บทที่ 55
บ๗ที่ 55
ขณะเดียวกัน กู้โหยวก็ตามมาถึงที่
เขาเดินเข้าห้องมาก็เจอเข้ากับไป๋เซวียนเซวียนที่พยายามดิ้นรนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ท่าทีไม่พึงพอใจ ผมเผ้ายุ่งเหยิง นัยน์ตาแดงก่ำ ดูไปแล้วค่อนข้างน่ากลัว
กู้โหยวเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยปากพูด : “โวยวายพอหรือยัง?”
“พี่กู้โหยว! พี่มาหาฉันแล้ว!”
ไป๋เซวียนเซวียนแสดงท่าที : “พี่ฟังฉันอธิบายก่อน พวกพี่ถูกเซี่ยหลิงหลิงหลอกอยู่ เธอไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่พวกพี่คิด เธอเสแสร้งทุกอย่าง เธอ......”
“พอเถอะ”
สายตาของกู้โหยวเริ่มดุดัน ปราศจากความอบอุ่นและความยับยั้งชั่งใจ เขาเดินตรงเข้าไปยืนข้างๆเตียงผู้ป่วยของไป๋เซวียนเซวียน : “ถ้าเธอยังก่อเรื่องอีก ฉันก็จะบอกเรื่องทั้งหมดกับคุณพ่อคุณแม่ของเธอ เพราะฉันเอาเธอไม่อยู่แล้ว”
“ไม่ได้นะ!”
พ่อกับแม่ยังตั้งหน้าตั้งตารองานแต่งงานระหว่างเธอกับกู้โหยวอยู่ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาพวกท่านยังคุยกันถึงเรื่องสถานที่จัดงานแต่งกันอย่างมีความสุขอยู่เลย แน่นอนว่าไป๋เซวียนเซวียนยังไม่อยากให้พวกเขารับรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับกู้โหยวนั้นไม่มีความเป็นไปได้อีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่อยากให้คนบางกลุ่มต้องมาหัวเราะเยาะเธอ
“ไป๋เซวียนเซวียน!”
กู้โหยวโกรธอย่างเห็นได้ชัด : “คุณลุงกับคุณป้าสั่งสอนให้เธอเที่ยวดูถูกคนอื่นแบบนี้เหรอ!”
ไป๋เซวียนเซวียนกัดปากตัวเองด้วยความรู้สึกไม่สบอารมณ์ : “ฉันไม่ได้โกหก!” เซี่ยหลิงหลิงนั่นไม่ใช่คนดีแน่นอน! หากเมื่อไหร่ที่เจอคนที่ดีกว่า เธอก็พร้อมจะบินไปอยู่ในอ้อมอกของคนๆนั้นอย่างไม่มีความลังเลแน่นอน
กู้โหยวมองเธอด้วยสายตาที่ผิดหวัง และเย็นชา
“ด้านนอกมีสื่อมานั่งรอเต็มไปหมด จะให้ดีเธอช่วยสงบปากสงบคำอย่าพูดอะไรไปเรื่อยจะดีกว่า หากว่าถูหนานต้องการจะฟ้องร้องเธอล่ะก็ ฉันเองก็คงจะยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับเธอไม่ได้”
ไป๋เซวียนเซวียนไม่อยากจะเชื่อ : “นายจะยืนอยู่ฝ่ายเซี่ยหลิงหลิงอย่างงั้นเหรอ? มีสิทธิ์อะไร? ใครกันแน่ที่สนิทสนมกับนายมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ?”
“น้องเซวียนเซวียนของฉันไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว”
พูดจบ ก็หันหลังเดินจากไป
กู้โหยวเดินออกมาจากห้องผู้ป่วย เงยหน้าขึ้นก็เผชิญเข้ากับชายหนุ่มที่ยืนพิงกำแพงอยู่ เขาสวมเสื้อคลุมสีดำ หลังพิงอยู่บนกระเบื้องเย็นเฉียบ สีหน้านิ่งเฉย สายตาหงษ์คู่นั้นกวาดมองไปที่กู้โหยวอย่างไม่ได้ใส่ใจ แม้แต่สายตาก็ยังดูเรียบเฉย
เหมือนจะดูไร้สาระ กู้โหยวฉุกคิดขึ้นมาได้ ลิซท์ที่อยู่หลังหน้าจอคอมพิวเตอร์ ในตอนนั้นก็ใช้สายตาแบบนี้มองคนที่ไม่เจียมตัวอย่างเขาอย่างนั้นสินะ
มันช่างทำให้คนรู้สึกโกรธ และรู้สึกไร้กำลัง
“ไหล่ของนายเป็นยังไงบ้าง ไม่ได้บาดเจ็บหนักมากใช่มั้ย?” ไม่กี่เดือนก่อนกู้โหยวเองก็ได้รับบาดเจ็บที่ข้อมือเหมือนกัน ในตอนนี้จึงรู้สึกเข้าอกเข้าใจกันอยู่ไม่น้อย
เฉิงรุ่ยละสายตา แม้แต่สายตาก็เต็มไปด้วยความเย็นชา ก่อนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเนือยๆ : “ไม่ขนาดนั้น”
“งั้นก็ดี จริงสิ แล้วเซี่ยหลิงหลิงล่ะ?”
เฉิงรุ่ยเหลือบมองเพียงเล็กน้อย ขี้เกียจจะตอบไร
สายตาคู่นั้นเขียนไว้แค่เพียงคำว่า : ไม่เกี่ยวอะไรกับแก
ถูหนานไปจัดการเกี่ยวกับเรื่องของไป๋เซวียนเซวียน และยังมีสื่อที่นั่งรอสัมภาษณ์และรอทำข่าวอยู่ด้านนอก จึงไม่มีเวลาไปสนใจเฉิงรุ่ย แน่นอน เฉิงรุ่ยไม่ได้ต้องการให้เขามาสนใจเลยสักนิดเหมือนกัน
ดังนั้นเรื่องการต้องวิ่งไปซื้อยาคูลท์จึงตกเป็นธุระของเซี่ยหลิงหลิงโดยปริยาย
เฉิงรุ่ยเพียงแค่ต้องการจะปลีกตัวเซี่ยหลิงหลิงออกไป เพื่อต้องการจะบอกกับกู้โหยวเพียงไม่กี่คำ
“ฉันไม่อนุญาตให้ใครมาทำร้ายเธอทั้งนั้น”
สายตาของกู้โหยวยังคงสงบนิ่ง : “ความคิดของฉันก็เหมือนกับนาย”
“ยังจำคำพูดที่ฉันเคยบอกไว้ในตอนนั้นได้มั้ย อย่าเสียเวลา”
กู้โหยวขมวดคิ้ว : “ฉัน......”
“เอ๋? ก็โหยว นายมาที่นี่ได้ยังไง?” เสียงของเซี่ยหลิงหลิงดังมาแต่ไกล “อ่า......เป็นเพราะเรื่องของฉันรึเปล่า?”
คิดๆดูแล้วก็น่าจะใช่ อยู่ที่นี่ไป๋เซวียนเซวียนก็รู้จักคนเพียงไม่กี่คน นอกจากจะขอให้กู้โหยวมาช่วย เธอก็ไม่มีวิธีอื่นให้เลือกแล้ว กู้โก้วสัมผัสได้ถึงคำพูดที่เซี่ยหลิงหลิงโพล่งออกมา ก็รีบปฏิเสธอย่างลืมตัว : “ฉันไม่ได้มาเพื่อช่วยหล่อน”
“ไม่เป็นไรหรอก ปล่อยให้หลักฐานพูดแทนทุกอย่างเถอะ”
เซี่ยหลิงหลิงส่ายหน้า ไม่อยากจะพูดเรื่องที่เกี่ยวกับไป๋เซวียนเซวียนอีก
“เธอโอเคใช่มั้ย ได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า?” กู้โหยวถามอย่างเป็นห่วง
เซี่ยหลิงหลิงพูดยิ้มๆ : “เปล่าเลย ฉัน......”