ตอนที่ 22
ตนที่ 22
เซี่ยหลิงหลิงได้นั่งชั้นเฟิร์สคลาสเป็นครั้งแรก พอขึ้นเครื่องบิน ก็เริ่มมองไปยังรอบๆอย่างตื่นเต้นดีใจ
เฉิงรุ่ยมองเธอเหมือนคุณยายหลิวเฉียงตงที่เดินเข้าไปในแกรนด์วิวการ์เด้น ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมเซี่ยหลิงหลิงถึงดีใจแบบนี้ แต่อารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นตามไปด้วย
เซี่ยหลิงหลิงพูดออกมาเบาๆ “เมื่อก่อนฉันเคยนั่งแต่ชั้นประหยัดน่ะ”
ทุกครั้งที่ขึ้นเครื่องนั่งชั้นประหยัดนั้นคนไม่น้อยเลย มันจะเหมือนที่นี่ได้ไง ทั้งว่างเปล่าทั้งพื้นที่กว้าง มีคนแค่ไม่กี่คน อยากยื่นขาก็ยื่น อยากสบายแค่ไหนก็สบายได้ แม้แต่อาหารบนเครื่องก็ยังอร่อยกว่าปกติ
สิ่งที่เซี่ยหลิงหลิงคาดคิดไม่ถึงคือ เฉิงรุ่ยกลับไม่ค่อยสนใจเรื่องอาหารบนเครื่อง
“นายไม่ชอบหรอกเหรอ”
ภาพที่ติดอยู่ในความทรงจำของเซี่ยหลิงหลิง คือภาพกระเพาะของเฉิงรุ่ยก็เป็นเหมือนถังขยะที่มีขนาดใหญ่มาก ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ก็สามารถเข้าไปอยู่ในนั้นได้ ผู้ชายที่พึ่งมาม่า อาหารขยะพวกนั้นเพื่อความอยู่รอด จะมาคิดมากกับเรื่องการเลือกอาหารได้ไง
เฉิงรุ่ยตอบกลับอย่างเชื่องช้า “กินมาเยอะแล้ว”
เซี่ยหลิงหลิงเอ่ย “อ่ออ!” การรับผิดชอบในการขอโทษที่สวีทแบบนี้ แม้แต่คิดเธอก็ยังไม่อยากคิด
เขาดื่มนมเปรี้ยวหมดไปหนึ่งกล่องก็เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างขี้เกียจ อาหารที่กำลังร้อนมีควันขึ้นอยู่ตรงหน้าของเขา แต่เขาก็ไม่ขยับเลยสัดนิด ส่วนเซี่ยหลิงหลิงกลับกินอย่างเอร็ดอร่อย เธอไม่กล้าที่จะขออาหารกินอีกชุด เพื่อหลีกเลี่ยงว่าตัวเองเหมือนคนบ้านนอก ถูกแอร์โฮสเตสหัวเราะเยาะ แต่ว่ากินไปแค่หนึ่งกล่อง ก็เหมือนจะยังไม่อิ่ม
เซี่ยหลิงหลิง: “...” สายตาของเธอตกไปที่ชุดอาหารของเฉิงรุ่ย
เฉิงรุ่ยน่าจะหลับแล้ว เขาไม่ขยับเลย ตาก็ปิดสนิท หายใจก็ปกติ หลายวันก่อนหน้านี้เขาออกจากบ้านแต่เช้าและกลับมามืดค่ำเป็นประจำ
เซี่ยหลิงหลิงไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนเขา
เธอค่อยๆย้ายชุดอาหารที่กำลังร้อนของเฉิงรุ่ยมา แล้วค่อยๆเปิดเบาๆ ค่อยๆยกช้อนเพื่อจะตักอาหาร
ที่จริงแล้วเฉิงรุ่ยไม่ได้หลับ เขาไม่เคยหลับตอนอยู่บนเครื่องบินเลย เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วเห็นเซี่ยหลิงหลิงกำลังก้มตัวกินข้าวเหมือนกับหนูแฮมเตอร์ เสียงต่ำของเขาก็ดังขึ้นมา “ไหนบอกว่ากำลังลดน้ำหนักอยู่ไง”
เซี่ยหลิงหลิงสำลักอาหารอย่างไม่มีเสียงไปทีหนึ่ง “...”
เจ้าหมอนี่กลับยังจำเรื่องกินของฉันได้
เซี่ยหลิงหลิงเอ่ย “อยากกินอะไร กลับไปแล้วฉันจะทำให้กินนะ”
เฉิงรุ่ย: “โต๊ะจีน..”
เซี่ยหลิงหลิง: “อืม ..ถือว่าฉันไม่ได้พูดละกันนะ”
ระยะเวลาในการบินประมาณสามชั่วโมง เซี่ยหลิงหลิงได้กินอิ่มสมบูรณ์ ใส่หูฟังดูหนังอย่างมีความสุขสุดชีวิต แต่สิ่งทีเธอไม่รู้ก็คือ ในโซนชั้นประหยัดยังมี “เพื่อนร่วมอาชีพ” อีกสองสามคนนั่งอยู่
ฝู้จื่อเฉิงหวาดผวามาตลอดทาง “ซวยแล้วซวยแล้ว ถ้าบอสเจอพวกเรา ต้องตายแน่ๆ”
ถูหนาน: “จะไม่รู้ได้ไงล่ะแม่ง”
ก็แค่เกรงว่าจะทำให้วิกฤตเกิดขึ้นในครอบครัว
ถูหนานกินข้าวมันไก่อย่างกลัดกลุ้มไปหนึ่งคำ ไม่แฮปปี้เอามากๆ เพื่อไม่เปิดเผยตัวตน ทำได้เพียงแค่จองชั้นประหยัด ข้าวไม่อร่อยเลยสักนิด แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาที่สามารถเปิดเผยตัวตนต่อสาธารณชนได้มากที่สุดก็คือแค่ใส่แว่นกันแดดออกไป ไม่สามารถเผยให้เห็นใบหน้าทั้งหมด เพื่อหลีกเลี่ยงการที่คนอื่นจะจำได้
และการพักร้อนสามวันที่มีความสุข(?)กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
หลังจากเซี่ยหลิงหลิงมาถึงโรงแรมก็นิ่งไปพักใหญ่
เธอกลับลืมถามว่าจองห้องเอาไว้กี่ห้อง! เธอไปชูนิ้วชี้ขึ้นที่หน้าเค้าเตอร์ เซี่ยหลิงหลิงถึงจะรู้สึกว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว “ขอจองห้องเพิ่มอีกห้องได้มั้ยคะ เดี๋ยวจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองค่ะ”
“ขอโทษด้วยนะคะ ห้องวีไอพีของเราที่นี่จะต้องจองล่วงหน้าค่ะ เพราะว่าห้องว่างมีจำนวนจำกัดค่ะ” เฉิงรุ่ยเกือบทำให้วิญญาณพนักงานหญิงหน้าเค้าเตอร์หลุดลอยไป หน้าเธอแดงไปหมด
เซี่ยหลิงหลิงถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง
“ก็ได้ค่ะ”
โชคดีที่เป็นห้องชุด ก็เหมือนอยู่ที่บ้าน นอนห้องใครห้องมันก็ดีเหมือนกัน
เฉิงรุ่ยที่อยู่ข้างๆกำลังใจลอย เซี่ยหลิงหลิงดึงเขามา แล้วเดินไปที่บันได เมื่อทั้งสองเดินมาถึงหน้าประตูห้อง เฉิงรุ่ยก็มองไปที่ห้องใหญ่เหมือนกำลังคิดอะไรบางสิ่งอยู่ เขาไม่ได้พูดอะไร
ที่นี่มีแค่โรงแรมแห่งนี้แห่งเดียว พวกถูหนานก็คงต้องเลือกห้องรับแขกที่เหลืออยู่
พนักงานหญิงหน้าเค้าเตอร์พูดอย่างเกรงใจว่า “คุณคะ มีคุณผู้หญิงที่จองไว้ล่วงหน้าเค้าจะเอาสองห้องด้วยนะคะ”
ถูหนานในใจลุกลี้ลุกลน “แล้วเอาห้องให้เค้าแล้วเหรอครับ”
“ยังไม่ได้ให้ค่ะ” เธอยิ้มออกมาอย่างมีมาตรตามอาชีพของเธอ “คู่รักมาโรงแรมของเราแห่งนี้ ก็จะมีแค่ห้องเดียวตลอดไปค่ะ”
วิธีนี้ได้ผล
ถูหนานยกนิ้วโป้งให้
… “คุณลูกค้าอยากจะพักห้องไหนคะ”
“เอาห้องที่ใกล้ๆกับคู่รักคู่นั้นก็ได้ครับ” แผนการเป็นไปตามที่วางไว้ดำเนินต่อไป
พวกเขาสามคนอยู่ด้วยกันในหนึ่งห้องชุดพอดี หยางหลิวอยู่คนเดียวไปเลยหนึ่งห้อง
หนุ่มโสดสามคนอยู่ในห้องเดียวกัน คนหนึ่งถือขวดเบียร์นั่งอยู่บนพรม แล้วถอนหายใจออกพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย นี่มันเรื่องอะไรกัน
ถูหนานพูดว่า “หยางหลิวทำงานกับพวกเรามาสองสามปีแล้วรึเปล่า”
ฝู้จื่อเฉิงพยักหน้า “สองปีแล้ว”
“นายคิดว่านานขนาดนี้แล้ว ทำไมยังไม่รู้อารมณ์ของบอสอีกล่ะ นี่ฉันทำแบบนี้ก็เพราะหวังดีนะ” พอคิดถึงเรื่องผู้หญิงคนนั้นที่คิดอยากจะทำอะไรก็ทำ เขาก็โกรธขึ้นมา
เจียวฝันผู้เดียวที่รู้เป็นคนสุดท้ายอุทานขึ้นมาอย่างตกใจ “หมายความว่าไง เค้าชอบบอสเหรอ”
อีกสองคนตอบอย่างไม่รู้จะตอบว่าอะไร “แล้วนายคิดว่ายังไงล่ะ!?!”
นี่ดูไม่ออกจริงๆเหรอ
ในขณะเดียวกัน
เซี่ยหลิงหลิงเก็บข้าวของไปสักพัก เตรียมที่จะเปลี่ยนชุดว่ายน้ำออกไปเล่น เธอเอากล้องถ่ายรูปที่เพิ่งซื้อมาใหม่ออกมาจากในกระเป๋าอย่างตื่นเต้น แล้วทักทายเฉิงรุ่ย “เดี๋ยวออกไปถ่ายรูปให้ฉันด้วยล่ะ”
พอหันมา กลับไม่เห็นเงาของเฉิงรุ่ยแล้ว
เซี่ยหลิงหลิงอยู่ในครัว
เฉิงรุ่ยนั่งอยู่บนโซฟาดื่มโค้กไปหนึ่งกระป๋อง เซี่ยหลิงหลิงพูดว่า “อีกเดี๋ยวพวกเราก็ออกไปกันได้แล้ว” เมื่อได้ยินประโยคนี้ เขาก็หยิบถั่วและขนมขบเคี้ยวออกมาจากในลิ้นชักกองหนึ่งด้วยความเคยชิน แล้วค่อยๆกินอย่างช้าๆ นั่งกินไปหนึ่งชั่วโมง เซี่ยหลิงหลิงใส่ชุดว่ายน้ำแล้วใส่เสื้อคลุมทับเอาไว้ด้านนอก ในที่สุดก็เดินออกมาจากห้อง
หุ่นของเธอดีมาก ขาทั้งสองยาวและขาว ร่างมีส่วนเว้าส่วนโค้ง ไม่มีส่วนไหนในร่างกายเธอที่ไม่น่าดึงดูด ผู้ชายคนไหนก็หลงเสน่ห์ที่น่าดึงดูดของเธอ
สายตาของเขาหยุดอยู่ที่ผิวขาวนวลราวกับหิมะของเธอ
เซี่ยหลิงหลิงแหงนหน้าขึ้นและพูดว่า “ฉันรู้ว่าฉันสวยมาก นายอยากมองก็เชิญมองได้ตามสบาย”
เฉิงรุ่ยชี้ไปที่ท้องของเธอที่มีพุงออกมาเล็กน้อย “เธออ้วน…”
เซี่ยหลิงหลิง “หุบปาก”
*
แสงอาทิตย์ในยามเย็นชวนให้ผู้คนหลงใหล น้ำทะเลใสสะอาด ทะเลและท้องฟ้าตัดกันเป็นเส้นตรง สามารถมองเห็นพระอาทิตย์ค่อยๆลับฟ้าอย่างช้าๆและเงียบๆ
สมองของเซี่ยหลิงหลิงเต็มไปด้วยภาพแนวซุปเปอร์โมเดลในลุคต่างๆที่เห็นจากในอินสตราแกรม เธอไปยืนอยู่บนโขดหิน หามุมที่เหมาะสม และยกผ้าโปร่งบางขึ้น เธอมองไปยังที่แสนไกล ราวกับว่าเธอจะบินขึ้นไปกับผ้าที่โปร่งบางของเธอ ท่านี้เป็นท่ายาก เซี่ยหลิงหลิงไม่สามารถหันกลับไปมองเฉิงรุ่ยได้ จึงถามเฉิงรุ่ยด้วยเสียงสูงว่า “ได้รึยัง”
“อื้ม”
“ไหนดูหน่อยซิ ว่าถ่ายออกมาเป็นยังไง”
เซี่ยหลิงหลิงวิ่งไปหยิบกล้องมาจากเฉิงรุ่ยด้วยความตื่นเต้นดีใจ ดวงตาที่เดิมทีสวยราวเหมือนดอกท้อก็แข็งทื่อขึ้นมา ภาพวิวภาพนี้มันสวยจริงๆ น้ำทะเลคลื่นเล็กๆ สีทองสาดเบาๆเป็นระลอกๆ เมื่อมองไปไกลๆ ขอบฟ้ามีเมฆที่สวยงาม เหมือนเป็นสวรรค์ที่อยู่บนโลกมนุษย์
แต่ทว่า
เซี่ยหลิงหลิงหาแล้วหาอีก จากนั้นก็เอ่ยถามว่า “ฉันล่ะ???”
“นี่ไง” เฉิงรุ่ยชี้ไปที่หน้าจอกล้อง เซี่ยหลิงหลิงซูมภาพ ในที่สุดก็หาเงาดำที่อยู่บนโขดหินเงาหนึ่งเจอ
ดีแล้วที่มองไม่เห็น ถ้าเห็นก็จะยิ่งโกรธขึ้นมามากกว่าเดิม
เมื่อถ่ายจากมุมนี้ไป เหมือนกับมีนกอินทรีย์กำลังยืนอยู่บนโขดหิน...เรียกได้ว่ามุมอับสายตา อารมณ์ของเซี่ยหลิงหลิงเริ่มซับซ้อนขึ้น อยู่ดีดีก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
เธอทำสีหน้าเคร่งขรึม ในที่สุดสีหน้าที่จ้องเขม็งอย่างจริงจังของเธอทำให้เฉิงรุ่ยอยากจะร้องขอชีวิต
เฉิงรุ่ยถามอย่างจริงจัง “ถ่ายไกลไปเหรอ”
“นายคิดว่าไงล่ะ!” เธอโกรธมาก
ถ่ายเอาซะเธอกลายเป็นนกอินทรีย์ ผู้ชายที่เป็นคนตรงๆและโรแมนติกแบบเขาคงถ่ายได้ดีแค่นี้จริงๆ
เพื่อที่จะชดใช้สิ่งที่ตัวเองทำไป เฉิงรุ่ยจึงถ่ายรูปให้เซี่ยหลิงหลิงใหม่อีกครั้ง
เซี่ยหลิงหลิงกำชับหลายครั้งว่าให้หามุมดีดีให้เธอ อย่าถ่ายไกลจนเกินไป ต้องถ่ายออกมาให้มีความรู้สึกเหมือนอยู่ในฝัน ราวกับว่าเธอเป็นเทพธิดาที่อยู่บนผนังในตุนหวง
ฉวยโอกาสตอนที่เฉิงรุ่ยกำลังหามุม เซี่ยหลิงหลิงก็หันมาดูหน่อยๆ เมื่อเห็นตำแหน่งที่เขาอยู่ไม่ไกลจากตน ทำให้เธอโพสต์ท่าได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
ผ่านไปสักพัก
เซี่ยหลิงหลิง “โอเครึยัง?”
น้ำเสียงของเฉิงรุ่ยพูดตอบอย่างรวดเร็ว “สวยมาก ดูมีศิลปะมาก”
เซี่ยหลิงหลิง “???”
เธอรู้สึกมีลางสังหรณ์แปลกๆ
เธอกระโดดลงมาจากหินโสโครก แล้ววิ่งไปเอากล้องถ่ายรูปข้างกายเฉิงรุ่ย ทันใดนั้นก็รู้สึกเหมือนโดนโจมตีอย่างหนักหน่วง คนนั้นที่อยู่ในรูปเกือบจะดูไม่ออกว่านั่นคือตัวเอง
ระยะในการถ่ายครั้งนี้มันก็ใกล้พอจริงๆ ใกล้จนเกือบเห็นตัวเธอ ที่สุดของที่สุดคือเฉิงรุ่ยก็ยังคงถ่ายจากมุมต่ำ
เซี่ยหลิงหลิงในรูปตัวค่อนข้างใหญ่ สามารถใหญ่เกือบเต็มกล้องเลยก็ว่าได้ สิ่งที่อยู่ในรูปใหญ่มาก ใหญ่จนบดบังทะเล พระอาทิตย์ที่กำลังตก และท้องฟ้า เธอเป็นเทพธิดาที่อยู่บนผนังตุนหวงซะที่ไหน นี่มันคือสุริยคราสชัดๆ
มุมนี้มันทำให้ภาพดูแย่จนทำให้เซี่ยหลิงหลิงอยากมัดเฉิงรุ่ยไว้กับจรวด แล้วส่งไปบนอวกาศไม่ต้องกลับมายังโลกอีก
เซี่ยหลิงหลิงกัดฟันอย่างโกรธแค้น นางฟ้าสวยๆอยู่ดีๆกลับมีคนมาทำให้โกรธจัด “นายเคยได้ยินคดีสังหารสามีที่ริมทะเลมั้ย”
เฉิงรุ่ยผู้ก้าวถอยหลังไปสองก้าวอย่างเงียบๆ ก็ลองเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “.....เหมือนกับว่าต้องไปกินข้าวแล้วนะ”