ตอนที่ 65 แม่เลขาเป็นคนรับโทรศัพท์ของสุวิทย์   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 65 แม่เลขาเป็นคนรับโทรศัพท์ของสุวิทย์
ต๭นที่ 65 แม่เลขาเป็นคนรับโทรศัพท์ของสุวิทย์ หลังจากปสันน์กลับถึงบ้าน ก็ยิ่งไม่ไม่สบายใจ จึงรีบต่อสายหาเพ็ญจิตทันที “เพ็ญจิต เธอกลับบ้านแล้วหรือยัง?” “กลับมาแล้ว ท่านรองมีอะไรหรือเปล่า?” น้ำเสียงของเพ็ญจิตดูแปลกไปมากอย่างเห็นได้ชัด ปสันน์กระแอมคอ เปล่งเสียงพูดอย่างไม่สบายใจ “อันที่จริงก็ไม่มีอะไร เมื่อกี้เห็นสีหน้าเธอไม่ค่อยดี เพ็ญจิต เมื่อกี้เธอ เข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า?” เพ็ญจิตประหลาดใจ: “เอ่อ—ท่านรอง คุณกำลังพูดอะไร? ฉันแค่เห็นว่าสุวิทย์กำลังยุ่งๆอยู่ เลยไม่อยากรบกวน” “อ่อ งั้นก็ไม่เป็นอะไร เธอพักผ่อนเถอะ ฉันยังมีเรื่องต้องจัดการอีก” ทั้งๆที่รู้ว่าเพ็ญจิตกำลังพูดโกหก ปสันน์กลับไม่สามารถซักไซร้ได้ต่อ หากเพ็ญจิตเปิดอกยอมรับอย่างตรงๆ เช่นนั้นก็ไม่เป็นอะไร แต่เพ็ญจิตกลับอยากปิดบังไว้ ครั้งนี้เป็นปัญหาใหญ่ของวิทย์ ช่างเถอะ เขาขี้เกียจจะยุ่ง อย่างไรๆ มันก็เป็นเรื่องระหว่างสามีภรรยา หากสุวิทย์อยากจะจับปลาสองมือ เชื่อว่าเขาก็คงสามารถหาทางออกได้เอง ทำไมเขาจะต้องมานั่งเหนื่อยใจด้วยเล่า เพ็ญจิตจดหมายลาออกจ้องแล้วจ้องอีก จนสุดท้ายก็เซ็นต์ชื่อตนเองลงไป หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น เธอก็เริ่มเก็บกระเป๋า กลับมาหลายเดือนก็ถึงเวลาที่ตะหลับไปดูลูกๆได้เสียที หลังจากเก็บกระเป๋าเรียบร้อย เธอก็โทรศัพท์ไปจองตั๋วกับสายการบิน เพียงแค่เที่ยวบินวันนี้เพิ่งออกไปได้ไม่นาน เลยต้องรอบินวันพรุ่งนี้แทน นั่งลงบนโซฟา ในใจของเธอยังนึกอาลัยอาวรณ์อยู่หน่อยๆ ไม่อยากยอมแพ้ เธอตัดสินใจโทรถามสุวิทย์ด้วยตัวเอง เพื่อเป็นการให้โอกาสตัวเองอีกสักครั้ง เพ็ญจิตโทรเข้าเครื่องของสุวิทย์ แต่สุวิทย์กลับไม่ได้รับสาย เพ็ญจิตโทรอยู่สามหน แต่สุวิทย์ล้วนไม่รับโทรศัพท์เลยสักครั้ง จ้องมือถือ เพ็ญจิตตัดสินใจปิดเครื่อง หากก่อนหน้านี้เป็นตัวเธอที่คิดมากเกินไป ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ เธอก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่คิดเพ้อเจ้อแล้ว ขนาดโทรติดตั้งสามครั้งสามครา แต่กลับไม่ยอมรับสาย หากไม่ใช่เพราะมีชนักติดหลังแล้วจะเรียกกว่าอะไร? เพ็ญจิตลากกระเป๋าเดินทางตรงไปที่สนามบิน แม้ว่าจะกลับอิตาลีไม่ได้ แต่กลับไปอเมริกาได้ ไปอเมริกา ตามหาแม่ก่อนก็ดีเหมือนกัน หลังจากถึงสนามบินซื้อตั๋วเรียบร้อยแล้ว ยังมีเวลาก่อนขึ้นเครื่องอีกหนึ่งชั่วโมง เพ็ญจิตจึงโทรหาอรรถพล พอโทรติด เพ็ญจิตก็รีบชิงพูดทันที: “พี่คะ หนูเพ็ญจิตเองนะคะ พี่ช่วยส่งที่อยู่ของแม่ให้หนูหน่อยได้ไหมคะ?” อรรถพลตกใจมาก เขายังไม่รู้ว่าเพ็ญจิตกลับไปแล้ว “เพ็ญจิตเธอจะไปอเมริกาหรอ?” “ค่ะ หนูอยากไปเจอแม่แท้ๆของตัวเอง พี่คะ พี่ส่งที่อยู่ให้หนูหน่อยนะคะ” เพ็ญจิตขอร้องอีกครั้ง “ตอนนี้เธออยู่ไหน พี่จะไปเป็นเพื่อนเธอเอง” อรรถพลพูดไปก็วิ่งไปที่โรงจอดรถ “พี่คะ อีกชั่วโมงเดียวก็เครื่องก็จะออกแล้ว พี่ส่งที่อยู่ให้หนูก็พอแล้วค่ะ” เพ็ญจิตรายงานตามความจริง “อะไร? เธอจะไปเมื่อไหร่? ทำไมไม่บอกพี่สักคำ รอพี่ก่อน ตอนนี้พี่กำลังไปสนามบิน” อรรถพลร้อนรน “พี่คะ ไม่ทันแล้วค่ะ ส่งที่อยู่ของแม่ให้หนูเถอะนคะ” ตอนนี้ เสียงประกาศให้เช็คอินจากดังขึ้นมาพอดี จึงช่วยให้เธอตอบคำถามต่อไปที่อรรถพลอยากจะถาม “ได้ เพ็ญจิต เธอรอพี่ที่แอลเอนะ เดี๋ยวพี่จะขึ้นเครื่องเที่ยวถัดไปตามไป” อรรถพลพูดโดยไม่ลังเลสักนิด “พี่คะ ไม่ต้องหรอกค่ะ หนูไปเอง...” มิรีรอให้อรรถพลพูดจบ โทรศัพท์ก็ตัดสายไป เห็นได้ชัดว่าทางนั้นเป็นคนวางสาย เพ็ญจิตขึ้นเครื่อง นั่งประจำที่ จิตใจเธอมิได้สงบสุข เธอพยายามควบคุมความอยากที่จะลงจากเครื่องอย่างสุดขีด และเพื่อไม่ให้สูญเสียความควบคุม เธอจึงตัดสินใจโทรศัพท์หาสุวิทย์อีกครั้ง เมื่อโทรติด ในใจของเพ็ญจิตก็พอใจ ลุกขึ้นยืน อยากจะลงจากเครื่อง แต่เสียงที่ดังออกมาจากโทรศัพท์ กลับทำให้เธอถึงกลับหยุดนิ่ง เสียงในโทรศัพท์เป็นเสียงของนิตา “คุณเพ็ญจิตหรือคะ? ตอนนี้ท่านประธานกำลังยุ่งอยู่ ไม่สามารถว่าคุณมีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า?” เพ็ญจิตเลื่อนโทรศัพท์ออกจากหู ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่ได้โทรผิด แต่เสียงนิตาจากโทรศัพท์กลับดังขึ้นอีก “คุณเพ็ญจิต หากไม่มีเรื่องอื่น ฉันขออนุญาตวางสายก่อนนะคะ” เพ็ญจิตรู้สึกราวกับตัวเองตกอยู่ในอุโมงค์น้ำแข็ง ตั้งแต่หัวจรดเท้า หากเมื่อก่อนหน้านี้เป็นตนที่คิดมากไปเอง ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ล่ะ? นับตั้งแต่กลับบ้านมาจนถึงตอนนี้ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอโทรไปแล้วกี่สาย เสียงประกาศบอกว่าเครื่องกำลังจะออก เพ็ญจิตมิได้มีความปรารถนาที่จะลงจากเครื่องอีกต่อไปแล้ว เธออยากจากไปเละหยุดเรื่องราวทุกอย่างไว้แค่ที่ห้าปีที่แล้ว เมื่อมองดูโทรศีพท์ มือของเพ็ญจิตสั่นเทา แต่ในยามนี้เหล่าแอร์ฮอสเตรดกำลังร้องขอให้เหล่าผู้โดยสารปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด น้ำตาที่คลอเบ้าได้จางหายไป เมื่อครั้งที่จากไปเมื่อห้าปีก่อน หัวใจยังไม่เจ็บปวดถึงขนาดนี้ แต่ตอนนี้ หัวอกเหมือนถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ เครื่องบินออกแล้ว เพ็ญจิตจ้องมองออกไปยังนอกกน้าต่างอย่างเหม่อลอย ช่างแตกต่างกับอารมณ์เมื่อหลายเดือนก่อนลิบลับ เธอบอกกับตัวเองว่าให้เข้มแข็งเข้าไว้ ในใต้หล้านี้มี่อุปสรรคใดที่ข้ามผ่านไปไม่ได้ ห้าปีที่ผ่านมาไม่มีสุวิทย์ เธอกับลูกๆก็ยังสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขเลย ในที่สุดเมื่อจัดการงานต่างๆจนเสร็จสิ้น สุวิทย์ก็รู้สึกปวดตึบๆที่ไท้ทอย เห็นทีคงต้องหาเวลาไปออกกำลังกายบ้างแล้ว มิเช่นนั้นเกรงว่ากระดูกส่วนคอคงได้มีปัญหาแน่ มองดูเวลา ที่แท้ก็เลยเวลาเลิกงงานมาแล้วหนึ่งชั่วโมง พอดีกับจะได้รับเพ็ญจิตไปทานข้าวเย็นด้วยกัน ส่วนเรื่องเซอร์ไพรซ์ที่ปสันน์พูดถึงเมื่อก่อนหน้านี้ เขาเองก็ยังตั้งหน้าตั้งตารอคอยอยู่ เขาโทรศัพท์ไปที่บ้านของเพ็ญจิต แต่ก็ไม่มีคนรับ สุวิทย์จึงวางโทรศัพท์ คิดในใจ หรือว่าเพ็ญจิตจะยังไม่ได้กลับไป? สุวิทย์โทรเข้าโทรศัพท์มือถือของเพ็ญจิตอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าปิดเครื่องไปแล้ว มาถึงตอนนี้เอง เขาก็อดเป็นกังวลขึ้นมาไม่ได้ หรือว่าเพ็ญจิตจะหึงจริงๆ? หรือเธอโกรธเขา? เดิมทีคิดอยากจะโทรถามปสันน์ แต่พอยกโทรศัพท์ขึ้นมาก็กลับวางลง เขาหยิบเสื้อคลุม เตรียมตัวจะไปรับเพ็ญจิต เมื่อเดินมาถึงลานจอดรถใต้ดิน ถึงได้พบว่าไม่ได้หยิบมือถือมาด้วย จึงรีบวกกลับไปหยิบมือถืออีก แต่หาทั่วห้อง ทำงานแล้วก็ยังหาไม่เจอ สุวิทย์พยายามคิดอย่างละเอียด ตอนเข้าประชุมเมื่อบ่าย เขาส่งมือถือให้นิตา จากนั้น... สุวิทย์หยิบโทรศัพท์บนโต๊ะขึ้น โทรหามือถือ ทางปลายสายมีคนรับโทรศัพท์จริงๆ “นิตา คุณเอามือถือไปไว้ที่ไหน?” สุวิทย์โมโหเดือดดาล เขาแค่ให้นิตาเอาโทรศัพท์มาไว้ที่ห้องทำงาน แต่ผู้หญิงคนนั้นถึงกับฉกเอาโทรศัพท์ไปได้ “ท่านประธานคะ ขอโทษค่ะ เมื่อกี้ฉันเองก็เพิ่งทราบเหมือนกันว่าเผลอหย่อนโทรศัพท์ของคุณไว้ในกระเป๋า ตอนนี้คุณอยู่ไหนคะ เดี๋ยวฉันจะเอาไปให้คุณ” นิตาที่อยู่ปลายสายแม้ปากจะพูดว่าขอโทษ แต่กลับมิได้รู้สึกผิดสักนิด สุวิทย์โมโหจนจวนจะระเบิด เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างไรไม่รู้ ผู้หญิงคนนั้นต้องรับโทรศัพท์ของเขาแน่ ต่อให้ทำเป็นแกล้งว่าเผลอใส่กระเป๋าไป เลิกงานมาตั้งนานขนาดนี้ ไม่มีทางที่จะไม่ใครโทรหามาสักสายหรอก เธอจงใจแน่ๆ ดูท่าแล้วคงจะต้องรีบเผด็จศึกโดยเร็ว “ไม่ต้อง เดี๋ยวผมไปเอาเอง บอกที่อยู่คุณมา” นิตาพูดบอกที่อยู่ไป สุวิทย์ก็พูดขึ้นด้วยความโมโหดั่งเพลิงอัคคี: “คุณรอผมอยู่ที่บ้าน เดี๋ยวผมจะรีบไปเอาโทรศัพท์คืนเดี๋ยวนี้” เขากลับไปที่โรงจอดรถอีกครั้ง ขับรถออกมาจากบริษัท สุวิทย์คิดถึงเพ็ญจิต เมื่อตอนกลางวัน เพ็ญจิตก็เสียใจไปแล้วครั้งหนึ่ง หากเขายังขืนไปหานิตาอีก ไม่แน่ว่าความสัมพันธ์อันยากจะหวนคืนของพวกเขาคงได้กระท่อนกระแท่นอีกเป็นแน่ เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็หยุดรถ ยืมโทรศัพท์ข้างทางโทรหาปสันน์ “ฮัลโหล ผมปสันน์ ไม่ทราบว่าใครเรียนสายอยู่ครับ?” ปสันน์พูดในโทรศัพท์ “ปสันน์ ที่ฉันเอง มือถือฉันถูกนิตาเอาไป แกช่วยไปเอาให้ฉันหน่อย” อารมณ์สุวิทย์ขึ่นเคือง “อะไรนะ? วิทย์ มือถือแกไปอยู่ที่นิตาได้อย่างไง? นี่มันกี่โมงกี่ยามกันแล้ว แก...” “ฉันจะรอแกที่บ้านของเพ็ญจิต ที่อยู่ของนิตาคือ***** แกรีบไปเร็วๆ” สุวิทย์ไม่ฟังคำพูดไร้สาระของปสันน์ หลังจากบอกที่อยู่ของนิตา ก็รีบพูดเร่งเร้า “ก็ได้ เห็นแก่เพ็ญจิตหรอกนะ ฉันจะไปเอาให้ แต่แนสงสัยว่ามือถือแกไปอยู่ที่นิตาได้อย่างไง? หากว่าช่วยเวลานี้เพ็ญจิตดนโทรเข้าไป คนที่รับสายดันเป็นนิตา เธอจะรู้สึกอย่างไร?” ปสันน์ที่กำลังทานข้าวเย็นอยู่ข้างนอกส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เขารู้สึกว่าหัวหน้านี่น่ารำคาญจริงๆ “ตราบใดที่แกไม่พูด เธอก็ไม่มีทางรู้หรอก แกรีบไปเอาเถอะ อย่ามัวแต่ไร้สาระ ฉันยังจอดรถอยู่ข้างทาง” สุวิทย์พูดแล้วก็วางสายไป เดิมเคยคิดว่าเวลานี้รถไม่ติด แต่ไม่คิดเลยว่า ยังจะติดอยู่อีก เมื่อสุวิทย์เร่งรีบมาจนถึงบ้านของเพ็ญจิต ปสันน์กลับมาถึงก่อนเขาแล้วหนึ่งก้าว “บอส คุณนี่ชักช้าเป็นเต่าเลย ผมรอมาครึ่งขั่วโมงแล้ว” ปสันน์ถือมือถืออของสุวิทย์อยู่ และโยนไป “มันชัดนะว่าโทรศัพท์แกถูกใช้น่ะ แม่เลขาของนายนี่หัวแหลมจริงๆ แต่คิดไม่รอบคอบ ถึงขนาดช่วยแกคัดกรองสายโทรศัพท์ เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน ฉันโทรเข้าเครื่องแก แต่ในบันทึกกลับถูกลบออกไป ชัดเจนนะว่า...” ปสันน์ไม่ไดพูดอีก สุวิทย์ก็ดูโทรศัพท์เองแล้ว อีกทั้งยังรีบวิ่งไปบนตึก แม้ว่าจะมีกุญแจ แต่สุวิทย์กลับเลือกที่จะเคาะประตูก่อน เมื่อไม่มีปฏิกริยาตอบเขายังควักกุญแจออกมา “เพ็ญจิต คุณอยู่บ้านไหม?” สุวิทย์ขานชื่อเพ็ญจิตในห้อง แต่ไม่มีเสียงตอบกลับ “ขอร้องแหละ หัวหน้า คุณไม่คิดว่าตัวเองเป็นพวกความรู้ช้าบ้างหรือไง หากอาซ้ออยู่บ้าน ก็คงออกมาตั้งนานแล้ว--” ปสันน์พูดพลางเดินผ่านสุวิทย์เข้าไปดูในบ้าน “ฉันรู้ บางทีเธออาจจะออกไปกินข้าว” สุวิทย์ปลอบใจตัวเอง“เมื่อบ่ายฉันโทรหาเธอ ดูเหมือนว่าเธอจะแปลกๆ บางที--” หัวหน้า ผมว่ามีบางอย่างมันแปลกๆ ในห้องนี้ดูว่างๆ เหมือนขาดอะไรไป ปสันน์มองดูห้องรับแขก แม้ว่าเพิ่งจะเคยมาครั้งเดียวเมื่อวันจันทร์ แต่เขาก็พอจำได้อยู่บ้าง ตอนนี้มันเหมือนขาดสิ่งของอะไรไปไม่น้อย “แกอยากพูดอะไร?” สุวิทย์อึ้งอยู่พักนึง จากนั้นก็พุ่งเข้าไปในห้องนอนปานสายฟ้า “บอส ผมพูดไม่ผิดไปจริงๆ เป็นไปได้ไหมว่า...” ปสันน์ตามเข้ามาใรห้องนอน เห็นสุวิทย์เปิดตู้เสื้อผ้าอันว่างเปล่า มีเพียงเสื้อผ้าผู้ชายไม่กี่ชุดสั่นไหวไปมาอยู่ข้างใน ไม่มีเสื้อผ้าของผู้หญิงเลยสักตัว... สุวิทย์มองดูตู้เสื้อผ้า มองดูเตียงนอนอนเรียบร้อย ก็เปล่งเสียงแหบแห้ง: “เพ็ญจิต – ไปแล้ว” “ไม่หรอกมั้ง? ซ้อคงไม่หนีไปโดยไม่บอกไม่กล่าวเลยสักคำหรอกมั้ง บางทีอาจจะออกไปกินข้าวเย็น หรือออกไปเจอเพื่อน” ปสันน์นิ่งไปครูนึง ไม่กล้าที่จะเชื่อ ตอนที่คุยโทรศัพท์กันเมื่อบ่าย ยังไม่เห็นได้ยินความผิดปกติใดๆทั้งสิ้ “ให้ตายเถอะ ผู้หญิงนี่ขี้น้อยใจแบบนี้ซะทุกคนหรือไง?” สุวิทย์โมโห ซ้ำยังไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง จึงรีบรุดเข้าไปในห้องน้ำ เป็นไปตามที่คิด นอกจากเครื่องอาบน้ำของเขาแล้ว ก็ไม่มีสิ่งอื่นอยู่อีกเลย เพ็ญจิตไปแล้วจริงๆ อีกทั้งยังหอบข้าวของไปด้วยทั้งหมด “อาจจะไม่ใช่ก็ได้ ฉันคิดว่าเธออาจจะโทรหาแก จากนั้นไรวินทร์ก็รับสาย พูดอะไรไม่ดีอีก? ได้ยินมาว่าเวลาผู้หญิงมีความรัก ไอคิวจะเหลือเท่ากับศูนย์ บางที...” ปสันน์เห็นสุวิทย์ยกหูโทรศัพท์ อีกครั้ง จึงหยุดพูด “นิตา เมื่อบ่ายเพ็ญจิตโทรหาผมใช่ไหม?” สุวิทย์ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฉันไม่เห็นได้รับสายของคุณเพ็ญจิตเลยนะคะ ท่านประธาน มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ? หรือว่าคุณเพ็ญจิต เธอ...” มิรีรอให้นิตาพูดจบ สุวิทย์ก็ตัดสายทิ้ง เขารู้อยู่แล้วว่าถามไปก็ไม่ได้ความ 
已经是最新一章了
加载中