ตอนที่ 32
ตนที่ 32
เฉิงรุ่ยก้มหน้า กดตาต่ำ จนมองไม่เห็นสายตาของเขา
เสียงของเขาเบามาก ในตอนที่รั้งเซี่ยหลิงหลิงไว้ ก็จับไว้ได้แค่ชายเสื้อ เหมือนกับปลาใกล้ตายที่ดิ้นรนหาแหล่งน้ำ แต่กลับพบว่าแหล่งน้ำนั้นไม่มีน้ำเหลือแล้ว
คำพูดที่เขาพูดออกมา ทำให้เซี่ยหลิงหลิงงงไปสักพัก ในตอนนั้นเธอไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรต่อ
เฉิงรุ่ยคิดไปถึงไหนกันนะ?
ที่จริงแล้ว สิ่งที่เธออยากจะพูดก็คือ ‘ฉันว่า พวกเราไปนั่งคุยกันดีๆก่อนดีกว่า’
เซี่ยหลิงหลิงเคยเห็นแต่ในหนังสือ ไม่นึกว่าตัวตนของเฉิงรุ่ยจะมาพัวพันกับอนาคตของเธอ เซี่ยหลิงหลิงกลัวว่าสักวันเฉิงรุ่ยจะมีปัญหาเรื่องงานเพราะไม่ไตร่ตรองให้ดีก่อน จนฝ่ายตรงข้ามโกรธกระทั่งจ้างคนมาฆ่า และทำให้เซี่ยหลิงหลิงต้องทุกข์ทรมานไปด้วย
เฉิงรุ่ยไม่ได้คลายมือออก เห็นได้ชัดว่าสูงกว่าเซี่ยหลิงหลิงครึ่งหนึ่ง แต่กลับดูน่าสงสารเหมือนกับเด็ก
ใจของเซี่ยหลิงหลิงรู้สึกใจสู้ลดลงไปเหลือครึ่งๆกลางๆ
เธอไม่ชอบการที่คนอื่นยอมแพ้ เมื่อเห็นเฉิงรุ่ยที่ดูท่าทางน่าสงสารแบบนั้น เซี่ยหลิงหลิงก็พูดอะไรต่อไปไม่ออกแล้ว
เธอพูดด้วยน้ำเสียงดี “พวกเรากลับไปคุยกัน โอเคมั้ย”
ให้คนอื่นเห็นคงไม่เป็นเรื่องดีต่อเฉิงรุ่ย
เฉิงรุ่ย “ไม่ไปแล้วเหรอ”
เซี่ยหลิงหลิงพูดว่า “พวกเราต้องคุยกัน”
เขากัดริมฝีปากแน่น ไม่ได้พูดอะไรออกมา เหมือนกันว่าหูใบเล็กๆนั้นกำลังหลับใหลอยู่
เซี่ยหลิงหลิง “...” แรงที่ทำให้บาดเจ็บในครั้งนี้มันแกร่งมาก เธอรู้สึกรับไม่ค่อยไหว
ทั้งสองกลับบ้านโดยที่เงียบตลอดทาง
เซี่ยหลิงหลิงเดินนำหน้า เฉิงรุ่ยเดินตามหลัง ถูหนานกับพวกแอบดูอยู่ตรงมุมด้วยความเศร้าซึม ในตอนที่หรี่ตามองเฉิงรุ่ยกับเซี่ยหลิงหลิงเดินลงบันได อยู่ดีๆเฉิงรุ่ยก็หันกลับมาดวงตาที่เหมือนกับนกฟินิกซ์เปิดออกมาครึ่งหนึ่ง แต่ลูกตาเป็นสีดำขลับ หันไปจ้องมองทิศทางที่สองสามคนนั่นอยู่อย่างไว
สายตาที่โหดร้ายนั้นจ้องมองจนสองสามคนตัวสั่น ในใจรู้สึกทรมานอย่างแสนสาหัส
ซวยแล้วซวยแล้ว บอสต้องผูกพยาบาทพวกเราแน่!
ตอนนี้ฝู้จื่อเฉิงกับเจียวฝันจับถูหนานไว้แล้วตีอย่างหนัก ตีจนถูหนานร้องโอ้ยๆไม่หยุด และไม่กล้าที่จะตอบโต้
คนช่วยงานของถูหนานเห็นฉากที่เจ้านายของตัวเองถูกตีระห่ำ เธอก็เงียบไป ตัดสินใจทำเป็นไม่เห็น ใช้เส้นทางเดินอ้อมกลับไปพักผ่อนที่ห้องทำงานแล้ว
……
ตอนที่เฉิงรุ่ยใช้สายตาที่เฉียบคมหันไปมองเซี่ยหลิงหลิง ทั้งดูน่าสงสารและหมดปัญญาช่วยเหลือ
วันปกตินั้นเซี่ยหลิงหลิงจะใช้อำนาจบาตรใหญ่ ถ้าเฉิงรุ่ยกล้ามาอำนาจบาตรใหญ่มากกว่าเธอ เธอก็ยังอำนาจบาตรใหญ่มากกว่าอยู่ดี
แต่เฉิงรุ่ยกำลังตกอยู่ในกำมือของเธอ ทำให้เธอไม่รู้จะทำยังไงดี
เมื่อถึงบ้าน เซี่ยหลิงหลิงถึงจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
นิสัยเฉิงรุ่ยนั้นค่อนข้างสันโดษและเอาแต่ใจตัวเอง รู้สึกเย็นชากับชีวิต ถึงแม้ว่าเธอค่อนข้างจะสนิทใกล้ชิดกับเขา แต่ก็ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขามากนัก ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันมานาน เขาก็มองเธอเหมือนคนในครอบครัว ดังนั้นเขาจึงไม่อยากให้เธอจากไป
เขาขาดความรักจากแม่ ขาดความรักจากครอบครัว เขาคงหวังให้มีคนมาคอยเคียงข้างเขา
เซี่ยหลิงหลิงเข้าไปอยู่ในฐานะแม่เลี้ยงและพี่สาวอย่างอัตโนมัติ ทันใดนั้นก็รู้สึกมีแรงกดดันสูงมาก อีหมอนี่ก็ไม่ใช่ว่าจะเลี้ยงง่ายๆ แถมยังชั่วประสาทให้อารมณ์เสียอยู่บ่อยครั้ง
ทั้งสองคนนั่งอยู่บนโซฟา เซี่ยหลิงหลิงเอาข้อตกลงสัญญาการหย่าร้างเมื่อก่อนออกมา แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “ถ้างั้นฉันเซ็นชื่อในข้อตกลงสัญญาก่อน ถ้าหากเกิดปัญหาขึ้น ฉันสามารถไปเมื่อไหร่ก็ได้ หุ้นส่วนที่เขียนบนสัญญาก็ไม่มีแล้ว ฉันไม่ได้ต้องการเงินด้วย ถ้านายกลัวว่าฉันหลอกนาย นายสามารถเขียนสัญญาฉบับใหม่ขึ้นมาเองได้”
เฉิงรุ่ยเงียบ
“ในเมื่อนายไม่พูดอะไร งั้นฉันจะถือว่านายโอเคนะ”
เซี่ยหลิงหลิงเซ็นชื่อลงในสัญญาอย่างสบายใจ
เมื่อสองสามเดือนก่อน เขาหาคนมาลองเขียนสัญญา เพื่อทำให้ “เธอ” จากไป สองสามเดือนต่อมา การที่เธอเซ็นชื่อลงในสัญญา กลับไม่ได้เป็นผลที่เขาต้องการ
เซี่ยหลิงหลิงเว็นชื่อเสร็จเรียบร้อย ก็สะบัดสัญญาที่อยู่ในมือออก ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าที่กำลังคาดไม่ถึงก็ได้กำลังคิดวิธีว่าจะทำให้สัญญาข้อตกลงการหย่าร้างหายไปได้อย่างไร
“อ้อ แล้วยังมีสัญญาที่เขียนเองอีกฉบับ นายก็เซ็นชื่อแล้วก็ประทับรอยนิ้วมือเถอะ”
นี่คือสิ่งที่ฝั่งเซี่ยหลิงหลิงถึงไตร่ตรองได้ในขณะที่อยู่บนถนน ใจความหลักของสัญญาก็คือ ถ้าความจริงแล้วฝ่ายสามีภรรยาทั้งสองฝั่งไม่ได้รักกัน ถ้าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขอเสนอหย่าร้าง อีกฝ่ายจะต้องยินยอมโดยทันที และไม่สามารถกลับคำได้อีก
...เซี่ยหลิงหลิงส่งปากกาให้เฉิงรุ่ย “นายเซ็นสิ”
เฉิงรุ่ย “...”
เซี่ยหลิงหลิงก็ยังพูดเกินความจริงอีกว่า “พวกเราสองคนอายุยังไม่มาก สามารถหาคนรักคนใหม่ก็ง่าย ใครก็ไม่ต้องเสียเวลาใครอีก”
คนรักคนใหม่...
บอสเฉิงรุ่ยรู้สึกได้ถึงวิกฤตการณ์สมรสของตัวเอง รู้สึกเหมือนตัวเองถูกทิ้ง ทำให้เขารู้สึกสลดใจมาก
สัญญาการหย่าร้างสองฉบับถูกเก็บเรียบร้อย เซี่ยหลิงหลิงตัดสินใจตามที่เฉิงรุ่ยพูด ต้องเป็นภรรยาที่แสนรวยที่มีความสุขอย่างไม่มีแรงกดดัน
ความรู้สึกที่โดนพึ่งพาอาศัยมันก็ไม่เลวเหมือนกันนะ เซี่ยหลิงหลิงอารมณ์ดีมาก ในที่สุดก็เป็นผู้ที่อยู่เหนือกว่า ทำให้เธอยิ้มอย่างสบายใจ เธอตบๆไหล่เฉิงรุ่ย พูดว่า “นายสบายใจได้ ฉันอยู่ตรงนี้”
ที่ไหนมีเงิน ที่นั่นจะต้องมีเธอ
เฉิงรุ่ย “ดีจัง”
เซี่ยหลิงหลิง “ก็ช่วยไม่ได้ ฉันเป็นคนใจอ่อนและใจดีนี่นา…”
“ในที่สุดก็ไม่ต้องกังวลแล้วใช่มั้ยว่าต้องกินมาม่าต่อไป” เฉิงรุ่ยพูดอย่างเชื่องช้า
เซี่ยหลิงหลิง “....น่ารักกับผีสิ”
เซี่ยหลิงหลิงเบิกตากว้างมองเขาอย่างเหี้ยมโหด
เฉิงรุ่ยทำหน้าตาไร้เดียงสา “เย็นนี้กินอะไรกันเหรอ”
เซี่ยหลิงหลิงยิ้มอย่างเย็นชา “มาม่า”
“……”
วันต่อมา
เฉิงรุ่ยให้บัตรเซี่ยหลิงหลิงใบหนึ่ง ตอนที่เธอรับบัตรมาก็ตกใจไปชั่วขณะ หรือว่า นี่คือที่ในตำนานเค้าว่ากันว่าเป็นบัตรพวกประธานบริษัทอำนาจบาตรใหญ่เค้าใช้กัน บัตร! อเมริกัน !เซนเอ็กซ์เพรส!
“สุดยอดมาก สุดยอดมาก”
เซี่ยหลิงหลิงมองบัตรด้วยความตะลึงหลายรอบ ถึงจะถามยืนยันว่า “นี่คือให้ฉันเหรอ”
เฉิงรุ่ย “อืม รูดได้ตามสบายเลย”
เซี่ยหลิงหลิงหน้าแดงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“นายพูดอีกครั้งซิ”
เฉิงรุ่ยใช้อารมณ์แบบ “บ้าไปแล้ว” มองเอียงไปที่เธอ
เซี่ยหลิงหลิงก็ยังคงหน้าแดงต่อไป “มายก้อด ตอนที่ผู้ชายพูดแบบนี้นี่มันโคตรหล่อเลยอ่ะ” ใครจะไปนึกถึงล่ะ ว่าเฉิงรุ่ยจะพูดประโยคแบบนี้ออกมา
เฉิงรุ่ย “.....”
พูดไว้ว่าสามารถจะรูดเท่าไหร่ก็ได้ แต่เดิมทีแล้วเซี่ยหลิงหลิงก็ไม่ได้มีของอะไรที่อยากซื้อ นอกจากค่ากินในแต่ละวัน ซื้อเสื้อผ้าสองสามชุดที่ดูดี ยังไงก็ใช้เงินในบัตรไม่หมด
ในตอนนี้ ทั้งสองสามีภรรยาได้แก้ไขปัญหาแล้วเรียบร้อย ในที่สุดเฉิงรุ่ยก็สามารถไปทำงานได้ตามปกติ และในที่สุดเซี่ยหลิงหลิงก็ค้นพบข้อดีของการไปทำงานกับเฉิงรุ่ย
นั่นก็คือ...ได้นั่งรถไปด้วย
ไม่นึกเลยว่าเฉิงรุ่ยจะมีคนขับรถประจำตัวอยู่แล้ว!
เซี่ยหลิงหลิงตกใจไปพักหนึ่ง
เดิมทีเธอคิดว่าเฉิงรุ่ยไม่ขับรถเพราะเขาไม่มีใบขับขี่ ใครจะรู้ว่าที่จริงแล้วเขาขี้เกียจขับรถเอง เพื่อที่จะเลี่ยงไม่ให้ถูกสงสัย ทุกครั้งเซี่ยหลิงหลิงจะลงจากรถก่อนถึงบริษัทประมาณสองสามร้อยเมตร ถึงแม้ว่าพนักงานในบริษัทจะไม่รู้จักเฉิงรุ่ย ไม่รู้ว่าทำไมเธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นโจรแต่ก็กำลังทำดีอยู่
พอถึงบริษัท ถูหนานกับพวกสองสามคนก็หัวเราะเฮฮาเหมือนคนไม่มีการมีงานทำ
เซี่ยหลิงหลิงยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ยังไม่ถือเข้าใจ
เธอชี้ถูหนานอย่างสีหน้าไร้อารมณ์ “นายเป็นงาดำภาคใต้รึเปล่า”
ถูหนาน “ห้ะ…”
“นายเป็นยำยำจัมโบ้รึเปล่า”
ฝู้จื้เฉิง “อะแฮ่ม…”
“นี่ อร่อยไม่เท่าเกี๊ยวเหรอ”
เจียวฝันตกใจจนหน้าเทา เริ่มพูดจาไม่ชัดเจน “ โทษที เกี๊ยว ฉันผิดไปแล้ว มันแย่มาก! โอ้พระเจ้า! ฉันจะผ่าท้องฆ่าตัวตายซะ!”
คุณคริสทัลกำลังนั่งดื่มวาฮาฮาอย่างเรียบนิ่ง ดูไม่ได้สนใจอะไร
เซี่ยหลิงหลิงเอามือเท้าสะเอว มองด้วยสายตาโกรธ พวกสองสามคนหนั่งเหมือนมะเขือเทศที่ถูกฟ้าผ่าชั่วขณะ แตกออกเป็นสองซีก
ไม่ใช่บอกว่าแก้ไขปัญหาชีวิตคู่สามีภรรยาแล้วเหรอ
ทำไม สุดท้ายพวกเขาสองสามคนยังประสบหายนะล่ะ
ถูหนานกลั้นน้ำตาเอาไว้
วันหยุดปีใหม่ของเขาไม่ได้เป็นไปตามที่ฝันไว้ไปแล้ว ทำนายได้ว่า...โบนัสสิ้นปีของเขาก็น่าจะไม่เป็นจริงเหมือนกัน
เรื่องที่ไม่ทันข่าวของฝั่งนี้วุ่นวายมาก อีกฝั่ง ไป๋เซวียนเซวียนนางเอกตัวจริงก็ได้นำพาช่วงเวลาที่เลวร้ายที่ตั้งแต่มาเกิดใหม่มาอีกครั้ง
ตั้งแต่หลังที่ทะเลาะกับกู้โหยวเมื่อครั้งที่แล้ว โทรหากู้โหยวเขาก็ไม่รับโทรศัพท์ กู้โหยวมักจะไม่อยู่ ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน คนในบ้านล้วนแต่ถามว่าทั้งสองคนเป็นอะไร ทำไมกำหนดวันงานหมั้นถึงเลื่อนไปเรื่อยๆไม่ยอมกำหนดสักที
ไป๋เซวียนเซวียนแรงกดดันสูงมาก เกือบจะหมดอาลัยตายอยาก เพิ่งรู้ข่าวคราวของเขาตอนนี้ ว่ากู้โหยวจะกลับมาเข้าร่วมการคัดเลือกบุคคลเข้าทำงานของเจียเฉิง
….อีกทั้งยังทำได้ดีอีกด้วย
เหมือนเลือดในแขนขาไหลย้อนกลับ มือและเท้าของเธอเย็นยะเยือก ในสมองมีแต่เสียงหวี่ๆ เหมือนกับทำล็อตเตอร์รี่รางวัลที่หนึ่งที่ได้มาโดยง่ายดายหายไป เมื่อเบิกตาดูเงินรางวัลก็หายไป
ทำไมเธอถึงนึกไม่ถึง แต่สองสามวันมานี้ กู้โหยวกลับลุกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง และยังเข้าร่วมการแข่งขันอีกด้วย
ไป๋เซวียนเซวียนไม่ได้เจอกู้โหยว เลยติดต่อพ่อแม่ของกู้โหยว แล้วก็บอกอย่างไม่เป็นธรรมว่าทั้งสองทะเลาะกัน ช่วงนี้กู้โหยวพูดอะไรก็ไม่สนใจเธอ ในที่สุด ก็ติดต่อกู้โหยวได้
ไป๋เซวียนเซวียนรีบไปขอโทษถึงหน้าบ้าน
เธออยากจะเข้าไป แต่กู้โหยวกลับขวางทางเข้าประตูไว้อย่างเย็นชา
กู้โยหว “เรื่องของพวกเราจบไปแล้ว”
ไป๋เซวียนเซวียนกัดฟัน “ฉันไม่ยอม!”
กู้โหยวมองเธอท่าทางลุกลนและตกอยู่ในที่นั่งลำบาก หญิงสาวบริสุทธิ์ในความทรงจำเหมือนกับกันแปรผันไปตามเวลา ไม่รู้ว่าโตขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ และไม่รู้ว่าเธอเปลี่ยนซับซ้อนขึ้นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
กู้โหยวถอนหายใจออกมาเบาๆ สุดท้ายเขาก็พูดออกมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นนุ่มนวล “ไปซะเถอะ เซวียนเซวียน อย่ามาอีกเลย”
ระหว่างพวกเขา มันไม่เคยมีอะไรเริ่มต้นด้วยซ้ำ