ตอนที่ 48 เขาคือกษัตริย์ของยมโลก   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 48 เขาคือกษัตริย์ของยมโลก
ตอนที่ 48 เขาคือกษัตริย์ของยมโลก ฉันวางหนังสือหยินลงบนโต๊ะด้วยความไม่มั่นใจ และพูดแค่ว่า “จ้าวซิ้วหน่ะ อยู่ในหนังสือนี้” ซูหลินดูเหมือนจะไม่พอใจกับคำตอบของฉันในตอนนี้ ได้แต่วางมือเอาไว้บนไหล่คล้ายกับผู้เฒ่าผู้แก่ปลอบประโลม “เธอรู้ไหมว่าหน้าปกของหนังสือนี้หน่ะ หมายถึงอะไร” ฉันได้แต่สายหัวแต่ซูหลินไม่เห็นว่าฉันส่ายหัว ฉันจึงบอกไปว่า “ไม่รู้” แต่ฉันกลับพบว่าเสียงของฉันมันแหบบางเบามากเกินไป หลินหันมา พร้อมทั้งยื่นน้ำให้ฉันอีกแก้วนึง แล้วนั่งลงที่โต๊ะพร้อมทั้งส่งหนังสือเล่มเก่านั้นให้ฉันและบอกว่า “งั้นเธอลองดูนี่สิ” ฉันจึงพบว่า แท้จริงแล้วมันไม่ใช่ภาษาโบราณแต่อย่างใด แต่กลับเป็นคำที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน และแน่นอนว่าไม่ใช่ภาษาอื่น ฉันได้แต่มองซูหลินอย่างงุนงง ซูหลินจึงหันมาอธิบายให้ฉันฟังว่า “นี่เป็นภาษาดั่งเดิม ที่เขาเอาไว้ใช้สำหรับบันทึกสิ่งต่างๆ เธออาจจะไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วเธอคิดว่าสัญลักษณ์นี่ มันเป็นตัวแทนของอะไรเหรอ” ฉันยังคงส่ายหน้าด้วยความมึนงง แต่ซูหลินกลับไม่มีท่าทีโมโหแต่อย่างใด แต่กลับพูดด้วยเสียงเรียบๆต่อว่า “เธอไม่รู้อะไรเลย แต่กลับมามีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกนี้อะนะ” หลิน ใช้เวลานานมากในการอธิบายฉันตั้งแต่ต้นจนจบ ความหมายของมัน ฉันไม่กล้าที่จะบอกกับซูหลินว่า ฉันไม่เข้าใจมันเลยสักนิดแต่อย่างน้อยฉันก็เข้าใจในส่วนที่มันเกี่ยวข้องกับเทียนปู้หยู่ละนะ รูปภาพนี้คือสัญลักษณ์ของกษัตรย์ของยมโลก ใครที่เป็นเจ้าของหนังสือนี่ ก็คือคนที่เป็นกษัตริย์ของยมโลก ฉันช็อคไปครู่หนึ่ง เพราะหวนนึกไปถึงคำพูดของเทียนปู้หยู่ว่า “เพราะเธอเป็นของกษัตริย์ ของของเธอก็คือของของกษัตริย์” ตั้งแต่อดีตจนตอนนี้ ฉันเอาแต่ละเลยสิ่งสำคัญ เทียนปู้หยู่เรียกตัวเองว่าเป็นกษัตริย์ และครั้งแรกที่ฉันบังเอิญไปที่ถนนหยิน มนุษย์กระดาษนั้นก็ใช้คำแทนว่า “ใต้ฝ่าพระบาท” และเทียนปู้หยู่ก็เน้นกับฉันว่าเขาเป็นคนสำคัญ ไม่สามารถจะเข้าไปยุ่งเรื่องบางเรื่องได้ เมื่อฉันรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน ฉันถึงรู้ว่าจริงๆเรื่องเหล่านี้มันอยู่รอบตัวฉัน แต่ฉันไม่ได้สนใจมันเอง อีกทั้งเรื่องของจ้าวซิ้วอีกที่คล้ายกับกำลังหนีเอาชีวิตรอดจากบางสิ่ง ฉันไม่เคยได้ใส่ใจเรื่องอะไรพวกนี้เลย ปัญหาของฉันดูท่าว่ามันจะไม่ใช่ปัญหาเล็กๆแล้วละ ฉันได้แต่หัวเราะออกมา ได้แต่หวังว่าเขาจะพร้อมกับข่าวที่ฉันกำลังจะบอก ฉันนั่งลงข้างๆซูหลิน เอามือจับแก้วน้ำไว้ เงยหน้าขึ้นเพื่อจะพูดเรื่องสำคัญ “ซูหลิน จริงๆแล้วฉันหน่ะ เป็นภรรยาของกษัตริย์ยมโลกหน่ะ” “อะไรนะ !” ซูหลิน ตกใจแรงมาก เขาตบโต๊ะเสียงดังมากพร้อมทั้งลุกขึ้นยืนคล้ายว่าจะเข้ามาตบฉันยังไงยังงั้น ด้วยความตกใจกลัวฉันจึงถอยหลังอย่างรวดเร็ว แต่ทว่ากลับปะทะกับอะไรเย็นๆก็ไม่รู้ ฉันหันหลังกลับไปดู พร้อมทั้งรับรู้ถึงลมหายใจที่คุ้นเคย อีกทั้งใบหน้าที่คุ้นเคย เทียนปู้หยู่วางมือบนไหล่ฉัน พร้อมทั้งมองมาที่ฉัน “ อ่าว นายมาได้ไงอะ” ซูหลินที่เห็นฉันพูด ก็ตั้งท่าเตรียมพร้อม พร้อมทั้งถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วถามว่า “เฉินน่อ เธอคุยกับใครหนะ” ฉันเห็นสีหน้าที่สงสัยของซูหลิน พร้อมทั้งมองไปที่เทียนปู้หยู่ ถึงรู้ว่าซูหลินมองไม่เห็นเทียนปู้หยู่ ฉันกำลังจะถามเทียนปู้หยู่พอดี แต่ทว่าเขากลับบอกว่า “ไม่ต้องถาม กษัตริย์ไม่อยากให้ใครเห็น เขาก็จะไม่เห็น” เทียนปู้หยู่พูดจบ แต่ทว่าซูหลินกลับเอาเครื่องรางออกมาไว้ในมือเตรียมพร้อมแล้ว กำลังจะร่ายคาถาแล้ว แต่ทันใดนั้นเทียนปู้หยู่ก็ปรากฎตัวขึ้น “ซูหลิน อย่านะ !” ได้ยินดังนั้น ซูหลินยังคงไม่ได้เก็บเครื่องรางเข้าไป พร้อมทั้งถามกลับไปว่า “นี่นายคือกษัตริย์ของยมโลกหรอกเหรอ” เทียนปู้หยู่ไม่ตอบคำถามของซูหลิน แต่กลับมองหาที่นั่ง แต่ทว่ากลับมีม้านั่งเลื่อนมาด้านข้างฉันโดยไม่มีอะไรไปกระทำกับมันเลย เทียนปู้หยู่เดินอ้อมฉันแล้วนั่งลง พร้อมทั้งมองไปที่ซูหลินและบอกว่า “นายเก็บไปสะเถอะ ของนั้นหน่ะ ทำอะไรกษัตริย์ไม่ได้หรอก” เมื่อซูหลินตระหนักได้ว่ากำลังถือของที่ไร้ประโยชน์อยู่ ก็เลยเก็บลงไปด้วยความเขอะเขิน พร้อมทั้งหยิบบุหรี่ออกมาจุดสูบเพื่อแก้อาการอับอายนั้น เขาสูบเข้าไปทีเดียวก็หมดไปแล้วครึ่งมวน ขึ้เถ้าก็ร่วงหล่นลงบนโต๊ะ “ทำไมนายถึงได้มาสนใจคนอย่างเฉินน่อได้ละ” ซูหลินกลับตอบโต้ด้วยแบบนี้งั้นเหรอ ฉันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ขณะที่ฉันกำลังจะลุกขึ้นด้วยความโมโหนั้น เทียนปู้หยู่กลับเอามือมาโอบเอวฉันเอาไว้ ซูหลินเห็นดังนั้นจึงรีบหันไปมองทางหน้าต่างแทน “เฉินน่อเป็นคนยังไงงั้นเหรอ” ก่อนหน้านี้ฉันแค่คิดว่า เทียนปู้หยู่ก็แค่ลูกของผู้ดี ที่ตายขณะที่ยังเป็นวัยรุ่นก็แค่นั้นเอง แล้วยังไม่ได้ไปเกิดใหม่ ไม่คิดว่าจะเป็นถึงกษัตริย์เลยนะเนี่ย ฉันก็รู้นะว่าเขาน่าจะไม่ใช่คนธรรมดา แต่ไม่คิดว่าจะมากขนาดนี้ เทียนปู้หยู่ไม่แม้แต่จะเอ่ยปากพูดกับซูหลินเลย อย่าว่าแต่ตอบคำถามเลย ซูหลินก็เงียบไปนานมาก ทั้งห้องเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนอย่างไรไม่รู้ คล้ายกับว่าอากาศมันเย็นลงเรื่อยๆ ฉันเลยพูดเพื่อทำลายบรรยากาศนั้น “ตอนนี้จ้าวซิ้วหายดีแล้ว พวกเราต้องรีบหาศพเธอให้เจอโดยไวที่สุด แล้วรีบเอาศพขึ้นจากน้ำ เพื่อจะได้กำจัดความเคียดแค้นของจ้าวซิ้วลง จะได้กำจัดเธอสะ” ซูหลินได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น พร้อมทั้งโยนก้นบุหรี่ทิ้งลงกับพื้น แล้วเงยหน้าขึ้นมามองไปที่เทียนปูหยู่พร้อมทั้งถามฉันว่า “เขาบอกเธอเหรอ” อะไรนะ ! ซูหลินดูเปลี่ยนไปมากจนฉันงง ถ้าไม่ใช่เพราะเทียนปู้หยู่โอบเอวอยู่ละก็ ฉันละอยากจะลุกขึ้นไปตบหน้าเขาสักที ในขณะที่ฉันกำลังคิดอยู่นั้น กลับมีเสียงดังในหัวว่า “ห้ามเข้าใกล้เขาเด็ดขาด” ฉันได้แต่มองคนข้างฉันอย่างงุนงงปนสงสัย แต่กลับพบว่าบนใบหน้าของเทียนปู้หยู่มีรอยยิ้มมองมาที่ฉันแต่เต็มไปด้วยความคุกคามอย่างไรไม่รู้ ฉันเลยพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง อย่างเก็บอาการว่า “ไม่ใช่เขาบอก แต่เป็นเพราะหนังสือหยิน จ้าวซิ้วอยู่ในหนังสือนั้น เธอรู้วิธีว่าต้องวิญญาณชุดแดงนั้นได้อย่างไร” ในขณะที่ฉันต้องอธิบายจ้าวซิ้วสองคนในเวลาเดียวกัน ฉันต้องบอกว่าคนนึงคือจ้าวซิ้วอีกคนนึงคือวิญญาณชุดแดง ฉันเล่าความฝันของฉันให้ซูหลินฟัง ซูหลินก็ฟังฉันไปพลางสูบบุหรี่ไปพลางแล้วเหลือบมองไปที่หนังสือเก่านั้น ยิ่งฉันเล่าให้ฟังมากแค่ไหน คิ้วของเขาก็ขมวดมากกว่าเดิมขึ้นเรื่อยๆ “ดังนั้น ถ้าเห็นว่าจ้าวซิ้วเป็นสภาพนั้นก็แสดงว่า ความแค้นของเธอยังคงอยู่” พูดจบ ฉันก็ยกน้ำขึ้นมาดื่ม แล้วส่งให้เทียนปู้หยู่ แต่ทว่าเขากลับขมวดขึ้น เขารู้ว่าว่าฉันหมายถึงอะไรแต่ทว่าเขากลับดูไม่ชอบแก้วน้ำของซูหลินยังไงไม่รู้ ฉันเลยพูดสรุปอีกครั้งว่า “ดังนั้นพวกเราจึงต้องรีบหาบ่อน้ำที่จ้าวซิ้วตาย เพื่อที่จำได้เอาศพขึ้นมา เมื่อความโกรธของจ้าวซิ้วลดลง พละกำลังของเธอก็จะลดลงด้วย” “สิ่งที่พวกเราต้องทำตอนนี้ก็คือ หาที่ที่จ้าวซิ้วตายสินะ” ซูหลินพูดจบก็โยนก้นบุหรี่ลงพื้นแล้วใช้เท้าเหยียบเพื่อดับไฟ “นี่ไม่ใช่เรื่องที่พ่อของจางเจียเยนจะมาบังคับพวกเราแล้วใช่ไหม คงไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ๆ” พูดจบฉันก็ลุกขึ้นเพื่อที่จะออกไป แต่ทว่าพอฉันลุกขึ้เทียนปู้หยู่ก็จับมือของฉันไว้ ฉันเลยหันไปหาเขาด้วยความงุนงง แต่กละบพบใบหน้ามี่ราบเรียบไร้อารมณ์แทนแต่แววตาเต็มไปด้วยความห่วงใย ฉันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันใด ทำให้บอกเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงว่า “ฉันจะไปหาไป๋เวยเวยนะ เธอต้องรู้แน่ว่าจ้าวซิ้วตายที่ไหน” เทียนปู้หยู่ถึงจะปล่อยมือฉัน “รีบกลับมานะ ฉันไม่อยากอยู่กับไอคนนี้กันสองคน” พูดจบก็เหลือบตาไปมองซูหลินแวบนึง พร้อมทั้งหันมามองที่ฉัน ทำให้ฉันรู้สึกว่า หลายครั้งที่ได้รับความช่วยเหลือและการเข้าข้างจากเทียนปู้หยู่ หลายครั้งที่เขามาที่โลกมนุษย์ก็เพราะฉัน ทำให้ฉันรู้สึกดีใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก หลินจึงกระแอมขึ้นมา เพื่อลดบรรยากาศน่ากระอักกระอ่วนนี่ แต่ทว่าไม่ทันได้ระวังกลับไอขึ้นมาอย่างรุนแรง แต่ในทางตรงกันข้ามเทียนปู้หยู่กลับนั่งอย่างสงบเสงี่ยมเป็นระเบียบคล้ายสุภาพบุรุษที่หล่อเหลาก็ไม่ปาน ฉันพยายามที่จะไม่ยิ้มออกมา แต่ทว่ากลับไม่สามารถจะบังคับหน้าตาที่มีความสุขเอ่อล้นออกมาได้ ไป๋เวยเวยยังคงไม่รู้ว่าจ้าวซิ้วนั้นหายดีแล้ว และยังคงดีใจที่ตัวเองปลอดภัยในตอนนี้ ใบหน้ามีความสุขดี ฉันจึงไม่กล้าที่จะบอกความจริงกับเธอ ได้แต่บอกเธอว่าพวกเรามีคำถามที่จะถามเธอก็แค่นั้นเอง ในขณะที่พวกฉันกำลังเดินเข้าไปในห้องหนังสือนั้น ฉันพบว่าห้องที่ไม่เป็นระเบียบในตอนแรกกลัวถูกจัดเรียบร้อยแล้ว และซูหลินก็ยังใช้ผ้าขาวคลุมชั้นหนังสือเก่านั้นเอาไว้ ชัดเจนเลย ว่าเขาไม่อยากให้คนนอกเห็นความลับต่างๆในห้องนี้ ในขณะที่ไป๋เวยเวยเดินเข้ามานั้น จู่ๆเธอก็รีบดึงมือฉันให้ถอยหลัง ใบหน้าปรากฏความสงสัย ฉันรู้ว่าไป๋เวยเวยกำลังคิดอะไร เธอมองไปที่เทียนปู้หยู่ ไม่แม้แต่จะกระดิกตัวมือที่จับฉันก็สั่นอย่างควบคุมไม่ได้ “ไม่ต้องกลัวไปนะ เขามาช่วยพวกเราหน่ะ” แต่ทว่า ไป๋เวยเวยยังคงไม่ยอมเดินเข้าไป พร้อมทั้งพูดเสียงเบาว่า “แต่เสื้อผ้าของเขาหน่ะ..” ฉันพอเข้าใจได้ เพราะว่าเทียนปู้หยูตอนนี้สวมเสื้อตัวยาวสีขาวแบบจีน ถึงแม้จะไม่ใช่แฟชั่นของยุคนี้ แต่ฉันก็พยายามปลอบประโลมไป๋เวยเวยและพยายามจะลากเธอมาที่โต๊ะ หลังจากที่ตระหนักได้ว่าเทียนปู้หยู่คงไม่ทำร้ายเธอแน่ๆ ไป๋เวยเวยก็หน้าแดงพร้อมทั้งเดินผ่านฉันไปผู้ซึ่งพาเธอเดินเข้ามา ไปนั่งลงตรงที่ของฉัน ซึ่งเป็นที่ที่ใกล้กับเทียนปู้หยูมากที่สุดแล้ว ฉันเลยเดินไปยืนด้านกลังไป๋เวยเวย พร้อมทั้งมองไปที่ด้านข้างเธอที่กำลังยิ้มให้เทียนปู้หยู่คล้ายกับหญิงสาวที่กำลังเขินอายอยู่
已经是最新一章了
加载中