ตอนที่ 35 นี่มันโชคดีหรือโชคร้าย   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 35 นี่มันโชคดีหรือโชคร้าย
ต๭นที่ 35 นี่มันโชคดีหรือโชคร้าย นินัทธ์ก้มหน้าลงดูของที่อยู่ในมือ หน้าที่งามราวกับภาพวาดนั้นเผยความรู้สึกสงสัยออกมา แล้วเก็บมันไว้ราวกับเป็นของล้ำค่า เงยหน้าขึ้น จ้องำที่เธอ แล้วประคองหน้าเธอขึ้นมา เข้าไปใกล้ แล้วพูดประชด “จำแล้วครับ” เศวยาหน้าร้อนผ่าว กรอกตาไปรอบๆด้วยความเขินอาย เธอว้าวุ่นกับการที่อยู่เขาเข้ามาประชิดแบบนี้ และทนไม่ได้ จึงลากเขา หลบออกมาจากสายตาสงสัยในร้านโทรศัพท์ หนีออกมา “พวกเรากลับกันได้แล้ว” เมื่อขึ้นรถ นินัทธ์ชี้มาทางเธอ แล้วใช้อีกมือกอดโทรศัพท์เอาไว้ สายตาเป็นประกายนั้นทำให้คนใจสั่นไหว “เศวยา คืนนี้เธอไม่กลับไปได้ไหม?” เธอเลิกคิ้ว ถ้าหากเธอไม่รู้จักนินัทธ์ดี หากเป็นคนอื่น คงคิดว่าในประโยคนั้น… ลามกมาก ยิ้มขึ้นมาแบบฝืนๆ แล้วเล่าถึงเหตุผล ทั้งจริงเท็จผสมกัน “ถ้าหากไม่กลับบ้าน พ่อจะตีฉันนะ” “เขาไม่กล้า” เขามั่นใจ ท่าที่ที่สงบนิ่งนั้น ราวกับทำเหมือนเศวยาเป็นของของเขาจริงๆ รอบข้างจะเป็นอะไร อยากจะแตะต้องเธอ เศวยาไม่รู้จะทำอย่างไรดี “นินัทธ์ ให้หน้าคุณพ่อของฉันหน่อยได้ไหม?” เขาครุ่นคิด จึงพยักหน้า อย่างไม่เต็มใจนัก เศวยาหันไปพูดกับชายผ้าคลุมสีดำ “คุณผ้าคลุม ช่วยส่งฉันกลับบ้านหน่อยนะคะ ขอบคุณค่ะ” เสียงสงบลงไป ชายผ้าคลุมดำพูดขึ้น “เอฟ” “หืม?” เศวยางง “ชื่อของผม เอฟ” ในใจของเอฟรู้ดี ว่าถ้าจะรอให้นินัทธ์แนะนำตัวให้ คงจะเป็นไปไม่ได้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สนใจเรื่องชื่อมากนัก แต่ก็ต้องมีอะไรมาแทนตัวเองเสียหน่อย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเค้าจะยอมเป็น…คุณผ้าคลุม เอฟขับรถมาจอดที่หน้าบ้านจัดสรรหลังหนึ่ง เศวยาเปิดประตูออก แล้วโบกมือให้นินัทธ์ “ต้องกลับบ้านล่ะ” ตามด้วย หันไปสั่งกับเอฟ “เอฟ นายห้ามให้เขาไปไหนมั่วอีกล่ะ” เอฟพยักหน้าตอบรับ นินัทธ์กดกระจกลงมา แล้วหมอบอยู่บนนั้น เอียงคอมองดูเธอเดินห่างออกไป ไม่นาน จึงพูดขึ้น “เอฟ จะฆ่าเขาทิ้งดีไหม?” เอฟเงยหน้า มองร่างของนินัทธ์ที่อยู่ในกระจก แล้วกล่าวเสียงเรียบ “ถ้าหากท่านต้องการล่ะก็” นินัทธ์กะพริบตา เขามองจนไม่เห็นเธออีก จึงมองกลับมา ด้วยความรู้สึกเฟล “เธอคงจะไม่ชอบ” เอฟไม่ได้ตอบอะไร “ไปเถอะ” นินัทธ์นั่งพิงไปกับเบาะ มองโทรศัพท์ที่เธอมอบให้ หยิบขึ้นมา แววตานั้นดูอบอุ่น “เอฟ นี่คือโทรศัพท์” “…” เอฟเงียบไปซักพัก “ท่านครับ ผมรู้จักโทรศัพท์” นินัทธ์ไม่สนใจ แล้วมองมันต่อไป พลางพูดขึ้นเบาๆ “ที่เธอมอบให้” เมื่อความรู้สึกที่แท้จริงเผนขึ้นบนหน้าเขา เอฟขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่า ผู้หญิงคนนี้สำหรับท่านนินัทธ์นั้น เป็นผู้ที่มาโปรดหรือความโชคร้ายกันแน่ เศวยากลับมาถึงบ้านเวลาเที่ยงคืน เปิดประตูเข้าไป ในห้องรับแขกเปิดไฟอยู่สว่าง ชิตวรกับดุสิดานั่งอยู่บนโซฟา และบริวุตนั่งอยู่ตรงข้ามก้มหน้าอยู่ เมื่อเห็นพี่สาวกลับมา ก็เหมือนกับเจอผู้ช่วยชีวิต ตาแววใสนั้นเป็นประกายขึ้นมา “เศวยา กลับมาดึกขนาดนี้ ทำไมไม่โทรมาบอกที่บ้าน? ฉันกับพ่อเป็นห่วงจะแย่อยู่แล้ว” ดุสิดามีสีหน้าเป็นห่วง คำที่พูดออกมาราวกับเป็นกระสุนที่พุ่งออกมาจากปืน “เป็นเด็กผู้หญิงระวังไว้หน่อยก็ดี อย่าให้เป็นขี้ปากชาวบ้าน” บนตัวเธอเต็มไปด้วยขี้โคลน เลอะเต็มไปหมด เช็ดที่จมูก “เศวยา เธอไม่ได้ไปทะเลาะกับใครมาใช่ไหม?” ชิตวรทำหน้าเคร่งขรึมอยู่ตลอด มองดูลูกสาว แล้วกระแอมเสียงอย่างไม่พอใจ เศวยาไม่อยากจะสนใจเขา เดินไปตรงหน้าน้องชาย “เกิดอะไรขึ้น?” บริวุตเกือบจะร้องไห้แล้ว จับชายเสื้อของพี่สาวอย่างน่าสงสาร “พี่... พี่ต้องช่วยผม...” ชิตวรเบิกตาโพลง “ทำเรื่องนี้เองทั้งนั้น ขอร้องใครก็ช่วยไม่ได้หรอก” บริวุตตกใจจนหดคอกลับมา ดุสิดามองดุลูกที่กำลังถูกสั่งสอน จึงรีบพูดช่วย “นี่ คุณชิต ลูกยังเด็กอยู่ ทำผิดเป็นเรื่องธรรมดา มีอะไรก็พูดกันดีดีสิ ลูกคงจะฟังอยู่” “เพื่อผู้หญิงขายบริการคนหนึ่ง ถึงกับยอมไปมีเรื่องกับคุณธนเทพ! นี่เป็นเด็กดีที่เธอสอนมาเหรอ!” ชิตวรดกรธมาก จนเส้นเลือดปูดขึ้นที่หน้าผาก เศวยาเข้าใจแล้ว มองตาน้องชาย เขาก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เขาก็ไม่รู้ว่าพ่อรู้ได้อย่างไร ดุสิดารีบพูดขึ้น “คุณชิต คุณก็รู้ ว่าลูกของเราเป็นเด็กดีมาตั้งแต่เล็ก จากที่ฉันดูนะ ต้องเป็นนังเจ้าเล่ห์นั้นมายั่วแน่ๆ” บริวุตรีบเงยหน้าขึ้น แล้วเถียง “แม่! เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกัมิ้น!” ดุสิดาเบิกตาโพลงจ้องลูกชาย ชิตวรยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่ “ไหนแกลองพูดอีกครั้งสิ!” เศวยาเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น จึงไปนั่งลงข้างพ่อ แล้วนวดไหล่ให้เขาอย่างรู้เรื่อง “พ่อ บริวุตโตแล้ว ไม่ว่าทำอะไรผิด พ่อก็ต้องฟังน้องอธิบายก่อน! อย่างน้อย ก็ต้องรู้ ว่าเขาทำผิดตรงไหน” น้ำหนักมือของเธอกำลังพอดี น้ำเสียงนุ่มนวล ฟังเข้าหูชิตวรและที่ตระกูลศิริวัชรภัทร ยิ่งรักลูกสาวมากกว่าลูกชาย ไม่ต้องพูดถึงชิตวร คนเฒ่าคนแก่ในบ้านต่างรักเศวยากันหมด เมื่อเศวยาพูดเช่นนี้ อารมณ์ชองชิตวรก็ค่อยๆผ่อนคลายลง ดุสิดาเห็นเช่นนี้ จึงแค้นใจ เธอพูดตั้งนาน ยังสู้คำพูดของเด็กคนนี้แค่ประโยคเดียว! เธอลำบากในตระกูลนี้มาตั้งนาน แต่เหมือนเธอยิ่งอยู่ก็ยิ่งไม่มีที่ยืน! เศวยามองสายตาของน้องชาย บริวุตกลืนน้ำลาย แล้วมองพ่อด้วยความหวาดกลัว เขารวยรวมความกล้า แล้วจึงพุดขึ้น “พ่อ...” เขาเล่าความจริงทั้งหมดออกไป จากการนำทางของเศวยา ทำให้ความผิดห้าแสนลดลงเหลือเพียงนิดเดียว เมื่อฟังที่ลูกพูดจบ ชิตวรก็ขมวดคิ้ว ยืนขึ้นมา เดินวนไปมาในห้องรับแขก บรรยากาศดูอึดอัด เงียบอยู่พักหนึ่ง เขาจึงหยุดลง แล้วจ้องที่ลูกชาย “แล้วตอนนี้แกจะทำยังไง?” รู้ว่าพ่อหมายถึงมิ้น บริวุตพูดอย่างกล้าหาญออกไป “พ่อ ผมจะดูแลเธอเอง” “ลูก นี่บ้าไปแล้วเหรอ!” ดุสิดาตะโกนขึ้น “นังนั่นมันโง่!” บริวุตรีบลุกขึ้น กำหมัดแน่นสองมือ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “แม่! มิ้นไม่ได้โง่! เธอแค่สู้คนปกติทั่วไปไม่ได้ แต่แล้วจะทำไม? ยังไงซะ เธอก็ไม่ได้เป็นคนโง่!” “สู้คนปกติไม่ได้ มันก็คือไม่ปกติ!” ดุสิดาโกรธจนทรุดลงนั่งกับโซฟาอย่างหมดแรง ใจเต้นแรงมาก “แกอยากให้ฉันโมโหจนตายใช่ไหม...” ชิตวรขมวดคิ้วอยู่ตลอด มองตาลูกชาย “แกรู้ไหมว่าแกพูดอะไรอยู่?” “พ่อ ผมรู้!” แววตาของบริวุตเปลี่ยนเป็นลุ่มลึกขึ้น “ผมคิดมาดีแล้ว” ชิตวรหลุบตาต่ำลง “ในเมื่อแกตัดสินใจแล้ว พ่อก็เคารพการตัดสินใจของแก” “ชิตวร!” ดุสิดาแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง “แต่ว่า อย่าคิดว่าที่บ้านจะช่วยแก ถ้าเกิดอะไรขึ้น ก็จัดการเอง!” ชิตวรพูดอย่าเด็ดขาด ไม่เหลือพื้นที่ให้ต่อรอง บริวุตสูดลมหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่หล่อเหลานั้น มีสีหน้ากล้าที่จะยอมรับ “พ่อ ผมเข้าใจแล้ว!” “แกเข้าใจก็บ้าแล้ว!” ดุสิดาโมโหมาก พูดคำหยาบออกมาอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์ ชี้นิ้วไปทางเขา พูดด้วยความเกลียดชัง “แกเอานังโง่มาผูกติดไว้กับตัวเอง มันดีกับแกยังไง? แกเลี้ยงดูมันหรือเลี้ยงดูตัวเองได้? ถ้าหาคนนอกรู้ ว่าลูกชายฉันไปหลงรักคนโง่ ฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน” เมื่อได้ยินที่เธอพูดคำก็โง่สองคำก็โง่ ไม่เพียงแต่บริวุต เศวยาก็ขมวดคิ้ว นึกถึงคำพูดที่ตอนแรกว่านินัทธ์ “แม่!” บริวุตเริ่มโมโหจึงตอกกลับ “ผมแค่อยากช่วยมิ้น ผมผิดอะไร? หรือจะให้ผมยอมเห็นเธอโดนคนอื่นรังแกโดยลำพังเหรอ?” เขาพูดแล้วหันหน้าไปอีกทาง “ผมทำไม่ได้!” ชิตวรมองลูกชาย จึงเกิดรู้สึกตกตะลึง และรู้สึกดีใจมากกว่า “เจ้านี่ แกตามฉันเข้ามา!” ดุสิดาเดินไป แล้วดึงหูลูกชายลากเข้าห้องไปด้วย ในห้องรับแขกเหลือเพียงเศวยาและพ่อ ชิตวรหันกลับมา มองลูกสาว “เศวยา ลูกกับนินัทธ์...” คำพุดหยุดลง เขาส่ายหัว “ช่างเถอะ” เศวยาเข้าไปกอดแขนอ้อนพ่อ “พ่อ ไม่ต้องห่วงหนู หนูรู้ดีว่าตัวเองกำลังทำอะไร” “รู้จริงๆก็ดี” ชิตวรหันมาบีบจมูกเธอเบาๆ “โอเค เลอะเป็นแมวขนาดนี้ไปอาบน้ำได้แล้ว” “รับทราบ!” เสวยาเดินเข้าห้องไป ชิตวรเรียกเธอไว้ คิดอยู่ซักพัก จึงพูดขึ้น “อีกไม่นานพ่อจะได้รับตำแหน่งเป็นเลขาธิการเทศบาลแล้ว” “จริงเหรอ?” เศวยาดีใจอย่างเห็นได้ชัด “ดีมากเลย! หนูรู้ว่าพ่อของหนูเก่งที่สุด!” ชิตวรหุบยิ้มแล้วรีบโบกมือ “ไปได้แล้ รีบเข้าไป” เศวยากลับมาที่ห้อง ชิตวรครุ่นคิด ยืนอยู่ที่ห้องรับแขก เขาคิดอยู่นาน แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่อยากจะเชื่อ ว่าคำพูดของนินัทธ์เพียงประโยคเดียว จะกลายมาเป็นความจริง... ให้ลูกสาวมาคบกับคนไม่รู้หัวนอนปลายเท้านี้ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดี หรือไม่ดี? มองดูธนเทพกินเหล้าแก้วต่อแก้ว ชวนีแอบรู้สึกกังวล จึงแย่งแก้วมาจากมือเขา “ธนเทพ นายดื่มมากไปแล้วนะ” แววตาที่เจ็บปวดของธนเทพ จ้องมองเธอ “เอาให้ฉัน!” “ธนเทพ...” เธอยังจะพูดอะไรต่อ แต่ธนเทพก็แย่งแก้วมาจากมือเธอ แล้วดื่มลงไปครึ่งแก้วในอึกเดียว ชวนีแทบจะทนไม่ไหวแล้ว เธอปดเหล้าทั้งหมดที่อยู่บนโต๊ะลงกับพื้น “เพื่อเธอ ต้องทำตัวเองให้เป็นสภาพนี้ นายบอกว่านายไม่รู้สึกอะไร! แล้วยังบอกว่าไม่ได้ชอบเธอ!” ธนเทพสะบัดหัว หรี่ตาลงมอง “ห้ามพูดถึงผู้หญิงคนนั้น!” ยิ่งเขาเป็นอย่างนี้ ชวนียิ่งเกลียด “ทำไมจะพูดถึงไม่ได้? นายสนใจเธอเหรอ?” “ไปตายซะ ฉันบอกแล้วว่าห้ามพูดถึงเธออีก!” แก้วในมือธนเทพแตกกระจายลงบนพื้น เศษแก้วกระเด็นอยู่บนเท้าชวนี ทันใดนั้นเป็นแผลเลือดไหลออกมา บนหลังเท้าขาวๆชองชวนีอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเห็นเธอเลือดไหล ธนเทพจึงได้สติขึ้นมานิดหนึ่ง เขารีบกล่าวโทษตัวเอง แล้วรีบไปหากล่องยา ยกเท้าของชวนีขึ้นมาบนโซฟา เขานั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น ค่อยๆยกเท้าเธอขึ้นมาอย่างระมัดระวัง วางไว้บนขา แล้วหยิบก้านสำลีออกมา เช็ดแผลให้เธอ 
已经是最新一章了
加载中