ตอนที่ 51 ความตายอยู่เบื้องหน้า   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 51 ความตายอยู่เบื้องหน้า
ต๭นที่ 51 ความตายอยู่เบื้องหน้า "คุณเป็นใคร ทำไหมถึงจะจับตัวพวกเรา?" โดนต้อนจนอับจนหนทาง ฉันเลยไม่มีทางหนีแล้ว ทำได้เพียงพยายามสงบสิอารมณ์ของตัวเอง และถามเขา พอเขาได้ยินคำพูดของฉันก็หัวเราะทันที น้ำเสียงของเขาเหมือนกับคนไม่ได้ดื่มน้ำมาหนึ่งปี เสียงแห้งจนรู้สึกแสบแก้วหู : "ทำไหมนะหรอ เจ้าเด็กน้อยยังกล้าถามฉันว่าทำไหมอีกหรอ? ฉันจ้องมองเธอมานานแล้ว วันนี้จะเป็นเวลาที่เธอตาย! ขณะพูดเสียงของเขาก็ยิ่งเคร่งขรึม และสะบัดผมเปียกเล็กๆเส้นหนึ่ง จากนั้นก็ควักขลุ่ยไม้ไผ่อันหนึ่งออกมาจากหน้าอก แล้วเอามาตั้งไว้ที่ปาก ทันใดนั้นเสียงขลุ่ยก็ดังขึ้นทั่วทิศทาง เพียงแค่เสียงปกติน่าจะไพเราะน่าฟังกว่านี้ แต่เสียงที่ตาเฒ่าส่งเสียงน่าหวาดผวามาก โดยเฉพาะบรรยากาศตอนนี้ที่มืดครึ้มในป่าไม้ เมื่อฟังเสียงนี้ทำให้ฉันเริ่มสั่นทั้งตัว เสียงที่ได้ยินตอนนี้เหมือนกับเพลงโหมโรงคนตาย ฉันกำหยกในมือไว้อย่างแน่น ปาก ริมฝีปากเม้มติดกันเพื่อเตรียมความพร้อม ตอนนี้รอเพียงเกิดเหตุการณ์แล้วค่อยกระตุ้นหยก ในเมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้แล้ว ภายในใจฉันก็ไม่มีความมั่นใจ เพราะเซียวเหย่เคยบอกว่าหยกนี้ใช้เพื่อจัดการกับดวงวิญญาณหยิน แต่คนที่อยู่ต่อหน้าฉันตอนนี้เป็นแค่คนคนหนึ่ง ดังนั้นหยกไม่สามารถต่อกรเขาได้ ฉันแทบจะไม่รู้อะไรเลย เมื่อเสียงขลุ่ยดังเรื่อยๆ ตาเฒ่าก็เริ่มเคลื่อนไหว ในร่างเงาสีดำเลือนรางสามารถมองเห็นบางสิ่งโผล่ขึ้นจากหัวของเขา ไม่นานตะขาบสีดำแวววาวไม่กี่ตัวก็คลานออกมาจากผมถักเปียเส้นเล็กของเขา เขี้ยวในปากของมันเสียดสีกันจนส่งเสียง แคร็กแคร็ก ดังขึ้น และพุ่งตัวมาหาฉันอย่างรวดเร็ว "นี้คือ...แมลงกู๋!" ฉันเดินถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว และตะโกนด้วยความตกใจขึ้น เซียวเหย่เคยพูดให้ฉันฟังว่า ในประเทศจีนนอกจากหยินหยางซื่อแล้ว ยังมีนักพรต พระ รวมถึงศพแข็งไม่กี่สำนักที่มีอิทธิพล ต่อมาหลังจากคนไทยเข้าประเทศจีนก็มีหลงโผประเทศไทยและหมอผีเพิ่มขึ้น เหล่าบรรดาเหล่านี้นอกจากหลงโผประเทศไทยกับหมอผีที่ไม่ค่อยคุ้นชิน ส่วนใหญ่จะเป็นพันธมิตรกัน แต่มีเพียงคนประเภทเดียวที่เรียกกันว่ากู๋ซื่อ พวกเขาอาศัยอยู่ที่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประทศจีน ตั้งแต่โบราณกาลเป็นต้นมาพวกเขาก็มีพลังอำนาจที่ร้ายกาจ และไม่เคยติดต่อกับคนภายนอก และเอาแต่หลบซ่อนในภูเขาลึกเพื่อศึกษาวิจัยแมลงกู๋ของตัวเอง ดังนั้นแม้แต่เซียวเหย่ในตอนที่มีชีวิตก็ไม่เคยเจอเลยสักครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะตาเฒ่าที่อยู่เบื้องหน้าแสดงเอกลักษณ์ที่โดเด่นออกมา ฉันแทบจะไม่กล้าเชื่อว่าเขาเป็นกู๋ซื่อ ตั้งแต่ฉันอยู่กับเซียวเหย่มา นอกจากตามหาเสวียนชิงชิงแล้วก็เคยล่วงเกินคนฝึกตนมาก่อน ยกเว้นคนฝึกตนขั้นเสวนสองคนนั่นคือหลี่กวาฟู่กับเสิ่นเหม่ยฉิน นอกจากนี้ก็แทบจะไม่เคยหาเรื่องกู๋ซื่อมาก่อน "คุณดูออกว่าฉันคือกู๋ซื่อ นับว่าประสบการณ์กว้างขว้างไม่น้อย ตอนแรกยังนึกว่าคุณจะขัดขว้างฉันอีก เลยอยากฆ่าคุณให้ตายเร็วๆ ตอนนี้ดูเหมือนคุณแทบจะไม่มีเจตนาเลย แต่คุณอย่าพูดจาไร้สาระให้มากเลย มีความสามารถอะไรก็งัดเอาออกมา วันนี้ฉันจะเป็นคู่ต่อสู้ให้เธอเอง!" ขณะที่พูด ดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย และเผยสายตาอาฆาตออกมา ขลุ่ยในปากก็ส่งเสียงร้องแหลมคมอย่างเร่งด่วนด้วย ชั่วพริบตาฉันอยากจะร้องไห้ออกมา คำพูดของตาเฒ่ากะทันหันมาก ปากของเขาเอาแต่บอกว่าฉันขัดขว้างเขา แต่ขัดขว้างเรื่องอะไรก็ไม่พูด แล้วตกลงฉันทำอะไรกันแน่ แล้วพอมาเจอกันก็จะมาต่อสู้กับฉัน ทำแบบนี้ไม่เรียกว่ากลั่นแกล้งคนอื่นหรอ! เพียงพริบตาตะขาบสีดำมันวาวห้าตัวก็คลานมาตรงหน้าฉัน โดยมีระยะห่างไม่ถึงหนึ่งเมตร "เจ้านายหนีไป หนีขึ้นภูเขาหยินไปเลย ไปหาพี่ถาง!" เมื่อเห็นสถานการณ์ฉุกละหุก ใบหน้าของเจิ้งเล่อก็เปลี่ยนสีหน้า และเข้ามาขว้างต่อหน้าฉันเพื่อยืดเวลาให้ฉันหนีไป ถึงแม้ว่าตะขาบสีดำมีจำนวนไม่เยอะ แต่ร้ายกาจกว่าฝูงแมลงดั่งทะเลมาก มันปืนป่ายบนตัวเจิ้งเล่อ เขี้ยวที่แหลมคมกัดเขาหนึ่งที นึกไม่ถึงว่ากัดจนบนตัวของเจิ้งเล่อเกิดแผลเห็นเนื้อ! ฉันตกใจแทบช็อก เจิ้งเล่อเป็นร่างดวงวิญญาณ ไม่มีตัวตน แต่ตะขาบดำเหล่านี้สามารถกัดเขาได้ อีกอย่างแผลที่ฉีกเห็นเนื้อบนตัวเจิ้งเล่อล้วนเป็นดวงวิญญาณของจิ้งเล่อ แค่กัดหนึ่งทีก็ทำให้เจิ้งเล่อสั่นไปทั่งตัว ชั่วพริบตาพลังหยินชี่บนตัวของเขาก็หายไปทันที ร่างของเขาก็จางลงไปมาก ถึงแม้จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น แต่เขาก็ไม่ได้หายตัวไปไหน เขาตะโกนใส่ฉันด้วยเสียงสั่นเทาว่า : "เจ้านายรีบหนีไป ผมต้านได้ไม่นานแล้ว!" ตอนแรกฉันยังมีความหวังอยู่ เพราะเซียวเหย่มอบเสื้อคลุมพลังหยินชี่ให้ฉัน แต่พอเห็นตะขาบร้ายกาจถึงเพียงนี้ ฉันก็เริ่มหวาดกลัวทันที ดูเหมือนว่าเจิ้งเล่อทนตะขาบกัดได้ไม่นานแล้ว ถ้าฉันทิ้งเขาเอาตัวรอด เขาต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยแน่! ในใจของฉันทุกข์ระทม ถึงแม้ฉันกับเจิ้งเล่อไม่สนิมสนมมาก และยายของเขาก็เคยทำร้ายฉันถึงสองครั้ง แต่เขาในตอนนี้เป็นกุมารของฉันแล้ว และยังกล้าหาญยอมตายเพื่อฉันอีก ดังนั้นฉันไม่สามารถทอดทิ้งเขาโดยไม่สนใจไม่ได้! นี่เป็นช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตาย ฉันคิดอะไรมากไม่ได้แล้ว รีบท่องคาถาที่เซียวเหย่สอนฉันไว้ ขณะเดี๋ยวกันก็ชูหยกขึ้น หลังจากท่องคาถาออกไป หยกที่ดูธรรมดาตอนแรกก็ระเบิดแสงขึ้น เพียงชั่วพริบตาก็สาดส่องแสงสว่างเจิดจ้าไปทั่วทั้งผืนป่า และยังสาดส่องแสงใส่ตาเฒ่าผอมซูบคนนั้นด้วยจนมองเห็นเขาได้อย่างชัดเจน ส่วนฝูงแมลงดั่งทะเลที่ล้อมรอบตัวพวกฉันก็ถอยทัพจนหายไปเลย ดูเหมือนพวกมันจะกลัวแสงนี้มาก พวกมันหนีหลบซ่อนไปที่ไกลโพ้น แม้แต่ตะขาบที่อยู่บนตัวของเจิ้งเล่อ เมื่อมันเห็นแสงสว่างนี้ก็หยุดการจู่โจมทันที แม้ว่าจะสามารถข่มขวัญเหล่าแมลงพวกนี้ได้ แต่จิ้งเล่อก็ส่งเสียงร้องน่าเวทนาขึ้นเหมือนกัน เขาส่งเสียงร้องดังกว่าถูกตะขาบกัดน่าอนาถกว่าเยอะ ทั้งตัวถูกแสงสว่างของหยกสาดส่องจนดวงวิญญาณเกิดหมอกสีขาวตามตัว เมื่อตาเฒ่าเห็นแสงสว่างนี้สีหน้าก็อึ้งนิ่ง รอยยิ้มเจ้าเล่ห์หายไปชั่วพริบตา และมองฉันด้วยสายตาเคืองโกรธ จากนั้นเขายกขลุ่ยในมือเป่าอีกครั้ง ครั้งนี้เขาเป่าด้วยเสียงที่เร็วขึ้นกว่าเดิม ตะขาบที่ถูกลำแสงข่มขวัญก็ได้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองอีกครั้ง พวกมันไม่สนใจเจิ้งเล่อ แต่พุ่งตัวมาหาฉันแทน ลำแสงไม่มีผลกระทบรุนแรงมากสำหรับพวกมัน ภายในใจฉันรู้สึกตื่นตระหนก ลำแสงนี้มีพลังงานความร้อนมากแล้ว และมีพลังทำลายล้างต่อผีเป็นอย่างมาก ฉันก็ไม่ได้สนใจตะขาบนั้นแล้ว รีบให้เจิ้งเล่อหายตัวไปอย่างเร่งด่วน ให้เขาหลบไปอยู่ที่ปลอดภัยก่อน ดูเหมือนเจิ้งเล่อจะเชื่อฟังคำพูดของฉันเป็นอย่างมาก เมื่อได้ยินฉันให้เขาหลบซ่อน บนใบหน้าของเขาก็เผยรอยยิ้มคัดค้าน แต่ร่างของเขาก็ยังถอยไปอย่างรวดเร็ว หลบไปสถานที่อันมืดมิดที่ไกลโพ้น หลังจากพูดไปไม่กี่ประโยค ตะขาบก็เดินคลานต้านลำแสงพุ่งมาหาฉัน เขี้ยวฟันที่คมกริบกัดเข้าไปในเนื้อฉัน ไม่รอให้ฉันจับมันเขวี้ยงทิ้ง ขาเล็กของฉันก็รู้สึกเจ็บแปลบ ดูเหมือนระบบไหลเวียนเลือดถูกทดด้วยน้ำมันพริก และเส้นประสาททั้งขาของฉันถูกเผาไหมด้วยน้ำมันพริก เพียงพริบตาขาเล็กๆของฉันก็ไร้เรี่ยวแรง ฉันส่งเสียงร้องน่าเวทนา และทิ้งตัวลงบนพื้น มันเจ็บปวดจนฉันหายใจเร็วถี่ แต่ตอนนี้ฉันไม่มีเวลาสนใจบาดแผล เพราะยังมีตะขาบอีกสี่ตัวจ้องมองฉันอยู่ และพวกมันใกล้จะคลานขึ้นบนตัวฉันแล้ว ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ฉันเลยจับหยกไว้อย่างแน่น และทุบตีตะขาบตัวนั้นที่จะคลานถึงขาฉันไม่ยั้ง "สื่อ..." เมื่อตะขาบเห็นฉันทุบตี พวกมันก็ส่งเสียงร้องสื่อเบาๆทันที จากนั้นก็หันหลัง คิดไม่ถึงพวกมันจะหนีฉันไป ส่วนตะขาบอีกสี่ตัวก็ดูเหมือนจะหวาดกลัวหยกเหมือนกัน แต่เมื่ออยู่ภายใต้การควบคุมของตาเฒ่าผอมซูบนั่น เขาควบคุมให้ตะขาบพุ่งเข้าหาฉันอีกครั้งอย่างไร้เหตุผล ฉันทำได้เพียงใช้หยกทุบตีพวกมันอย่างลุกลี้ลุกล้น แต่พวกมันมีอยู่สี่ตัว ส่วนฉันมีแค่หยกอันเดียว ต่อให้ฉันเคลื่อนไหวว่องไวก็ไม่สามารถขัดขวางตะขาบสี่ตัวได้ ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถโจมตีกลับด้วย ไม่นานข้อมือของฉันก็ถูกกัดหนึ่งที ความรู้สึกแสบร้อนของน้ำมันพริกไหลเวียนตามระบบไหลเวียนเลือดฉันจากข้อมือไปจนถึงหัวใจ หัวใจฉันเหมือนโดนกดบีบเหมือนจะถูกพิษร้ายแล้ว จากนั้นร่างกายของฉันก็เริ่มเฉื่อยชา หยกในมือเกิดเสียงตึบร่วงตกลงบนพื้น หมดกัน! ในหัวสมองฉันว่างเปล่า ชั่วพริบตาฉันดูเหมือนกับแพะที่พร้อมถูกเชือดโดยไม่มีการต่อต้าน ตอนนี้เจิ้งเล่อได้รับบาดเจ็บ หยกที่เป็นสิ่งของหนึ่งเดียวที่สามารถต้านทานได้ก็ร่วงตกลงบนพื้นแล้ว หลังจากข้อมือฉันก็ถูกกัดและเริ่มมีอาการชาจนแทบไม่มีเรี่ยวแรงหยิบหยกขึ้น เมื่อตะขาบห้าตัวเห็นสถานการณ์เช่นนี้ พวกมันก็ยิ่งเหิมเกริม ไม่มีการข่มขวัญจากหยก การเคลื่อนไหวก็เร็วขึ้นมาก พวกมันทั้งหมดกระโจนเข้ามาหาฉัน เขียวฟันทั้งห้าส่งแสงแวววับ และเข้ามากัดฉัน ฉันไม่กล้าแม้แต่จะมอง และรีบหลับตารอคอยความเจ็บปวดที่อยู่เบื้องหน้า ก็ใช่ แม้แต่คนมีความสามารถอย่างถางเหย่วก็ยังถูกกู๋ซื่อคนนี้จับไปขังไว้ที่เปล่าเปลี่ยวได้เลย แล้วหยกชิ้นเดียวในมือฉันคิดว่าจะสามารถต้านทานได้หรอ ไม่รู้จักประเมินความสามารถตัวเองเลย แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ ฉันรอนานมาก ความเจ็บปวดในจินตนาการของฉันก็ยังไม่มาสักที แต่กลับได้ยินกู๋ซื่อคนนั้นส่งเสียงร้องน่าเวทนาขึ้น! 
已经是最新一章了
加载中