ตอนที่27
ตนที่27
วันนี้เป็นวันที่หิมะตกวันแรกในรอบปี
สีท้องฟ้าที่ดำมืดมีแสงสีส้มแดงสะท้อนออกมา โลกมนุษย์เต็มไปด้วยสีขาว ลมเย็นมาก เย็นไปถึงกระดูกดำ ถ้าตู้เย็นในบ้านไม่ว่าง เซี่ยหลิงหลิงก็คงไม่เลือกที่จะออกจากบ้าน
เธอออกมาข้างนอกกับเฉิงรุ่ย
ในความคิดของเซี่ยหลิงหลิง เหมือนกับว่าเฉิงรุ่ยไม่ได้ออกจากบ้านอาทิตย์นึงแล้ว
ตอนนี้คือวันพักผ่อน ถ้ายังให้เขาอยู่บ้านไม่ออกไปไหน เกรงว่าเขาจะอึดอัดจนไม่สบาย กำลังหาคนช่วยถือของพอดี ก็เลยชวนเขาไปด้วย
เฉิงรุ่ยออกไปข้างนอกแต่ไม่ได้คิดที่จะใส่เสื้อโค้ต มีเพียงเสื้อฮู้ทคอกลมแขนยาวบางๆสีดำน้อยชิ้น เซี่ยหลิงหลิงหน้าดำคร่ำเครียด ยื่นมือไปหยิบเสื้อหนาวขนเป็ดสีดำที่แขวนที่ประตูของตนมาสวมทับให้เขาอีกชั้น เสื้อหนาๆของเธอหลวม พอสวมให้เฉิงรุ่ยแล้วก็พอดีตัวเขาพอดี
เฉิงรุ่ยล้วงกระเป๋ากางเกง เขาไม่ได้มีความเห็นอะไรกับเสื้อโค้ตที่เธอสวมให้ แล้วเดินไปอยู่ข้่งหลังเซี่ยหลิงหลิงอย่างเชื่องช้า
คนนึงเดินข้างหน้า คนนึงเดินข้างหลัง ทั้งคู่เดินช้ากว่าวันปกติมาก
เซี่ยหลิงหลิงก้าวขึ้นบันไดอย่างระมัดระวัง
หิมะก่อตัวหน้าอยู่ที่บันไดเป็นชั้นๆ ทีที่เธอใส่รองเท้ากันลื่น ไม่เช่นนั้นคงลื่นล้มไปแล้ว เซี่ยหลิงหลิงเดินไปได้สองสามก้าว ก็เอ่ยปากเตือนเฉิงรุ่ย “เดินระวังด้วย…”
เธอลื่นปลายเท้าชี้ขึ้นฟ้า หกล้มลงไปบนบันไดอย่างควบคุมไม่ได้ ภาพนั้นมันดูน่าตลกมาก จริงๆแล้วมันก็ไม่ได้เจ็บหรอก เพราะมีเสื้อกันหนาวที่หนาพอมารองรับได้อย่างเหมาะเจาะ มันรู้สึกขายหน้ามากกว่า
เซี่ยหลิงหลิงหันซ้ายแลขวาอย่างจริงจัง รอบๆไม่มีใครเห็นเธอที่ตกอยู่ในสภาพนั้น เธอก็ถอนหายใจ ไม่นานก็ได้ยินเสียงหัวเราะสั้นๆและชัดเจนจากข้างหลัง
เฉิงรุ่ย “ฮะๆๆ”
เซี่ยหลิงหลิง “....” ตาบ้านี่กล้าขำเธอเหรอ??
เธอเริ่มโกรธ อยากจะลุกขึ้นมา แต่พื้นลื่นมากและก้มล้มกระแทกกับพื้น สามารถพูดได้ว่าในเวลานี้รองเท้าบูธกันลื่นก็คือรองเท้าเล่นสเกต อยากจะเล่นลื่นเท่าไหร่ก็เล่นได้ เซี่ยหลิงหลิงอยากจะคอมเม้นท์สินค้าว่าแย่ขนาดไหนให้เจ้าของร้านฟังซะเดี๋ยวนี้ เซี่ยหลิงหลิงเบิกตามองเฉิงรุ่ยที่เดินลงบันไดอย่างง่ายดายชิวๆ น้ำเสียงเชื่องช้า ถามอย่างดูงงๆ “ไม่เดินเหรอ”
เซี่ยหลิงหลิง “...พยุงฉัน”
เฉิงรุ่ย “อื้อ”
เซี่ยหลิงหลิงออกแรงจับแขนเขาพยุงตัวขึ้นมาอย่างช้าๆ ปัดๆหิมะที่อยู่บนตัว ตอนแรกเธอคิดอยากจะปาหิมะใส่เขาสักสองสามก้อน แต่ว่านึกถึงเมื่อครั้งที่แล้วตาบ้านี่เป็นหวัดอย่างหนัก เซี่ยหลิงหลิงเกรงว่าเขาจะกลับไปนึกถึงภาพโต๊ะจีน เลยตัดสินใจทำเรื่องที่มีสาระดีกว่า
ในตอนที่เธอเตรียมจะมุ่งหน้าเดินไปที่ห้างสรรพสินค้า ทันใดนั้นก็เห็นเงาของร่างหนึ่ง
เป็นเงาของผู้หญิง
วันที่หนาวแบบนี้ เธอใส่เสื้อกันลมที่บางนิดหน่อย ผมถูกลมปลิวจนยุ่ง ไม่รู้ว่าใบหน้าที่สวยงามแข็งหรือเป็นเพราะเหตุผลอื่น เหมือนโดนทุบน้ำค้างแข็งออก ใบหน้าขาวซีด สายตาของเธอมองไปที่เซี่ยหลิงหลิงกับเฉิงรุ่ยอย่างไม่ขยับ ดูแข็งทื่อไร้จิตวิญญาณ
ทำให้เซี่ยหลิงหลิงนึกถึงป้าเสียงหลินที่อยู่ในหนังสือเรียนตอนมัธยมปลาย ลูกตาของเค้ายังขยับอยู่บ้าง ยังสามารถบ่งบอกให้รู้ว่าเค้ายังเป็นสิ่งที่มีชีวิตอยู่
เซี่ยหลิงหลิง “......” รู้สึกเห็นอกเห็นใจที่ใจสมองเค้ามีแต่ขี้เลื่อย
รู้สึกมีลางแปลกๆ หรืออาจเป็นเพราะว่าความรู้สึกตกใจจากในสายตาฝ่ายตรงข้ามมันชัดเจนเกินไป อยู่ๆในสมองของเซี่ยหลิงหลิงก็มีชื่อหนึ่งลอยขึ้นมา
ไป๋เซวียนเซวียน
จะใช่ไป๋เซวียนเซวียนรึเปล่านะ? ในเวลาสำคัญแบบนี้เค้าจะมาอีกเมืองหนึ่งเหรอ เซี่ยหลิงหลิงไม่เข้าใจจริงๆว่าตอนนี้เธอมีความคิดยังไงกันแน่
ไป๋เซวียนเซวียนยืนอยู่ในที่ที่ไม่ห่างไปมากนัก
เดิมทีเธอแค่อยากจะมาดูหน้าต่างบานนั้นที่คุ้นเคยข้างล่างตึก
เกือบทุกวันในตอนค่ำ หน้าต่างห้องหนังสือของเฉิงรุ่ยจะเปิดไฟ เหมือนกับว่ากำลังชี้ทางให้เธอในตอนนั้นที่โง่เขลาและไร้เดียงสา ในความเย็นชาของเขาทำให้เธอสูญเสียความเป็นตัวเอง
วันนี้เธอก็หอบเอาอารมณ์นั้นมาด้วย เธอคิดว่าเธอเห็นความเหงามาจากหน้าต่างบานนั้น ก็รู้สึกจิตใจสงบโดยสิ้นเชิง
สุดท้าย...
ไป๋เซวียนเซวียนมองดูเฉิงรุ่ยที่ไม่นึกว่าจะเดินมากับผู้หญิงคนหนึ่ง และยื่นแขนให้เธอลุกขึ้นมา ราวกับสุนัขตัวใหญ่ที่ฟังคำสั่งของเธอ สายตาของเขา ไม่เคยมองมาที่ไป๋เซวียนเซวียนที่ดูอบอุ่นแบบนั้นมาก่อน
โลกของไป๋เซวียนเซวียนพังทลายลงมาแล้ว
ผู้หญิงคนอื่นอาจจะจำไม่ได้ แต่รูปลักษณะของเซี่ยหลิงหลิง ถึงเธอจะกลายเป็นขี้เถ้า ไป๋เซวียนเซวียนก็จำได้ทั้งหมดอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง!
การรับรู้ชั่วขณะนี้ทำให้เธอกลัว ไม่ใช่ว่าพวกเค้าหย่ากันแล้วเหรอ
ก่อนหน้านี้ฉันเห็นข่าวในอินเตอร์เน็ตว่า บริษัทของตระกูลเฉิงกำลังจะล้มละลาย ในใจไป๋เซวียนเซวียนเหมือนฝังเมล็ดพืชที่ไม่ปลอดภัย ดัชนีทองคำที่ใหญ่ที่สุดของเธอคือความสามารถที่กลับไปทำหรือเปลี่ยนบางอย่างได้อีกครั้ง ถ้าหลุดพ้นจากดัชนีทองคำนี้ไป เธอก็จะไม่มีอะไรเลย
เธอแอบภาวนาเงียบๆ นี่เป็นแค่ปีกผีเสื้อเล็กๆที่บินกระพรือ ตอนนี้เห็นสภาพที่ทั้งสองคนพร้อมใจอยู่ด้วยกัน ทันใดนั้นไป๋เซวียนเซวียนก็โง่เขลาขึ้นมา
ตระกูลเฉิงอาจจะล้มละลายก่อนหน้านั้นก็ได้ เฉิงรุ่ยก็อาจไม่ต้องหย่า แล้วกู้โหยวก็จะสูญเสียตั้งแต่นี้ และไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
เธอรู้ดีว่าผู้ชนะในชีวิตที่เธอรู้ว่าสามารถกลายเป็นตัวเรือดทันทีและมันจะไม่ถูกกู้คืน
ทันใดนั้นไป๋เซวียนเซวียนก็นึกถึงเรื่องน่ากลัวขึ้นมาได้ ถ้าเกิดว่ากู้โหยวกลับตัวไม่ได้ล่ะ ถ้าที่สุดแล้วเขาทิ้งเธอ เธอควรจะทำยังไง
สถานการณ์ของกู้โหยวในตอนนี้ดูน่าอึดอัด มีปัญหาร้ายแรงมากมาย แค่ไป๋เซวียนเซวียนคิดว่าถ้าฟ้าลิขิตให้เธอต้องกลายเป็นพนักงานบริษัทธรรมดาๆคนหนึ่ง ความรู้สึกดรอปในใจก็ขยายอย่างไม่จำกัด โดยเฉพาะตอนที่เห็นว่าแม้เซี่ยหลิงหลิงจะแต่งตัวเรียบง่าย แต่ทั้งตัวกลับเป็นของมียี่ห้อทั้งนั้น เธอดูมีชีวิตชีวา สวยงาม เห็นได้อย่างชัดเจนว่าชีวิตเธอมีความสุขมากๆ
เทียบกับตัวเองแล้ว ตระกูลของเธอก็ธรรมดาๆ กู้โหยวก็แค่บังเอิญให้บางสิ่งกับเธอ แต่กลับไม่ใช่ของเล่นที่มีค่า
ไป๋เซวียนมีความจริงใจ เธอไม่สามารถกลับไปทำดีกับกู้โหยวต่อไปได้แล้วจริงๆ
เฉิงรุ่ยที่ยืนอยู่ที่บันไดมองเซี่ยหลิงหลิง ทันใดนั้นก็ชักสายตากลับมาด้วยความไม่สนใจ
เขาพูดออกมาอย่างเชื่องช้า “ไปกันเถอะ”
ณ ตอนนี้ ที่ร้านสะดวกซื้อที่เปิดตลอดวันยังซื้อโอเด้งได้อยู่
เฉิงรุ่ยคิดเอาไว้แล้วว่าตัวเองอยากกินอะไร
เซี่ยหลิงหลิงสติกลับมา แล้วเธอก็เห็นว่าอีกฝ่ายอยู่ที่เดิม แบบนี้ก็มั่นใจได้แล้วว่า ผู้หญิงคนนั้นน่าจะเป็นไป๋เซวียนเซวียน ที่เธอจำได้คือเธอต้องหย่ากับเฉิงรุ่ยนานแล้ว ไม่รู้ว่าไป๋เซวียนเซวียนจะรู้สึกอย่างไรเวลาที่เห็นเซี่ยหลิงหลิง
เซี่ยหลิงหลิงไม่ได้หวาดกลัวอะไรไป๋เซวียนเซวียน
ไป๋เซวียนเซวียนไม่มีกลุ่มรับอ่างเบา ไม่มีพื้นที่เป็นของตัวเอง ไม่มีแอพที่ทำให้สวยขึ้น และยิ่งไม่มีโอกาสเหมือนในโลกการ์ตูน วิธีหนึ่งเดียวของเธอคือเกาะกู้โหยวไว้เอาตลอดเวลา เหมือนเกาะผู้มีอิทธิพล จะไม่มีทางเหี่ยวแห้งอย่างแน่นอน
เมื่อเทียบกันแล้ว เซี่ยหลิงหลิงอ่านหนังสือจบเล่ม ก็เลยรู้เค้าโครงเรื่องอย่างแม่นยำได้มากกว่าไป๋เซวียนเซวียน
“ไปๆๆ จะแข็งตายอยู่แล้ว”
จนกระทั่งพวกเค้าเดินไปไกลจนมองไม่เห็นเงาแล้ว ไป๋เซวียนเซวียนก็ยังคงรู้สึกขวัญหนีดีฝ่ออยู่เหมือนเดิม
เธอควรจะเดินเส้นทางนี้ต่อไปยังไง?
……
เซี่ยหลิงหลิงล้วงกระเป๋ากางเกงอย่างใจลอย
ถึงอย่างไรเสีย ทุกครั้งที่เห็นคู่พระนางกัดกันก็ไม่ได้แปลกอะไร
อยู่ดีๆเฉิงรุ่ยที่อยู่ข้างๆก็พูดออกมา “อย่าไปเข้าใกล้เค้า”
“เค้า?”เซี่ยหลิงหลิงเข้าใจทันทีว่าเฉิงรุ่ยหมายถึงใคร
เซี่ยหลิงหลิงถาม “นายรู้จักเหรอ”
เฉิงรุ่ยส่ายหัว
ถ้าไป๋เซวียนเซวียนได้ยินเข้าคงโกรธน่าดู เธอบอกใบ้เฉิงรุ่ยเป็นนัยๆหลายครั้ง แต่เขากลับไม่ได้มีความประทับใจในตัวเค้าเลย!
ที่สำคัญที่สุดก็คือ เฉิงรุ่ยส่ายหัวด้วยความจริงจังสัตย์จริง ไม่ได้แสร้งทำว่าไม่รู้จัก
เซี่ยหลิงหลิง “....”
ถ้าเธอแอบรักเฉิงรุ่ย ก็เกรงว่าจะโกรธจนอกแตกตายได้
พอคิดได้ถึงตรงนี้ เซี่ยหลิงหลิงก็เกิดสนใจขึ้นมา เธอเอาแขนของเธอไปควงแขนของเฉิงรุ่ย “นี่ นายเคยมีแฟนรึเปล่า”
เฉิงรุ่ยชำเลืองไปมองเธอแวบหนึ่ง แต่เขาก็ขี้เกียจที่จะตอบคำถามนี้
เซี่ยหลิงหลิงยังคงถามจี้ต่อไปอย่างไม่ยอมแพ้ “งั้นคนที่นายชอบล่ะ ต้องมีอยู่แล้วใช่มั้ย รักแรกเมื่อสมัยยังวัยรุ่นน่ะ”
เฉิงรุ่ยถามเสียงเรียบ “เธอมีเหรอ?”
ทันใดนั้นเซี่ยหลิงหลิงก็ยิ้มหน้าบานทันที “ในตอนที่ฉันเริ่มเข้าเรียนมหาวิทยาลัย มีนักร้องคนนึงหล่อมากเลย! ผู้หญิงในคณะหลงรักเขาทุกคนเลย...อ๊ะ นี่นาย เดินช้าๆหน่อยสิ!”
อยู่ดีๆเฉิงรุ่ยก็เดินเร็วขึ้น ทำให้เซี่ยหลิงหลิงลืมไปว่าตัวเองจะพูดอะไร เพราะเธอต้องเดินให้ทันเฉิงรุ่ย
เธอกลัวว่าจะโดนแดดจนผิวดำ จึงอยู่ห่างจากเฉิงรุ่ยเกินสองเมตรไม่ได้!
*
ประสบการณ์ชีวิตของเฉิงรุ่ยเป็นเรื่องลึกลับสำหรับเซี่ยหลิงหลิง
ไม่รู้ว่าในอดีตเขาไปเจออะไรมาบ้าง ปัจจุบันถึงได้มีนิสัยแบบนี้ แต่เซี่ยหลิงหลิงก็คิดได้ ว่าจะต้องไม่ใช่ความทรงจำที่ดีแน่ๆ คำสแลงที่ได้ยินจากปากของแม่เลี้ยงเย่ซีทำให้เซี่ยหลิงหลิงมั่นใจได้ประมาณนึงว่าคนที่อยู่ในใจที่เฉิงรุ่ยคิดถึงมาตลอดก็มีแค่แม่ที่ตายไปแล้วเท่านั้น
ในสมองของเธอมีภาพเฉิงรุ่ยที่เชื่องช้ากำลังโดนพวกผู้ชายรุมรังแกอยู่ในโรงเรียน และฉากที่ถูกอิจฉาริษยา
ตอนที่พูดคุยกันระหว่างทานอาหารกลางวัน ถูหนานก็หลุดปากให้ข้อมูลสำคัญออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ผมกับเฉิงรุ่ยเป็นเพื่อนสมัยเรียน เมื่อตอนมอปลายเรียนโรงเรียนเดียวกัน ผมไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ แต่ก็ยังติดต่อกับเขาอยู่บ้าง”
“เพื่อนสมัยเรียนมอปลาย?”
เซี่ยหลิงหลิงตกใจ “แล้วคุณรู้มั้ยว่าตอนมอปลายเขาเป็นยังไง เขาโดนเพื่อนรังแกเหมือนที่ฉันคิดมั้ย!”
ถูหนานแทบจะสำลักสิ่งที่ตนโพล่งออกมาจากปาก
เขามองพี่สะใภ้เหมือนเป็นกระต่ายขาวบริสุทธิ์ตัวน้อยๆ แล้วก็คิดที่จะปกปิดความจริงเอาไว้ ผู้หญิงเป็นสัตว์ที่เซ็กซี่ สิ่งที่ชอบที่สุดก็คือเห็นอกเห็นใจผู้ที่อ่อนแอน่าเวทนา ง่ายดายแก่การทำให้ผู้ชายรู้สึกประทับใจ พี่สะใภ้ดีกับบอสแบบนี้ เขาก็น่าจะมีชีวิตที่ราบรื่นนะ
ถูหนานลุกพรวดขึ้นมา และพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูสลดหดหู่ “แต่ว่า...ตอนที่น่าสงสารก็ช่างน่าเวทนาเหลือเกิน ชีวิตของเขาไม่ได้ราบรื่นเลย”
ไม่ดีบ้าอะไรล่ะ!
บุคคลที่มีอิทธพลแห่งยุคสมัยคนไหนต่างก็รู้กันทั้งนั้น
ถูหนานยังคงพูดต่อ “ช่วงนี้มีงานรวมรุ่น พวกเราต้องไปกันทุกคน บอส...เฉิงรุ่ยก็จะไปด้วย”
ตั้งแต่เฉิงรุ่ยจบมอปลาย ก็เริ่มใช้ชีวิตไม่เหมือนคนทั่วไป ผิดแปลกไปจากความเป็นมนุษย์ ไม่เหมือนเมื่อก่อน ถูหนานเห็นก็เป็นห่วง พอเขาสังเกตเห็นพัฒนาการด้านความรักที่เชื่องช้าเป็นเต่าของทั้งคู่เขาก็กลัดกลุ้มใจ เขาแค่หวังว่าเซี่ยหลิงหลิงจะเข้าใจเฉิงรุ่ยมากพอที่จะทำให้เฉิงรุ่ยเปลี่ยนตัวเองได้
ถูหนานอยากจะทำให้ความรักของเซี่ยหลิงหลิงท่วมล้นออกมาสักครั้งหนึ่ง
เซี่ยหลิงหลิงกลับถึงบ้านก็เห็นเฉิงรุ่ยนั่งอยู่บนโซฟา เธอก็ระมัดระวังตัวขึ้นมาทันที
เธอตบไหล่เฉิงรุ่ย แล้วถามอย่างนุ่มนวล “นายอยากกินอะไร วันนี้เหนื่อยมั้ย พวกเรามาคุยกันหน่อยมั้ย”
เฉิงรุ่ยเงียบไป อยู่ดีๆก็ลุกขึ้นยืน
เซี่ยหลิงหลิงคิดว่าเขาจะประทับใจ
ไม่นึกว่าเขาจะเดินไปหยิบ...ปรอทวัดไข้
เฉิงรุ่ย “วัดสักหน่อยนะ”
เซี่ยหลิงหลิง “ฉันตัวเย็นขึ้นแล้ว จริงๆนะ”
อัพเดทครั้งหน้า วันที่ 4 พ.ย. 2019
จะมาในเร็วๆนี้ โปรดอดใจรอก่อน