ เมื่อได้ยินสุวิทย์ป่าวประกาศเช่นนี้ ในใจของเธอกลับรู้สึกตื่นเต้นอยู่หน่อยๆ จึงพลั้งปากเผลอพูดเรื่องแฟนสาวรักแรกคนนั้นที่คอยกวนใจเธอออกไปอย่างมิได้ตั้งใจ “แฟนสาวรักแรก? ปสันน์ ไอ่เฮงซวยนี่” เมื่อสุวิทย์ได้ยินคำว่าแฟนสาวรักแรกก็เข้าใจขึ้นมาทันที จึงแผดเสียงตะวาดดังลั่นด้วยความโกรธ เพ็ญจิตตกใจจนมือสองข้างป้องหู เขาเข้ามาใกล้เกินไปและเสียงก็ยังดังถึงเพียงนี้ หูของเธอเหมือนจะรับไม่ไหวแล้ว ทว่าเมื่อสุวิทย์แผดเสียงคำว่าอรรถพลสามคำนี้ออกมา เพ็ญจิตก็โง่ไปไม่เป็นกันเลยทีเดียว ไม่นานมานี้เธอเพิ่งจะสัญญากับปสันน์เอาไว้ว่าจะรูดซิปปิดปากให้สนิท แต่ตอนนี้กลับเผลอพูดออกไปอย่างโง่ๆเสียได้ แย่แล้ว หวังว่าสุวิทย์จะไม่ย้ายปสันน์ไปประจำสาขาที่ไซบีเรียหรอกนะ เมื่อนึกถึงใบหน้าเว้าวอนของปสันน์ เพ็ญจิตจึงคิดว่าตนต้องทำอะไรสักอย่าง ดังนั้นจึงเท้ามือกับโซฟาแล้วลุกขึ้นยืนแกล้งทำเป็นโมโหกับสุวิทย์บ้าง : “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับปสันน์ อันที่จริงแล้ว หากคุณไม่ได้อยากให้ฉันเป็นภรรยาจริงๆ คุณก็น่าจะบอกฉันสิ” “โอเค ที่แท้แล้วคืนนี้ที่คุณงอนแบบนี้ก็เป็นเพราะเหตุผลนี้นี่เอง งั้นคุณอยากจะรู้อะไรอีก? พูดมาตรงๆเลย ไม่ต้องอ้อมไปอ้อมมา แล้วก็ไม่ต้องงอนอีก” สุวิทย์โมโห ตอนนี้เขาโกรธจนอยากจะอัดปสันน์แรงๆสักยก แต่ก็อย่างว่า เรื่องเหล่านี้เขาตวรจะเป็นคนบอกเพ็ญจิตด้วยตัวเอง ไม่ใช่ผ่านจากปากของปสันน์ “พวกคุณรักกันมากเลยใช่ไหม?” เพ็ญจิตไม่รู้ว่าจะถามอะไร แต่ในเมื่อสุวิทย์ก็พูดออกมาแล้ว ถ้างั้นก็ควรจะพูดอะไรสักอย่าง “ก็ถึงขั้นคุยถึงจะตบจะแต่งกันแล้ว คุณคิดว่ามากหรือไม่มากล่ะ?” สุวิทย์จงใจยั่วโมโหเพ็ญจิต คำพูดแต่ละคำล้วนตรงไปตรงมา “งั้น—เธอคงไม่รู้สินะ? ถ้าเกิดว่าจำเป็นล่ะก็ ฉันสามารถอธิบายให้ได้นะ” หัวใจของเพ็ญจิตพังสลาย แต่ยังฝืนกล่อมตัวเองว่าไม่เป็นอะไร “ดีมาก ไว้กลับไปคราวหน้าคงต้องรบกวนคุณจริงๆแล้ว” สุวิทย์ต้องเพ็ญจิตด้วยสายตาอำมหิต ผู้หญิงคนนี้นี่น่าหมั่นไส้เสียจริงๆ “แน่นอน หากท่านประธานไม่มีเรื่องอะไรแล้ว งั้นฉันขอตัวกลับก่อน” มือของเพ็ญจิตเท้าโซฟาไว้ เธอกลัวว่าหากเธอปล่อยมือออกตนจะยืนไม่อยู่ นับว่าเป็นการจากกันด้วยดี เพ็ญจิตตัดสินใจซ่อนเร้นทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในใจ เธอไม่สามารถทำลายงานแต่งของใครได้เป็นอันขาด “หยุดเดี๋ยวนี้ เพ็ญจิต คุณคิดว่าผมสุวิทย์คนนี้เป็นคนยังไงกัน? คุณคิดว่าทำไมตอนนั้นผมถึงยอมจดทะเบียนกับคุณ? แค่เล่นๆกับคุณ? หาความสดใหม่?” อารมณ์ของสุวิทย์ปะทุเดือดดาล ไม่นึกเลยว่าเพ็ญจิตจะ “ใจกว้าง”ได้ขานดนี้ “คุณเป็นคนดี ตอนนั้นที่คุณช่วยขจัดเรื่องร้อนรนของฉันในคราวนั้น ต้องขอบคุณมากๆนะคะ” เพ็ญจิตยืนหยุดอยู่กับที่จริงๆ ซ้ำยังโค้งคำนับให้เขาอีก “ผู้หญิงอย่างคุณนี่มัน ใจคอจะทำให้ผมโกรธตายไปเลยใช่ไหม?” สุวิทย์ก้าวเข้าไปจับไหล่ทั้งสองข้างของเพ็ญจิต รีบพูดขึ้นอย่างลนลาน “ไม่ค่ะ แม้ว่าวันเวลาที่เราอยู่ด้วยกันมันจะสั่นน้อยนิด แต่ฉัน...อุบ...” เพ็ญจิตคิดอยากจะกล่าวคำอำลาให้จากกันด้วยดีเสียหน่อย ไม่นึกเลยว่าสุวิทย์จะรีบอุดปากของเธอไว้ก่อน เดิมทีเพ็ญจิตมีความคิดที่อยากจะผลักไสรสจูบอันดูดดื่มลึกซึ้งของเขามิให้ลุกล้ำไปมากกว่านี้ แต่ดันแลกลิ้นตอบสนองรสจูบเขาไปโดยสัญชาตญาณ ไม่รู้ว่ามือที่เคยเอาแต่สลัดต่อสู้ไปโอบคอของเขาอยู่ตั้งแต่เมื่อใด มือข้างหนึ่งกำลังลูบไล้ลำคอของเขา อีกข้างหนึ่งก็สอดแทรกเข้าไปในไรผมโน้มให้เขาเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้นอย่างมิได้ตั้งใจสูญเสียการควบคุมจนแค้นจูบอย่างลึกซึ้งอย่างหยุดไว้ไม่ไหว คำพูดของสุวิทย์ทำให้เธอเจ็บปวด เจ็บปวดหัวใจมาก แต่ในขณะเดียวกันความรู้สึกที่อดกลั้นไว้ได้ปลดปล่อยเป็นอิสระท่ามกลางความรวดร้าว เธอไม่ได้คิดถึงเรื่องลูกๆอีกต่อไป และก็ไม่ได้คิดถึงแฟนสาวผู้เป็นรักแรกของสุวิทย์อีกเช่นกัน ในวินาทีนี้ เธอแค่อยากเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุดเท่านั้นเอง ร่างกายบิดพริ้วไปตามรสจูบอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวพลางสัมผัสลูบไล้เขาอย่างอ่อนช้อยอรชร สุวิทย์จับเธอทุ่มลงบนโซฟา อุณหภูมิภายในห้องสูงขึ้นไม่หยุด ลมหายใจร้อนผ่าวอุ่นครุอยู่รอบๆกันและกัน เสียงหืดกระหอบดังต่อเนื่องเป็นระลอกอยู่ภายในห้อง แต่ละระลอกๆช่างกำกวมยั่วยวนใจ รอยจูบของสุวิทย์ค่อยๆผละออกจากปากของเธออย่างช้าๆ รสจูบของปากอันร้อนรุ่มเคล้าคลอที่ปลายคางไล่ไปตามซอกคอจนจูบลงบนไหลไปตามกระดูกไหปลาร้า ฝ่ามือใหญ่ๆที่เหมือนจะมือเปลวไฟลุกโชนปลดเสื้อชั้นใน คว้าเอาเสท้อท่อนบนของเธอผละตกลงมาจากไหล่ ไหล่กลมชาวเนียนค่อยๆประจักษ์ต่อดวงตาสีนิลคู่นั้นที่นัยน์ตาดำแทบจะไหลยอดย้อยทะลักออกมา จนเขากลืนน้ำลายในลำคอ มืออีกข้างหนึ่งก็ทะลวงสอดแทรกเข้าไปในร่มผ้าและถกเสื้อของเธอขึ้นอย่างมิรอช้า สุวิทย์เลิกหัวเล็กน้อยจ้องมองไปยังความอ่อนช้อยที่เคยคุ้น พินิจมองใบหน้าเล้กๆที่แดงระเรื่อด้วยความปรารถนา “คุณภรรยา คุณนี่มีพรสวรรค์เรื่องทำให้คนเป็นบ้าจริงๆ” เขาพูดด้วยเสียงแหบแห้ง สุวิทย์มองสีหน้าอันเหม่อลอยของเพ็ญจิต มืออีกข้างหนึ่งก็กดไหล่เชิดหน้าของเธอขึ้น ค่อยๆก้มหัว จูบลงบนริมฝีปากของเธออย่างอ่อนโยน มิได้เร่าร้อนป่าเถื่อนเหมือนเมื่อครู่ เขาค่อยๆกลืนกินริมฝีปากของเธอ และดูดดื่มอย่างละมุนและนุ่มนวล ด้วยความรักอันอาลัยอาวรณ์ ความพออกพอใจอย่างเบาบาง ทำเอาสตินึกคิดของเธอค่อยๆมะลายหายไป เธอบิดกายอย่างมิรู้ตัว มือทั้งสองโอบอยู่บนคอของเขา ปล่อยกายพัวพันไปตามจังหวะลิ้นของเขา ความเร่าร้อนในตัวของเพ็ญจิตทำให้สุวิทย์ไร้ความควบคุมไปทีละนิดๆ รสสัมผัสอันอ่อนโยนค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นกระชั้นรวดเร็วในช้าๆ ลมหายใจของทั้งคู่ค่อยๆหนาชันจนผสานเช้าหากัน และต่างเริ่มมิพอใจกับการปลอบประโลมอย่างไม่ถูกชุดเช่นนี้ รสจูบบนริมฝีปากยิ่งนานเข้าก็นิ่งหยาบโลนบ้าคลั่งมากขึ้น ลิ้นทะล้วงอย่างเร่าร้อย ร่างกายทั่งสองแนบประชิดติดกันยิ่งขึ้น เขารัดตัวเธอแน่น ส่วนเธอเองก็โอบกอดเขาไว้มิคลายเช่นกัน มือทั้งสองข้างซอกไซ้กอดเกี่ยวราวกันจะสิงร่างกันก็มิปาน เสื้อผ้าอาภรณ์ต่างถูกม้วนพับเป็นก้อนเดียวกัน ผมเพ้าที่เคยเรียงสลวยเป็นระเบียบกลับหลุดรุ่ยกระเซอะกระเซิง ความปรารถของต่างฝ่ายต่างแปดเปื้อนจนแดงฉานชะอุ่มอยู่บนหน้า ช่างเซ็กซี่เย้ายวนใจ รางสูงใหญ่ของสุวิทย์มิรู้ว่าจะขัดเข้าในโซฟาอย่างไรดีจึงเอาแต่กดร่างของเพ็ญจิต ด้านหนึ่งก็แลกลิ้นพัวพันยุ่งเหยิงอยู่กับเธออย่างขาดสติ ฝ่ามือใหญ่ๆอีกด้านหนึ่งก็จับฉีกเสื้อแสงของเธอ มือของเพ็ญจิตเองก็ฉีกเปลื้องเสื้อผ้าบนตัวเขาออกอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่ไม่ว่าจะฉีกอย่างไรก็ฉีกไม่ออกสักที ฝ่ามือเลยล้วงเข้าไปในร่มผ้าเสียเลยโดยตรง ร่อนเร่ไปทั่วแผ่นอกหนาแน่นอย่างมิตั้งใจแล้วเลื่อนไถลลงจนเจอกระดุมกางเกงของเขา และกะจะปลดมันออกโดยมิรู้ตัว แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกังวลหรืออะไรกันแน่ ไม่ว่าจะปลดเท่าไหร่ก็ปลดไม่ออก ฝ่ามือจะล้วงทะลวงเข้าไปจากเนวสะเอวของเขา... สัมผัสอันโอนอ่อนราบลื่นร่อนเร่ไปทั่วทำให้ลมหายใจของสุวิทย์ยิ่งกระหืดหอบ และปล่อยตัวเธอเล็กน้อย นัยน์ตาดำที่หวานหยาดเยิ่มราวน้ำหมึกไหลย้อยกวาดมองไปทั่วร่าง มองฝามือทั้งสองข้างที่ดึงรั้งงอยู่ที่สะเอวอย่างไม่รู้ตัว เขาเปล่งเสียงแหบแห้งข้างหูเธอ : “คุณภรรยา ช้าๆก็ได้” “ฮื่อ...” เสียงที่แฝงความขำขันของสุวิทย์ทำให้สติของเพ็ญจิตหวนกลับคืนมาภายในพริบตา สังเกตุเห็นมือของตนที่เหมือนกับกำลังล้วงเจาะไปยังที่หนึ่งอย่างมุ่งมั่นมิคลาย ใบหน้าก็ร้อนจี๋จนจะลุกเป็นไฟ ทันใดนั้นก็เหมือนถูกลวกจนต้องปล่อยมือออกในทันที นัยน์ตาที่ส่องประกายแวววับคู่นั้นกรอกม้วนหลุกหลิกยุ่งเหยิง เขินอายจนไม่กล้ามองไปที่เขา “เอ่อ เอ่อ....คุณลุกขึ้นก่อนเถอะ” เพ็ญจิตเอ่ยปากพูดติดๆขัดๆ ในขณะที่มือทั้งสองข้างบักแผ่นอกแน่นชัดเจนของเขา เสื้อผ้า อาภรณ์ของเธอถูกเขาฉีกสะบัดออกไปตั้งนานแล้วจนเหลือแต่เสื้อชั้นในที่ขาดสะบิ้งหลุดๆรุ่ยๆ จนไม่อาจอำพรางความเซ็กซี่ได้อยู่ พร้อมที่หลุดลงมาจากกายเธอได้ทุกเมื่อ เนื้อหนังอันขาวนวลเปอะเปื้อนสีชมพูจางๆอันน่ายั่วยวน สุวิทย์จ้องมองนัยน์ตาสีนิลของเธอที่ค่อยๆทวีความเงียบงัน ฝ่ามือใหญ่ค่อยๆคลายเนื้อผ้าที่แขนวหลุดรุ่ยเพียงชิ้นเดียวอยู่บนร่างออก ร่างกายบีบเข้าหาขาทั้งสองข้างของเธอ เจ้าก้อนแข็งที่ร้อนระอุดันเข้าใกล้ความนุ่มนิ่มของเธอ ดวงตาที่ลุกโชนราวกับดวงไฟจ้องมองนัยน์ตาลึกของเธออย่างสุดไสว ฝ่าทืออีกข้างหนึ่งลูบไล้ใบหน้าของเธอ เสียงต่ำแหบแห้งราวกับถูกอะไรสักอย่างติดอยู่ที่ลำคอ “คุณภรรยา ได้ไหม?” เจ้านั่นที่เคลือบคลานอยู่ด้านล่างทำให้หน้าเพ็ญจิตยิ่งแดงก่ำ เศษซากสติที่หลงเหลืออยู่บอกกับเธอว่าไม่ได้ พวกเขาจะหย่ากันแล้ว หากวันนี้เธอฉลาดพอ ก็ไม่ควรมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกันทางร่างกายเนื้อหนังกับเขาอีก ทว่าการรอคอยอันยาวนานถึงห้าปี ในใจอักแน่นไปด้วยความถวิลหาซ้ำยังลุกโชนราวกับจะเผาเธอจนมอดไหม้ โดยเฉพาะเมื่อเวลาที่เธอเห็นเม็ดเหงื่อที่รินไหลเป็นท่าเพราะความอดกลั้นบนหน้าผากของสุวิทย์ และใบหน้าที่เจ็บปวดเพราะฝืนทนความปรารถนานั้น หัวใจอ่อนระทวย ใบหน้าแดงก่ำค่อยๆพยักหัว “อือ” 
已经是最新一章了
加载中