ตอนที่12
ตนที่12
เซี่ยหลิงหลิงเริ่มกังวล:“ร้อนขนาดนี้ไปโรงพยาบาลเถอะนะ”
เฉิงรุ่ยหลับตาเสียงทั้งทุ้มทั้งแหบ:“ไม่ไป”
โดยปกติแล้วเฉิงรุ่ยจะเป็นคนชี้ซ้ายไปซ้ายชีขวาไม่มีทางไปซ้ายแน่นอนชี้ตรงไหนก็ตีตรงนั้นแต่วันนี้กลับดื้อเป็นพิเศษเซี่ยหลิงหลิงไม่รู้จะทำยังไงกับเขาแล้วจึ้งพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน:“นายไข้ขึ้นสูงไปให้หมอดูอาการน่าจะดีกว่านะหากเป็นหนักไปมากกว่านี้จะทำยังไง?”
เฉิงรุ่ยตอบกลับเหมือนเดิม
“ไม่ไป”
เซี่ยหลิงหลิงเกาหัวอย่างรู้สึกรำคาญ:“ก็ได้งั้นนายก็นอนพักบนเตียงก่อนหากผ่านไปสักสองสามชั่วโมงแล้วไข้ยังไม่ลดเรารีบไปที่แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลโอเคมั้ย?”
ผ่านไปสักพักเฉิงรุ่ยก็ตอบรับ
เขาไข้สูงจนใบหน้าแดงก่ำง่วงเพลียจนลืมตาแทบไม่ไหวท่าทีก็ดูเบลอๆงงๆก็ดูน่ารักเหมือนกัน
เมื่อรอจนเซี่ยหลิงหลิงกำลังจะพยุงเขาขึ้นมานั้น......
น่ารักบ้าอะไรกัน!ทำไมถึงได้ตัวหนักขนาดนี้เนี่ย!
เซี่ยหลิงหลิงพยุงเฉิงรุ่ยขึ้นอย่างทุลักทุเลพบว่าปกติแล้วแม้เขาจะดูเหมือนรูปร่างทั้งผอมทั้งสูงแต่ตอนนี้กลับโคตรหนักหนักซะจนเซี่ยหลิงหลิงเกือบจะหายใจไม่ออกเซี่ยหลิงหลิงกัดฟันแน่นพยามพาเฉิงรุ่ยให้เดินไปข้างหน้าคล้ายกำลังแบกกระสอบข้าวสาร
“นี่ฉัน......ใช้กำลังทั้งหมดที่ได้จากการดื่มนมเลยนะเนี่ย......”
เฉิงรุ่ยที่ตกอยู่ในอาการเบลอก็ค่อยๆเปิดหนังตาขึ้น:“นมสด?นมเปรี้ยว?”
เซี่ยหลิงหลิง:“......”
ทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องกินเจ้าบ้านี่ก็จะตื่นตัวขึ้นมาในทันทีอย่างไม่มีใครเกินจริงๆ!
เธอมีเพียงคำแขวะที่มีให้เฉิงรุ่ยเต็มสมองไปหมดแต่เห็นแก่ความที่เขาไม่สบายอยู่ในตอนนี้เธอก็เลยอดทนอดกลั้นเอาไว้ในที่สุดเธอก็พาเฉิงรุ่ยมาจนถึงเตียงนอนได้ก่อนที่เธอจะหมดแรงลงไปภาพที่เฉิงรุ่ยดูอ่อนแอหมดเรี่ยวหมดแรงนั้นดูๆไปแล้วก็น่าสงสารอยู่พอสมควรเซี่ยหลิงหลิงเอาผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าผากเช็ดมือเพื่อให้เขาสบายตัวขึ้นมาบ้าง
นิ้วมือของเฉิงรุ่ยดูมีความสวยมากลักษณะตรงและเรียวยาวเซี่ยหลิงหลิงเช็ดไปด้วยพร้อมกับพลิกมือของเขาไปมาเพื่อชื่นชมความงามของมือสวยๆนั้น
เธอป้อนน้ำอุ่นสองแก้วให้เฉิงรุ่ยดื่มกินยาลดไข้จนในที่สุดก็ได้นั่งพักอยู่ข้างๆสักที
ในเวลานี้เซี่ยหลิงหลิงเริ่มพิจารณาห้องนอนของเขา
นับตั้งแต่วันที่ทะลุมิติมาสู่โลกแห่งนี้ก็ยังไม่เคยได้รู้มาก่อนว่าห้องนอนของเฉิงรุยนั้นหน้าตาเป็นยังไงแต่ที่ทำให้เซี่ยหลิงหลิงรู้สึกผิดหวังก็คือไม่มีพวกของทำมือหรือของประดิษย์ประดอยไม่มีภาพโปรเตอร์และนิตยสารลามกต่างๆและยิ่งไม่มีจิ๋มกระป๋องแต่อย่างใดกลับกันห้องนอนของเฉิงรุ่ยสะอาดสะอ้านมากมีเตียงตัวเดียวมีคอมสองเครื่องและเก้าอี้นั่งมีชั้นวางหนังสือหนึ่งชิ้นแหละนี่คือองค์ประกอบทั้งหมดของเขา
หนังสือที่วางอยู่บนชั้นวางไม่มีหนังสือการ์ตูนไม่มีนิตยาสารมีแต่อะไรก็ไม่รู้ที่เซี่ยหลิงหลิงเองก็ดูไม่รู้เรื่อง
แต่ที่คุ้นตาที่สุดก็น่าจะเป็น《littlePrince》เซี่ยหลิงหลิงคิดไม่ถึงเลยจริงๆว่าเฉิงรุ่ยจะชอบอ่านหนังสือแนวนี้เธอพิจารณาอยู่สักพักก่อนจะเดินกลับไปที่ข้างเตียงของเฉิงรุ่ยอีกครั้งแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าผากของเขาอีกครั้งหนึ่ง
เฉิงรุ่ยที่นอนพักอยู่บนเตียงอยู่ๆก็คว้าข้อมือของเซี่ยหลิงหลิงเอาไว้
ลักษณะที่เหมือนกับผีดิบนี้ทำเอาเซี่ยหลิงหลิงสะดุ้งตกใจ:“นายจะทำอะไรน่ะ!”
มือของเขาแข็งแรงมากกำข้อมือของเซี่ยหลิงหลิงเอาไว้แน่นฝ่ามือของเธอนั้นมีอุณหภูมิที่สูงมากนิ้วมือเรียวนั้นเกี่ยวรอบข้อมือของเซี่ยหลิงหลิงไว้ได้อย่างง่ายดายเซี่ยหลิงหลิงอึ้งไปเล็กน้อยไม่รู้ว่าเฉิงรุ่ยต้องการจะทำอะไรกันแน่
และในตอนนั้นเองเฉิงรุ่ยค่อยลืมตาขึ้นมาอย่างนุ่มนวล
เขาจ้องมองไปที่เซี่ยหลิงหลิงดวงตาเรียวยาวคู่นั้นดูเหมือนแฝงไปด้วยความสับสนวุ่นวายเอาไว้มันทำให้เซี่ยหลิงหลิงเริ่มรู้สึกทำตัวไม่ถูก
“ฉัน......”
เซี่ยหลิงหลิงเกิดรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้:“อะไร?”
“ฉันอยาก......กินเกี๊ยว”เสียงของเขาแหบแห้งกว่าจะพูดออกมาจบประโยคได้ต้องเสียแรงไปไม่น้อยน้ำหนักมือเริ่มผ่อนลง
เซี่ยหลิงหลิง:“......”
เฉิงรุ่ยหยุดคิดเล็กน้อยภายใต้อาการมึนงงนั้นก่อนจะพูดเสริมขึ้นมาอีกว่า:“ไส้เนื้อแกะ......”
คำพูดของเขาถูกขัดขึ้นมาสะก่อน
“เป็นไข้อยู่แล้วยังจะกินเนื้อแกะในอยากจะเสียชีวิตในที่เกิดเหตุหรือไง!”
เซี่ยหลิงหลิงรู้อย่างลึกซึ่งเลยว่าเฉิงรุ่ยมีความสามารถในการทำให้เธอหัวเสียได้ตลอดเวลา
เฉิงรุ่ยผิดหวังเล็กน้อย
“งั้นทำเกี๊ยวกุ้งแทนละกัน”
เซี่ยหลิงหลิงอดกลั้นเอาไว้:“......นายอยากลองชิมรสผ้าขี้ริ้วมั้ยล่ะ?”
......
เฉิงรุ่ยไม่ได้ลิ้มรองรสชาติของเกี๊ยวน้ำตามที่คาดหวังไว้แต่ก็ยังมีโจ๊กหมูสับไข่เยี่ยวม้าอยู่พร้อมเครื่องเคียงจากเล็กๆที่ทำให้รู้สึกสดชื่นเขาทานมันได้อย่างอิ่มเอมสุขสำราญเช่นเคย
เซี่ยหลิงหลิงเห็นว่าอาการของเขาเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาบ้างแล้วไข้ที่ขึ้นสูงก็ค่อยๆลดลงมาบ้างแล้วอย่างน้อยก็สามารถวางใจได้เปราะนึง
......ในช่วงเวลาที่เฉิงรุ่ยกำลังทานข้าวอยู่นั้นเซี่ยหลิงหลิงก็นึกไปถึงเรื่องของเย่ซีเอามือเท้าคางแล้วถามเขาไปอย่างระมัดระวัง:“คือว่า......ในอนาคตนายจะสืบทอดกิจการของพ่อนายมั้ย?”
อภัยให้คำถามที่ตรงเกินไปของเธอด้วยพวกเขาทั้งสองก็ไมได้มีความสัมพันธ์ของคู่รักที่ลึกซึ้งเท่าไหร่นักอยู่แล้ว
เฉิงรุ่ยชะงักมือที่กำลังตักโจ๊กอยู่ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเฉื่อยๆ:“ไม่”
เซี่ยหลิงหลิงถอนหายใจ:“นายนี่ทำให้คนหัวร้อนเก่งจริงๆเลยนะคนเขามาแย่งถึงหน้าบ้านแล้วแต่นายกลับไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย”
เธอเงียบไปครู่หนึ่ง
เซี่ยหลิงหลิงทำใจเรื่องหย่าไว้ตั้วแต่แรกแล้วเพียงแต่ว่าเรื่องราวในหลายวันมานี้เกิดขึ้นเร็วกว่าที่เธอคิดเอาไว้
“ฉันจะพูดตรงๆเลยก็แล้วกันนะเย่ซีมาตามเรื่องหุ้นส่วนของนายกับฉันแล้วฉันรู้ว่านายไม่ได้อยากจะไปแย่งชิงกับเธอเพราะแม้แต่หุ้นส่วนเองนายก็คงจะไม่อยากได้แต่ข้าวก็ยังต้องกินเพราะฉะนั้นฉันจึงตกลงไปว่าแค่ฉันยอมหย่าก็จะได้เงินเพิ่มขึ้นอีกสามล้านหยวนแถมยังจะได้บ้านอีกสองหลังนายต้องใช้เงินมากกว่าฉันฉันต้องการเพียงแค่บ้านหลังเดียวก็พอที่เหลือฉันให้นายหมดเลย”
เธอยังมีเงินอีกเจ็ดแสนหยวนเพียงพอที่จะใช้ชีวิตอยู่คนเดียวได้แล้วบ้านใช้พักอาศัยได้และก็เปลี่ยนเป็นเงินได้
จู่ๆเฉิงรุ่ยก็เงยหน้าขึ้นมา
“ให้ฉัน?”
“ใช่ไงฉันใช้เงินพวกนั้นไม่ไหวหรอกนะนายควรจะเป็นห่วงตัวเองให้มากกว่านี้นะแค่เป็นหวัดก็เกือบทำให้ตัวเองตายได้ขนาดนี้......”เซี่ยหลิงหลิงกรอกตาอย่างไม่สบอารมณ์
เฉิงรุ่ยจ้องมองไปที่เธอไม่หยุดสายตาเรียวยาวคู่นั้นค่อยๆหรี่ลงดวงตาสีดำสนิดเต็มไปด้วยความน่าหลงใหลนี่เป็นแววตาที่น้อยครั้งมากที่เซี่ยหลิงหลิงจะได้เห็นมันมันต่างกันกับสายตาไร้จิตวิญญาณในวันปกติทั่วไปเขาเงียบไปสักพักก่อนจะถามซ้ำอีกรอบ:“ให้ฉัน?”
เซี่ยหลิงหลิง:“นี่นายถูกเครื่องช่วยทบทวนเข้าสิงร่างเหรอ?”
เฉิงรุ่ยไม่ได้ตอบคำถามของเธอแต่กลับถามต่อ:“เพราะอะไร?”
“ก็เพื่อตอบแทนจากใจที่นายให้ฉันได้อยู่ฟรีกินฟรีแถมยังให้เงินฉันมาใช้ฟรีๆอีกไงเหตุผลสมเหตุสมผลมากพอมั้ย?แต่ว่านะจะให้พูดจริงๆแล้วเงินพวกนั้นมันควรจะต้องเป็นของนายอยู่แล้วฉันก็เป็นแค่ผู้ได้รับผลประโยชน์ร่วม”
“หากนายไม่มีปัญหาอะไรเอกสารการหย่าครั้งก่อนยังอยู่ที่ลิ้นชักในห้องฉันอยู่เลยเดี๋ยวฉันเซ็นต์เลยดีกว่า”
เซี่ยหลิงหลิงพูดออกมาเป็นพวงในที่สุดเฉิงรุ่ยก็วางช้อนในมือลง
น้ำเสียงของเขาดูสงบและอบอุ่น
“ไม่ต้องหย่าหรอก”
เซี่ยหลิงหลิง:“หา?ไม่หย่าแล้วนายจะเลี้ยงฉันหรือไง”
“อืม”
เซี่ยหลิงหลิงถึงกับเหวอ:“เอ๋?”
“ฉันมีเงินออมอยู่”
เซี่ยหลิงหลิงแบมือออกไปตรงหน้าเขา:“ห้าแสน?ล้านนึง?สองล้าน?คงไม่ได้มีห้าล้านหรอกใช่มั้ย!”
เฉิงรุ่ยเห็นท่าทีของเธอเริ่มไม่สงบแล้วกลัวจะเป็นการทำให้เธอตกใจก็เลยตอบไปด้วยท่าทีที่สงบว่า:“อืมและบ้านอีกสองหลัง”เพราะฉะนั้นเธอเองก็ไม่ต้องไปสนใจบ้านอีกสองหลังที่เย่ซีเสนอให้แล้ว
จริงๆแล้ว......เงินออมของเขาต้องเพิ่มเลขศูนย์ตรงท้ายอีกสองหลักเพราะจำนวนเงินมีมากกว่านั้นอีกเท่าตัว
เซี่ยหลิงหลิงตะลึงงันไป:“ฉันไม่คิดเลยจริงๆว่านายจะมีเงินขนาดนี้!”
บริษัทของคุณพ่อเฉิงนั้นเปิดมานานหลายปีขนาดนี้รายได้ต่อปียังไม่เท่ารายได้ต่อเดือนของเขาเลยด้วยซ้ำมีความแตกต่างกันมากเฉิงรุ่ยไม่เคยคิดเลยว่าหุ้นส่วนที่เขามีมันจะเป็นเงินก้อนจำนวนมากมายอะไรเงินพวกนี้ยังไม่พอจะเอาไปเป็นทุนสร้างเกมขึ้นมาสักเกมเลย
ในสายตาของเขาเย่ซีก็เหมือนเป็นตัวตลกที่กระโดดดึ๋งๆไปมาเธอทุ่มเทเพื่อเงินเพียงน้อยนิดไร้ยางอายสิ้นดี
เขาปิดบังเอาไว้ได้อย่างแนบเนียนตั้งแต่ตนจนจบทั้งคุณพ่อเฉิงและเย่ซีต่างก็ไม่คิดว่าเขาจะสามารถทำอะไรให้สำเร็จออกมาเป็นชิ้นเป็นอันได้ในใจของพวกเขาก็มองเขาเป็นเหมือนสิ่งไร้ค่าที่ทำอะไรไม่เป็นเลยแถมไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเขาจะทำอะไรยังไงดู
และมันทำให้พวกเขาพลาดความลับที่ช็อคโลกไปซะแล้ว......
เจ้าทึ่มในสายตาของพวกเขาได้ใช้ทุนจดทะเบียนบริษัทของตัวเองด้วยทุนมูลค่าหลายพันล้านภายในเวลาเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น
เซี่ยหลิงหลิงถึงกับอึ้งหน้าเหวอไปเลย
“พระเจ้าช่วย!นี่คือเงินออมที่คุณป้าทิ้งเอาไว้ให้นายงั้นเหรอ?”นี่เป็นเพียงเหตุผลเดียวที่เธอพอจะคิดได้
เฉิงรุ่ยเงียบไปสักครู่
“อืม”
เซี่ยหลิงหลิงถอนหายใจ:“อย่างงั้นก็ดีถ้าหากว่านายเป็นเจ้าของกิจการใหญ่แบบนั้นฉันก็คงต้องย้ายออกไป”เธอกลัวความวุ่นวายที่สุดและไม่อยากจะไปยุ่งเรื่องของใครเลยหากว่าเฉิงรุ่ยทำมาหากินเองสถานการณ์ก็อาจจะวุ่นวายมากขึ้นกว่าดิมอีก
สายตาของเฉิงรุ่ยดูเหม่อลอย:“......”
เมื่อเป็นแบบนั้นเซี่ยหลิงหลิงสบายใจลงแล้ว
เธอถาม:“งั้นฉันก็ยังได้เงินทุกเดือนเหมือนเดิมใช่มั้ย?”
เฉิงรุ่ยตอบนิ่งๆ:“สองเท่ารวมค่ากับข้าว”
เซี่ยหลิงหลิง:“ได้เลยถ้าเอาอย่างหรูหราอาหารฮ่องเต้ฉันก็จะทำให้หมดเลย!”
เฉิงรุ่ยสะดุดกับประโยคสำคัญนั้น:“หรูหราอาหารฮ่องเต้?มันมีอะไรบ้างอ่ะ?”
เซี่ยหลิงหลิง:“......เออก็มี......มีโจ๊กหมูสับไข่เยี่ยวม้าจะกินมั้ย?”
ส่วนเรื่องที่ว่าบริษัทของคุณพ่อเฉิงจะเป็นอย่างไรเย่ซีจะตอบโต้ยังไงเซี่ยหลิงหลิงไม่ได้คิดถึงเรื่องตรงนั้น
วันรุ่งขึ้นก็มีข่าวดีเพิ่มขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง
บริษัทของคุณพ่อเฉิงเกิดปัญหาการดำเนินการด้านเงินทุนในบริษัทและกำลังเผชิญกับปัญหาร้ายแรงเกี่ยวกับโครงการที่กำลังทำอยู่จนกลายมาติดเทรนด์ค้นหายอดนิยมนักลงทุนต่างพากันถอนหุ้นหลังจากที่ตลาดหุ้นตกต่ำลงหุ้นของบริษัทก็หล่นฮวบลงทันทีครึ่งนึง
อยู่ๆต้องมาประสบกับความเสียหายอย่างกระทันหันแบบนี้ในวันๆนึงคุณพ่อเฉิงถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับแต่คนที่เศร้าเสียใจยิ่งกว่าคือเย่ซี
หุ้นส่วนของเธอ!เงินของเธอ!ยังมาไม่ถึงมือเธอเงินก็ไม่เหลือแล้ว!
ด้วยเหตุนี้เย่ซีที่ปกติเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนและมีน้ำใจก็กลายเป็นผู้หญิงดุร้ายป่าเถื่อนทะเลาะกับคุณพ่อเฉิงทุกวันคนล้มแล้วยังซ้ำเติมให้เจ็บช้ำน้ำใจมากขึ้นไปอีก
เปิดเผยให้คุณพ่อเฉิงได้เห็นตัวตนที่แท้จริงที่น่าตกใจอย่างถึงที่สุดแถมยังรู้สึกเจ็บปวดทรมาน
บริษัทจำเป็นต้องลดเงินเดือนพนักงานโชคดีที่ยังไม่ได้สูญเสียอะไรเยอะอะไรมากยังไม่ถึงขั้นล้มละลายคุณพ่อเฉิงตกอยู่ในสภาวะอัดอั้นตั้นใจเพียงแค่อยากจะประคับประคองบริษัทเอาไว้จะเอาเวลาไหนไปสนใจว่าลูกตัวเองทำอะไร
อาการป่วยของเฉิงรุ่ยหายไปเกือบครึ่งในวันที่สอง
เมื่อมีเงินเซี่ยหลิงหลิงก็มีความมั่นใจมากขึ้นจึงตัดสินใจจะทำมื้อพิเศษไว้บำรุงและบำเรอเขาสักหน่อย
เฉิงรุ่ยได้รับข้อความจากถูหนาน
[เจ้านายครับยังต้องการจะถอนหุ้นที่ลงทุนไปครั้งล่าสุดอยู่หรือเปล่าครับ?]
เฉิงรุ่ยนึกย้อนกลับไปถึงอดีต