ตอนที่ 53 เหรียญติดหน้าอกลายดอกบัวสีขาว   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 53 เหรียญติดหน้าอกลายดอกบัวสีขาว
ต๭นที่ 53 เหรียญติดหน้าอกลายดอกบัวสีขาว "แต่ตอนนี้ท่านยังไม่ใช่มังกรจริงๆ น่าจะยังไม่ถือเป็นมังกรกู๋จริง ไม่ใช่หรอ?" เขาโม้จนเกินจริง ฉันเลยอดไม่ได้ที่จะถามเขากลับด้วยคำถามความเป็นจริง งูดำถูกฉันสอบถามจนอารมณ์เสียแล้ว มันจ้องมองฉันอย่างเคืองโกรธ แบะปากและพูดว่า : "ถึงแม้ตอนนี้ยังไม่ใช่ ในอนาคตก็ต้องใช่ อีกอย่างตอนนี้ข้าเป็นถึงเทพเจียวแล้ว การจัดการแมลงกู๋เป็นเรื่องที่ง่ายดายกับข้ามาก ใครก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามหาเรื่อง!" "ตัวไหมทองนั่นนะหรือ?" ฉันรีบถามอย่างรีบร้อน ตอนนี้ตาเฒ่ากู๋ซื่อได้ลงจุดตราประทับบนตัวฉันแล้ว นั่นก็หมายถึงสำนักกู๋ทั้งสำนักจะไล่ตามฆ่าฉัน แต่มีงูดำอยู่เคียงข้างแมลงกู๋อื่นๆฉันคงไม่กลัวแล้ว แต่สำนักกู๋พวกเขาศึกษาและเรียนรู้แมลงกู๋ ถึงแม้ตัวไหมทองจะร้ายกาจไม่น้อย แต่ถ้ามาเป็นโขยงก็ถือว่าน่าหวาดกลัวมากเลย? เป็นดั่งที่คิดไว้ งูดำเผยสีหน้ากวาดกลัว และโทนเสียงก็ดูถ่อมตนมากขึ้น แล้วพูดว่า : "ถ้าหากเจอกับตัวไหมทอง...ก็วิ่งหนีสิ ยังไงความแค้นก็สามารถแก้แค้นสิบปีหลังก็ไม่สาย รอให้ข้าฝึกตนจนกลายเป็นกู๋มังกรจริงๆก่อน ข้าจะข้าพวกมันให้เลือดไหลทวารเลยคอยดู!" เขาพูดอย่างเดือดดาล แต่ฉันกลับเสียวสันหลัง ถึงอย่างไร หากตอนนี้เจอกับตัวไหมทอง ฉันคงทำได้เพียงรอความตายเท่านั้น ตอนนี้จุดตราประทับสายเลือดก็มีแล้ว เพราะต่อให้ฉันกลุ้มใจก็ช่วยอะไรไม่ได้ สิ่งเดียวที่ฉันสามารถทำได้คือช่วยเหลืองูดำ ทำให้มันกลายเป็นมังกรจริงๆให้เร็วที่สุด เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฉันอดไม่ได้ที่จะถามงูดำว่า : "ท่านต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนในการย่อยสลายผีหนึ่งตัวใช่ไหม ถ้าหากมีผีมากมายจัดให้ท่านกิน การฝึกตนของท่านก็จะเพิ่มระดับขึ้นใช่ไหม?" "แน่นอน ถ้าหากเจ้าจัดหาผีหนึ่งตัวให้ข้าทุกวัน อีกสองปีข้าก็จะกลายเป็นมังกรจริงๆ" งูดำกระตุกคิ้วขึ้น และพูดอย่างดีใจ ฉันกลับรู้สึกสิ้นหวังอย่างที่สุด ต้องจัดหาผีวันละตัวถึงสองปี แล้วกู๋ซื่ออื่นๆจะรอฉันถึงสองปีไหมล่ะ? อีกอย่างต้องจัดหาผีวันละตัว แล้วฉันจะไปหาที่ไหนมากมายขนาดนั้น ฉันถอนหายใจหนึ่งเฮือก คงหลบซ่อนไม่พ้นแน่ ตอนนี้จะกังวลก็ช่วยอะไรไม่ได้ รีบให้งูดำกลับไปบนข้อมือของฉันดีกว่า จากนั้นฉันกับเจิ้งเล่อก็รอข่าวคราวของเซียวเหย่ ใครจะไปรู้ว่าหัวงูดำจะโน้มตัวเอียง ดวงตางูที่ดำทึบจ้องมองเจิ้งเล่อ จากนั้นก็ยิ้มขึ้น และพูดว่า : "เจ้าเด็กคนนี้ดูไปแล้วท่าทางน่าจะอร่อย เป็นหลานชายของเสิ่นเหม่ยฉินแน่เลย งั้นให้เขาเข้ามาอยู่ในท้องของข้า เพื่อไปเจอยายของเขา ดีไหม" คาดไม่ถึงว่ามันจะเบี่ยงเบนความสนใจมาที่ตัวเจิ้งเล่อ! ฉันรีบออกมาขว้างหน้าเจิ้งเล่อ แล้วบอกงูดำว่าคนนี้ไม่ได้ เพราะเขาคือกุมารที่ฉันเลี้ยง "โอ๊ย เจ้าเลี้ยงข้ายังไม่พออีกหรอ ยังมีอารมณ์เลี้ยงกุมารอีก ช่างเถอะ เจ้าเลี้ยงเขาไปก่อน รอให้เขากลายเป็นภูตผีก่อน ค่อยให้ข้ากินก็ไม่สาย” งูดำยิ้มอย่างเย็นชา จากนั้นมันก็หายตัวไป และกลับมาอยู่บนข้อมือของฉันอีกครั้ง "เจ้านาย เสิ่นเหม่ยฉินที่มันพูดเมื่อกี้คือใครหรอ? ทำไหมชื่อนี้ถึงคุ้นหูจัง?" เจิ้งเล่อแสดงท่าทางหวาดกลัวงูดำ ตอนที่งูดำปรากฏตัวนั้น เขาเอาแต่แอบหลบซ่อนข้างหลังฉันอย่างเงียบๆตลอด แต่พองูดำจากไปเขาจึงถามฉันขึ้น "อืม..." ฉันลังเลสักพัก ไม่รู้ว่าจะต้องอธิบายยังไงเกี่ยวกับเสิ่นเหม่ยฉิน เลยพูดออกไปว่า : "คือ...ยายที่รักหลานชายมากจนยอมทำทุกอย่าง" "อ่อ..." เจิ้งเล่อผงกหัว เห็นได้ชัดเจนว่าเขาไม่ค่อยพอใจกับคำตอบของฉัน คิ้วเรียวงามขมวดชิดติดกัน แต่พอเขานึกอยู่สักพักก็นึกไม่ออกว่าเสิ่นเหม่ยฉินคือใคร เลยหยุดคิดไป แล้วยิ้มพร้อมพูดว่า : "เจ้านาย บนตัวของคุณตอนนี้มีบาดแผล ให้ฉันพาคุณกลับไปพักผ่อนที่รถดีกว่า" "รถหรอ? รถอะไร?" ฉันสะดุ้งตกใจกับคำพูดของเขา เพราตอนที่มาเซียวเหย่ก็ไม่ได้ขับรถ แต่กอดฉันวิ่งทะยานมา ดังนั้นเซียวเหย่เลยให้ฉันกับเจิ้งเล่อรอในป่าแห่งนี้ "ก่อนท่านพี่ภูตผีจากไป เขาให้ผมจัดหารถสักคันให้คุณ ในตอนนั้นผมยังไม่ทันจะออกไปหากู๋ซื่อก็มาแล้ว ผมเลยฉวยโอกาสตอนที่คุณพูดคุยกับเทพเจียวออกไปหาร้านใกล้ๆแถวนี้ และได้ยืมรถมาแล้วด้วย" เจิ้งเล่อพูดขึ้น พูดจบเขายังทำท่าทางเชิญให้ด้วย เพื่อให้ฉันเดินตามเขาไป ฉันอดสงสัยไม่ได้ เลยถามเขาว่าในพื้นที่เทือกเขาลึกขนาดนี้เขาไปยืมรถมาจากไหน อีกอย่างเขาก็ยังเป็นผี นอกจากฉันแล้ว ก็ไม่มีใครมองเห็นเขาอีก? เจิ้งเล่อถูกฉันถามจนรู้สึกกังวลเล็กน้อย เขาเลยผงกหัวแบบถูไถไปก่อน จากนั้นก็เร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้าอย่างเร็ว ไม่นานพวกเราก็เดินมาถึงถนนนอกภูเขาแล้ว และยังพบว่ามีรถหนึ่งคันจอดอยู่ และยังเป็นรถจิ๊ปอีกด้วย ฉันยิ่งเกิดความสงสัยขึ้นไปอีก รถคนนี้ไม่ใช่รถราคาถูก ต่อให้พื้นที่เปล่าเปลี้ยวอย่างนี้จะมีคนใช้รถจิ๊ปจริงๆ ก็ไม่น่าจะให้เด็กคนหนึ่งยืมได้! ฉันจะไม่ขึ้นรถโดยที่ไม่รู้เด็ดขาด ฉันจับตัวเจิ้งเล่อ และถามเขาอย่างจริงจังว่า : "พูดมาตามตรง ตกลงแล้วรถคันนี้มาจากไหน?" "เป็น....เป็นรถที่....ผมยืมมา..." เจิ้งเล่อถูกฉันถามจนหวาดกลัว เขาก็เลยพูดติดอ่าง "เธอไปขโมยมาใช่ไหม?" ฉันพูดขัดเขาขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง เจิ้งเล่อถูกฉันข่มขู่จนสะดุ้งตกใจ และร่างกายก็สั่นเทา จากนั้นก็พูดว่า : "ไม่ได้ขโมย รถคันนี้ไม่มีเจ้าของ เพราะเจ้าของรถคันนี้ตายไปแล้ว" ชั่วพริบตาคำพูดของเขาก็กระตุ้นความสงสัยของฉัน และถามเขาว่า : "เธอรู้ได้ยังไงว่าเจ้าของรถคันนี้ตายแล้ว แล้วเจอรถคันนี้ที่ไหน?" "อยู่ใกล้ๆภูเขาหยิน ตอนที่พี่ภูตผีบอกผมมาผมก็ไม่เชื่อ แต่ตอนที่ผมขึ้นรถ ผมพบว่ามีกลิ่นความตาย ซึ่งแสดงว่าเจ้าของรถตายไปแล้ว เจ้านายเชื่อผมเถอะ รถคันนี้ผมไม่ได้ขโมยมาจริงๆ" เจิ้งเล่อรีบพูดขึ้น เมื่อฉันเห็นท่าทางที่เหมือนคนโกหกก็เลยผงกหัว จากนั้นฉันก็ตกใจขึ้นมา รถคนนี้เป็นรถที่เซียวเหย่ให้เจิ้งเล่อเอามา นั่นก็แสดงว่าเขารู้อยู่แล้วว่าบริเวณภูเขาหยินมีคนตาย แม้แต่เขายังสามารถสัมผัสดวงวิญญาณของเจ้าของรถได้ แต่ทำไหมเขาถึงเขาไปในภูเขาหยินตั้งนาน แล้วยังไม่กลับออกมาอีกล่ะ? อีกอย่างตาเฒ่ากู๋ซื่อที่จับตัวถางเหย่วตอนนี้ก็ตายแล้ว ดังนั้นในภูเขาหยินไม่น่าจะมีคนแล้ว หรือว่าตาเฒ่ากู๋ซื่อมีพรรคพวก? และตอนนี้เซียวเหย่กำลังได้รับอันตราย? ฉันร้อนใจแทบไม่ทัน รีบให้เจิ้งเล่อติดต่อกับเซียวเหย่ ดูว่าสถานการณ์ของเขาตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ในโลกของดวงวิญญาณมีวิธีการติดต่อที่พิเศษอย่างหนึ่ง ขอเพียงรู้จักชื่อของกันและกัน ก็จะสามารถติดต่อกันได้ เหมือนกับคนที่ใช้โทรศัพท์ติดต่อกัน เพียงแต่การติดต่อระหว่างพวกเขามีข้อจำกัดอยู่เล็กน้อย นั่นก็คือผีระดับสูงจะสามารถติดต่อกับผีระดับต่ำเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ผีระดับต่ำไม่สามารถทำได้ ถึงแม้สถานการณ์จะเป็นเช่นนี้ แต่ฉันก็ยังต้องการให้เจิ้งเล่อลองติดต่อดู เจิ้งเล่อผงกหัวรับ ในปากส่งเสียงร้องบ่นพึมพำแปลกๆ น่าจะเป็นภาษาผี จากนั้นเจิ้งเล่อก็อ้าปากเรียกหาชื่อของเซียวเหย่ ไม่นาน ฉันก็ได้ยินเสียงของเซียวเหย่ดังขึ้น : "รอไม่ได้แล้วหรอ?" "คุณเป็นยังไงบ้าง ได้รับอันตรายไหม ทำไหมถึงไม่ออกมาอีก ช่วยคนได้หรือยัง?" เมื่อฉันได้ยินเสียงของเซียวเหย่ ฉันก็รู้สึกโล่งอก แต่ก็ยังถามคำถามติดต่อกันอย่างด่วนจี้ ไม่รอให้เซียวเหย่ตอบ มือที่เย็นก็มาจับบนหัวของฉัน และลูบพร้อมพูดว่า : "ผมยังไม่ออกอีกหรอ?" "พูดจบเสียงของเซียวเหย่ก็เร่งรีบ ถามฉันว่า : "ได้รับบาดเจ็บตรงไหนไหม?" ฉันรีบกระโจนเข้าไปกอดในอ้อมอกเขาอย่างแน่น และผงกหัวอย่างสุดแรง ไม่รู้ว่าทำไหม ตอนที่ฉันเผชิญหน้ากับตาเฒ่ากู๋ซื่อ ฉันเข้มแข็งตลอด ถึงแม้ว่าฉันเองก็กลัวตายก็ตาม แต่ในเวลานี้พอฉันเจอเซียวเหย่ ความรู้สึกหวาดกลัวและเศร้าใจก็พรั่งพรูขึ้นในหัวใจ หากฉันตายไปจริงๆเมื่อกี้ คงไม่มีโอกาสเจอเซียวเหย่อีกต่อไป จากนั้นเสื้อคลุมที่ป้องกันก็ถูกถอดออก เดิมทีเซียวเหย่ยังแขวนรอยยิ้มไว้บนใบหน้า เเต่พอเห็นฉันเป็นแบบนี้ คิ้วที่เรียวมากของเขาก็ชิดติดกัน และตรวจดูร่างกายของฉันอย่างร้อนใจ : "กู๋ซื่อคนนั้นมาหาคุณแล้วหรอ? คุณถูกแมลงกู๋กัดแล้วหรอ?" ขณะที่พูดบนใบหน้าของเขาก็เผยสีหน้าทุกข์ใจ เลยปล่อยถางเหย่ที่วางอยู่บนบ่าร่วงตกลงบนพื้นดิน แล้วเข้ามากอดฉัน ส่วนปากก็ประกบบนบาดแผล ฉันรู้สึกเย็นนิดๆ...คัน....เหมือนกับกระแสไฟฟ้าอ่อนๆช็อด ร่างกายของฉันอดไม่ไหวที่จะสั่น ฉันถูกเขาจูบทั่วทั้งร่างกายจนรู้สึก ร้อน หวิวๆ "เซียวเหย่ ฉันไม่ได้โดนพิษ ฉันไม่เป็นไรแล้วจริงๆ" ฉันเขินอายอย่างมาก เลยผลักเขาออกไป อายเด็กตรงหน้าด้วยสิ เจิ้งเล่อกับถงถงเบิกตากว้างมองฉันสองคน พวกเขาแทบจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย หลังจากประทับรอยจูบของเขาบนบาดแผลฉันครั้งแล้วครั้งเล่าเสร็จ เขาถึงจะเงยหน้าขึ้น และถามฉันว่า : "คุณถูกแมลงกู๋กัดแล้ว แต่ทำไหมไม่มีพิษล่ะ?" ฉันยังอายจนหน้าแดงก่ำ และนำเรื่องงูดำที่เกรียงไกรแถมแต่งเรื่องนิดหน่อยเล่าให้เขาฟัง ระหว่างนั้นความเขินอายของฉันก็ค่อยๆลดลง แน่นอนว่าก่อนที่งูดำจะออกมา ตอนที่ฉันดิ้นรนทุร้นทุลายไม่ได้เล่าด้วย เพราะกลัวเซียวเหย่จะเป็นห่วง หลังจากฉันพูดจบ ถงถงก็จับมือฉันและพูดว่า : "พี่สาว คุณสามารถแก้พิษของแมลงกู๋ได้หรอ? งั้นพี่รีบไปช่วยพี่ใหญ่ของผมหน่อยเถอะ เขาถูกแมลงกู๋กัดจนน่าอนาถแล้ว!" ฉันเพิ่งเห็นถางเหย่ว และพบว่าทั้งตัวของเขาถูกทำร้าย สีหน้าเปลี่ยนจนมีสีดำคล้ำแล้ว ความสามารถของเขาเยี่ยมไปกว่าใคร แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะถูกทำร้ายหนักขนาดนี้ ดูเหมือนว่ากู๋ซื่อจะต่อกรยากเหมือนกัน ภายในใจฉันระทมทุกข์ ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงเรียกงูดำ ถามมันว่าสามารถช่วยขับพิษบนตัวถางเหย่วให้หน่อยได้ไหม ตอนแรกคิดว่างูดำจะไม่ยอมยอม ใครจะไปรู้พอมันได้ยินว่ามีพิษ ก็กระโจนบนตัวของถางเหย่ว และให้การรักษาถางเหย่วทันที ระหว่างที่งูดำรักษา ฉันก็เดินไปข้างเซียวเหย่ และถามเขาเกี่ยวกับสถานการณ์ในภูเขาหยินว่าได้เจออันตรายบ้างไหม ทำไหมนานขนาดนี้ถึงเพิ่งออกมา เซียวเหย่ส่ายหน้า บอกว่ามองดูภูเขาหยินภายนอกแล้ว เหมือนมีพลังหยินชี่หนาแน่น แต่จริงๆแล้วเพราะที่นี้มีหลุมศพคนตายเกือบหมื่นศพ ดังนั้นผีเร่รอนทั้งหมดมารวมตัวที่นี้ พลังหยินชี่จึงดูหนาแน่น ข้างในนอกจากมีแมลงกู๋ที่เฝ้าถางเหย่วกับลิ่วเออร์ ก็แทบจะไม่มีใครเลย เมื่อพูดจบเซียวเหย่ก็ควักแผ่นเหล็กที่มีลักษณะกลมๆเล็กๆแผ่นหนึ่งออกมา ดูไปแล้วเหมือนกับเหรียญติดหน้าอก เซียวเหย่ยื่นมือมาต่อหน้าฉัน แล้วพูดว่า : ที่ผมเสียเวลาก็เพราะสิ่งนี้" ฉันหยิบเหรียญติดหน้าอกจากมือเซียวเหย่ดู พบว่าข้างบนนอกจากมีลายแกะสลักรูปดอกบัวแล้ว ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจอีกเลย ถ้าจะพูดตามตรงก็คือ มีเพียงลายดอกบัวแกะสลักได้สวยงดงาม สมจริงราวกับเห็นของจริงเลย นอกจากนี้ ฉันมองดูอยู่นานสองนาน แต่ก็ไม่รู้ว่าเซียวเหย่หมายถึงอะไรกันแน่ "ข้างบนเป็นลายดอกบัวคือลายที่เสวียนชิงชิงใช้เมื่อตอนมีชีวิตอยู่บ่อยที่สุด บนเสื้อผ้าของเธอถักลายดอกบัวขาวหนึ่งดอกตลอดปี" เซียวเหย่อธิบาย เสวียนชิงชิง! เมื่อได้ยินชื่อนี้ หัวใจของฉันก็หดตัวลงเป็นก้อนๆหนึ่ง มิน่าเขาถึงเสียเวลามากขนาดนั้น ที่แท้ก็พบสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับเสวียนชิงชิงนี่เอง ทันใดนั่นทุกอย่างก็เงียบเฉียบ ฉันเอาเหรียญติดหน้าอกคืนให้เซียวเหย่ และถามว่า : "เสวียนชิงชิงสวยไหม?" "อะไรนะ?" เซียวเหย่สะดุ้งตกใจ จากนั้นก็คิดอย่างจริงจัง และพูดว่า : "สวยสิ มีคนพูดว่าเธอสวยจนล้มเมืองล้มประเทศได้เลย" "ดังนั้นร่างศพของเธอเลยถูกขโมย คุณเลยรีบร้อนที่จะพาเธอกลับมาใช่ไหม?" ภายในใจฉันรู้สึกหนักอึ้ง และถามเขา เซียวเหย่มองฉันอย่างไร้คำพูด จากนั้นก็เผยรอยยิ้มขึ้น และเข้าใกล้ฉัน แล้วถามว่า : "หึงหรอ?" ใบหน้าฉันเริ่มแดงระเรื่อ ปากแข็งและพูดว่า : "เปล่าสักหน่อย แค่สงสัยว่าคุณเจอลายที่เกี่ยวข้องกับเธอในภูเขาหยินอย่างนี้ แสดงว่าเธอถูกซ่อนไว้ในภูเขาหยินใช่ไหม? ดังนั้นคุณเลยตามหาอย่างรอบคอบ แต่หาไม่เจอเลยออกมา?" "ใช่ เป็นตามนี้แหละ" เซียวเหย่ผงกหัวรับ จากนั้นก็กอดฉันไว้ และพูดว่า : "น่าเสียดายนอกจากเหรียญติดหน้าอกนี้ ก็ไม่เจอเบาะแสอะไรของเธออีกเลย" 
已经是最新一章了
加载中