ตอนที่ 61 บ้านผีสิง   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 61 บ้านผีสิง
ต๭นที่ 61 : บ้านผีสิง พูดจบพวกเธอทั้งสองก็ส่ายหน้า ผลักรถเข็นทำความสะอาดเดินออกไป ฟังก็ฟังได้เพียงครึ่งเดียว ฉันรู้สึกเศร้ามาก รีบดึงมือเจิ้งเล่อวิ่งไล่ตามไป ทั้งสองยังคงคุยกันอยู่ ยังเดินไปไม่ได้ไกลฉันก็วิ่งตามทันแล้วร้องเรียก “คุณน้าคะ เดี๋ยวก่อนค่ะ” คุณน้าทำความสะอาดได้ยินคนตะโกนเรียกก็หยุดเดินทันทีแล้วหันกลับมามอง พอเห็นฉันก็มีสีหน้าตกใจทันที ถามฉันด้วยความประหม่า “มีอะไรเหรอคะ?” “เมื่อครู่ฉันได้ยินที่พวกคุณพูดกันแล้ว ช่วยเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับบ้านหลังนี้ให้ฉันฟังอย่างละเอียดอีกสักหน่อยได้ไหมคะ?” ฉันถาม คุณน้าทั้งสองคนหนึ่งอ้วนอีกคนผอม เมื่อครู่คนที่พูดคือคุณน้าคนผอม เธอเห็นฉันเข้าไปในคฤหาสน์หลังนั้นกับเซียวเหย่แน่นอน พอเห็นฉันถามสีหน้าก็ซีดเผือกอย่างเห็นได้ชัด พูดจาตะกุกตะกัก “เมื่อครู่ฉันพูดอะไรไปเหรอคะ? เรื่องบ้านหลังนั้นพวกเราเองก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดเท่าไร แค่คุยกันเล่นๆ เท่านั้นเอง คุณไปถามคนอื่นดีกว่าค่ะ” พูดจบเธอก็เหมือนกลัวภัยจะมาถึงตัว ดึงคุณน้าคนอ้วนให้เดินออกไป แต่กลับเป็นคุณน้าคนอ้วนนั้น กวาดสายตามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วสีหน้าก็เหมือนอดไม่ได้ เอ่ยขึ้นด้วยความลังเล “คุณจาง ในเมื่อเด็กเขาได้ยินแล้ว พวกเราก็บอกเธอไปเถอะ ช่วยคนหนึ่งชีวิต ยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้นนะเธอ อีกอย่างดูท่าเธอก็อายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกสาวฉัน...” คุณน้าคนผอมมองมาที่ฉันด้วยสีหน้าลำบากใจ เห็นคุณน้าคนอ้วนเอ่ยปากขอร้อง ก็มองซ้ายมองขวาว่าไม่มีใครสนใจพวกเรา แล้วจึงพูดเสียงเบา “งั้นพวกเราไปหาที่เงียบๆ ลับตาคน อย่าให้หัวหน้างานรู้ได้” ว่าแล้วก็หันหลังเดินตรงไปข้างหน้า ฉันรู้สึกยินดีมาก รีบตามพวกเธอไปทันที พวกเธอมีความคุ้นเคยในชุมชนแห่งนี้เป็นอย่างดี พาฉันลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอย ไม่นานก็มาถึงยังกลางถ้ำหินจำลอง คุณน้าคนผอมให้คุณน้าคนอ้วนออกไปดูลาดเลาข้างนอก แล้วพาฉันมุดเข้าไปในถ้ำ “สาวน้อย ไม่ใช่ว่าน้าไม่อยากบอกเธอนะ แต่เป็นเพราะหัวหน้าปิดเรื่องบ้านหลังนั้นเป็นความลับจริงๆ ถ้ามีคนเห็นว่าน้าเล่าเรื่องบ้านหลังนั้นให้เธอฟัง น้าจะต้องโดนไล่ออกแน่ๆ” คุณน้าคนผอมเอ่ยขึ้น พูดไปสีหน้าของเธอก็จริงจังขึ้น “ผู้จัดการของเราน่าจะเคยบอกกับเธอแล้ว คฤหาสน์หนังนี้ท่านประธานของเราต้องการทิ้งเอาไว้ให้เป็นเรือนหอของลูกสาวของเขา” ฉันพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “พูดตามตรงนะ เขาน่าจะหลอกพวกเราแล้วล่ะ” คุณน้าส่ายหน้า “ก็ไม่ถือว่าหลอก คฤหาสน์หลังนั้นท่านประธานได้ทิ้งเอาไว้ให้เป็นเรือนหอของลูกสาวจริงๆ แต่เขาบอกไม่หมด ก่อนที่ลูกสาวของเขาจะแต่งงานได้หนึ่งสัปดาห์ เจ้าสาวได้พบว่าเจ้าบ่าวนอกใจ คนที่เจ้าบ่าวนอกใจไปหาก็คือเพื่อนสนิทของเจ้าสาวเอง” ฟังถึงตรงนี้ ฉันก็รู้สึกหัวใจบีบรัด พอจะเดาเรื่องราวต่อจากนี้ได้ “ไม่รู้ว่าควรบอกว่าเจ้าสาวโง่หรือบ้านรวยเกินไปเลยไม่ได้ใส่ใจบ้านหลังนี้เลย ก่อนหน้าการแต่งงาน เจ้าบ่าวได้เกลี้ยกล่อมให้เจ้าสาวใส่ชื่อของเขาให้เป็นเจ้าของเรือนหอหลังนี้ ต่อมาเจ้าบ่าวก็มอบคฤหาสน์นี้ให้กับเพื่อนสนิทของเจ้าสาว กว่าเจ้าสาวจะรู้เรื่องนี้ ชื่อของบ้านหลังนี้ก็กลายเป็นของคนอื่นไปแล้ว เธอว่าสิ่งที่พวกเขาทำมันเรียกว่าอะไรกัน ก็ไม่แปลกหรอกที่เจ้าสาวจะคลุ้มคลั่ง” “สุดท้ายเจ้าสาวก็บันดาลโทสะฆ่าเจ้าบ่าวตาย แล้วก็ฆ่าตัวตายตาม นับตั้งแต่นั้นมา คฤหาสน์หลังนั้นก็ได้กลายเป็นบ้านผีสิง ขนาดตอนที่พวกเราไปทำความสะอาดก็กล้าเข้าไปทำเฉพาะลานหน้าบ้านเท่านั้น ไม่กล้าเข้าไปในตัวบ้านเลย” “แล้วต่อมาล่ะคะ ผู้จัดการของพวกคุณไม่รู้เรื่องนี้หรอกเหรอ?” ฉันถาม คุณน้าคนผอมตาโต พูดกระซิบกระซาบ “ทำไมถึงจะไม่รู้ล่ะ บ้านหลังนั้นสำหรับเขาแล้วมันเป็นเหมือนหอกข้างแคร่ที่คอยทิ่มแทงใจเขา เขาจึงต้องรีบขายบ้านหลังนั้นออกไป ไร้สามัญสำนึกจริง!” “แต่ว่าทำไมเขาถึงกล้าเข้าไปในตัวบ้านล่ะคะ อีกอย่างบ้านหลังนี้ไม่ได้กลายเป็นของคนรักของเจ้าบ่าวไปแล้วเหรอคะ ทำไมถึงยังเอาไปขายได้อีก?” ฉันถามด้วยความไม่เข้าใจ “หลังจากเกิดเรื่อง บรรดาผู้บริหารก็ได้หาผู้เชี่ยวชาญหลายคนเข้ามาจัดการกับบ้านหลังนั้น แต่ก็ไม่เป็นผลใดๆ สุดท้ายก็จนปัญญา ทางผู้มีอำนาจจึงได้แจกเครื่องรางให้กับผู้บริหารของบริษัททุกคน แค่เพียงพกเครื่องรางนั่นเข้าไปด้วยก็จะไม่เกิดเรื่องใดๆ” คุณน้าคนผอมเล่า พูดจบเธอก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้งแล้วพูดต่อว่า “ส่วนเพื่อนสนิทคนนั้นกลับทำให้คนใจหายมากกว่า หลังจากเกิดเรื่องนี้ ทางตำรวจที่ทำการสอบสวนคดีนี้ได้ปิดบ้านหลังนั้นเอาไว้หนึ่งเดือน ต่อมาหลังจากปิดคดีลงได้ เพื่อนสนิทคนนั้นก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ย้ายเข้าไปอยู่ด้วยความยินดี แถมยังพาหนุ่มน้อยน่ารักเข้ามาอยู่ด้วย สุดท้ายน่ะเหรอ อยู่ได้ไม่ถึงเดือน หนุ่มน้อยน่ารักนั่นก็ถูกผู้หญิงคนนั้นฆ่า ส่วนตัวเธอเองก็ถูกตำรวจเข้าจับกุม ตอนนี้ก็ยังรับโทษอยู่ ต่อมาทุกคนต่างก็พูดกันว่าเป็นการแก้แค้นของวิญญาณลูกสาวท่านประธาน ครอบครัวของเพื่อนสนิทคนนั้นรู้ว่าที่นี่เป็นบ้านผีสิงก็ไม่อยากได้เช่นกัน จึงได้มอบบ้านหลังนี้ให้กับเฝิงต้า” “จะว่าไปก็แปลกเหมือนกัน ตั้งแต่บ้านหลังนี้คืนกลับมาให้เฝิงต้า ท่านประธานเฝิงต้าก็เกิดเรื่องทุกปี จึงได้ร้อนใจให้ผู้จัดการขายบ้านหลังนี้ทิ้งไป แต่ความชั่วร้ายของคฤหาสน์หลังนี้มันมากเหลือเกิน เมื่อปีที่แล้วมีคู่สามีภรรยาหนุ่มสาวที่อยากได้ของถูกต้องการซื้อบ้านหลังนี้ แค่เพียงเข้าไปทดลองอยู่ได้เพียงคืนเดียว วันต่อมายังไม่ทันจะได้จ่ายเงิน คู่สามีภรรยานั้นก็ประสบเหตุรถชนเสียชีวิต บ้านก็กลับมาอยู่ในมือของเฝิงต้าอีกครั้ง ยังไม่ทันถึงปีก็มาพบกับพวกคุณ” พูดจบคุณน้าคนผอมก็มองฉันด้วยความจริงใจพร้อมกับโน้มน้าว “หนูเอ๋ย บนโลกนี้ของถูกแล้วดีไม่มีหรอก ยังไงก็อย่าเอาบ้านหลังนี้เลย อีกอย่างเธอกับแฟนก็ได้เข้าไปในบ้านหลังนั้นแล้ว อย่าเพิ่งออกไปไหน ไปหาวัดจุดธูปกราบไหว้เพื่อปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกจากตัว แล้วไปหาซื้อบ้านหลังอื่นเถอะ” ฉันพยักหน้า ในใจเต็มไปด้วยคำขอบคุณ “ขอบคุณค่ะคุณน้า” “ไม่เป็นไรจ้ะ” คุณน้าคนผอมโบกมือ จากนั้นก็ให้ฉันออกมาจากถ้ำก่อน แยกกันกับเธอจะได้ไม่มีคนอื่นสังเกตเห็น ฉันรู้สึกขอบคุณในใจ หลังจากร่ำลากับคุณน้าแล้ว ก็ดึงเจิ้งเล่อออกไป ระหว่างทางที่เดินกลับไป ฉันถามเจิ้งเล่อว่าได้โต้ตอบกับวิญญาณที่อยู่ในคฤหาสน์หลังนั้นบ้างหรือเปล่า เจิ้งเล่อส่ายหน้าแล้วตอบว่า “พลังหยินในบ้านหลังนั้นหนาแน่นมาก แต่กลับไม่รู้สึกสัมผัสถึงวิญญาณเลย อีกอย่างตอนที่ฉันก้าวเข้าไปในบ้านหลังนั้นก็รู้สึกตัวเองเบาหวิว ผ่อนคลายเหลือเกิน” จริงด้วย ผีจะอยู่ในที่ที่มีพลังหยินมาก มันช่วยส่งเสริมพวกเขา ไม่แปลกเลยที่เซียวเหย่เจาะจงต้องการบ้านหลังนั้น แต่หากเป็นแบบนี้ ผู้จัดการนั่นเปิดราคามาที่ห้าล้านก็ดูจะโกงกันไปเสียหน่อย ก็เขาต้องการกำจัดมันทิ้งไม่ใช่หรือ โชคดีที่เซียวเหย่เป็นผี ถ้าหากว่าเปลี่ยนเป็นคนธรรมดามาซื้อบ้านหลังนี้ล่ะก็ ไม่ต้องตายไปอีกสองชีวิตเลยเหรอ? เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ฉันก็อดโมโหไม่ได้ จึงพาเจิ้งเล่อกลับมายังคฤหาสน์ด้วยความโกรธ ในตอนนี้เซียวเหย่ก็เหมือนยังคุยกับผู้จัดการไม่เรียบร้อย ทั้งสองยังคงพูดคุยอะไรกันอยู่ พอเห็นฉันกลับไป ความสนใจของเซียวเหย่ก็พุ่งเข้ามาที่ตัวฉันทันที ถามฉันว่า “เมื่อครู่คุณไปไหนมา?” “ไม่ได้ไปไหน แค่ไปสำรวจคฤหาสน์นั้นอีกสักหน่อย” ฉันโกหก พูดจบฉันก็แกล้งทำเป็นเหลือบมองไปที่ผู้จัดการทั่วไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ กอดอกแล้วพูดว่า “ไม่รู้ว่าทำไมนะ ฉันรู้สึกว่าในบ้านหลังนี้มันค่อนข้างหนาว ตอนนี้ก็ไม่ใช่ฤดูหนาวเสียด้วย ทำไมความอบอุ่นภายในถึงได้ต่ำแบบนี้?” พูดจบสายตาของฉันก็จับจ้องอยู่ที่ผู้จัดการทั่วไปเพื่อสำรวจปฏิกิริยาของเขา เขาได้ยินฉันพูดเช่นนี้สีหน้าก็ชะงักไป รอยยิ้มที่อยู่ใบหน้าค้างเติ่งทันที แต่เขาเป็นผู้จัดการทั่วไปมาหลายปี มีประสบการณ์ช่ำชอง เพียงครู่เดียวสีหน้าก็กลับมาเป็นปกติ หัวเราะตอบว่า “คุณคนสวยมีสายตาที่แหลมคม นี่เป็นจุดเด่นของคฤหาสน์ของเรา ไม่ว่าอากาศภายนอกจะร้อนสักแค่ไหน แต่ภายในบ้านก็อบอุ่นพอดี สดชื่นเย็นสบาย” “แล้วถ้าถึงฤดูหนาวจะไม่หนาวแย่เหรอคะ?” ฉันยิ้มเยาะในใจ ยังแกล้งทำสีหน้าประหลาดใจอยู่เหมือนเดิม “ไม่แน่นอนครับ ตอนที่ทางเราตกแต่งได้ติดตั้งเครื่องปรับอากาศหลักที่ดีที่สุดไว้แล้ว และตอนที่ออกแบบบ้านหลังนี้ก็ได้คำนึงถึงขนาดพื้นที่อย่างละเอียด ช่วงฤดูหนาวอากาศจะอบอุ่นและฤดูร้อนจะเย็นสบาย ไม่ต้องเป็นห่วงครับ” เห็นผู้จัดการทั่วไปยืนยันอย่างหนักแน่นเช่นนี้ ในใจฉันก็ยิ่งรู้สึกรังเกียจ จึงตั้งใจจะแกล้งเขา “คุณก็พูดแบบนี้ได้ แต่ถ้าถึงฤดูหนาวแล้วอากาศยังหนาวเหน็บแบบนี้ คุณจะให้ฉันคืนบ้านหรือเปล่าคะ?” พอได้ยินคำว่าอากาศหนาวเหน็บ แม้ผู้จัดการทั่วไปจะเจนจัดสักแค่ไหนก็ยังเอาไม่อยู่ สีหน้าดูลนลานอย่างเห็นได้ชัด แล้วเขาก็ตอบขำๆ อย่างเก้อเขินว่า “คุณคนสวยครับ บ้านหลังนี้หากถูกขายไปแล้วก็ถือว่าโอนกรรมสิทธิ์แล้ว จะคืนได้อย่างไรล่ะครับ? ไม่ใช่ซื้อขายเสื้อผ้านะครับ คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ผมเอาตัวเองเป็นประกัน บ้านหลังนี้คุ้มค่าคุ้มราคาแน่นอน พวกคุณซื้อไปแล้วอยู่ไปก็จะดีแน่นอน ไม่มีข้อบกพร่องอะไร พูดจบเขาก็ยังมีสีหน้าจนปัญญา ฝืนยิ้มมองเซียวเหย่แล้วพูดขึ้นว่า “พวกคุณคู่สามีภรรยาดูอายุยังน้อย แต่ในความเป็นจริงฉลาดมีไหวพริบขนาดนี้ บ้านหลังนี้เกินคำว่าคุ้มค่า แถมพวกคุณยังหั่นราคาลงมามาก ถ้ายังจะต่อราคาอีก ผมก็คงต้องกระอักเลือดแล้วล่ะ ว่าไงล่ะครับ ถ้าพวกคุณคิดว่าไม่มีปัญหา เดี๋ยวเรารูดบัตรเครดิตทำสัญญากันเลยแล้วกัน” “เร็วขนาดนี้เลยเหรอคะ?” ฉันอึ้งไป ฉันเพิ่งออกไปครู่เดียว พวกเขาก็คุยกันจนถึงขั้นจะรูดบัตรทำสัญญาแล้ว สรุปว่าบ้านหลังนี้ราคาเท่าไรกันแน่? ฉันรีบถามผู้จัดการทั่วไป เขายังคงหน้านิ่วอยู่ “ลดลงมาห้าแสน บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ บวกกับการตกแต่งเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าครบครัน ราคาเพียงสี่ล้านห้าแสน วางเงินดาวน์เอาไว้ก่อน ที่เหลือค่อยๆ ผ่อนเอาก็ได้” ขี้โกง! ขี้โกงชัดๆ! ฟังแล้วดูเหมือนเราได้เปรียบมาก แต่ความเป็นจริงนี่คือบ้านผีสิง บางทีถ้าเราซื้อไปแล้ว อาจจะมีจุดจบอย่างโหดร้ายก็ได้ เขาพูดมามากขนาดนี้ ไม่เพียงต้องการจะโอนกรรมสิทธิ์บ้านให้พวกเราเท่านั้น เพื่อท่านประธานของพวกเขาแล้ว ถ้าจะมอบบ้านให้เราฟรีๆ ก็ยังได้เลย! ฉันทนดูหน้าของผู้จัดการคนนั้นต่อไปไม่ไหวแล้ว ดึงเซียวเหย่แล้วกระซิบบอกเรื่องที่ฉันเพิ่งได้ยินมาให้เขาฟัง เซียวเหย่ได้ยินดังนั้นก็ยักคิ้ว มองฉันด้วยความประหลาดใจ ฉันกลัวว่าเขาจะไม่เชื่อจึงรีบบอก “ที่ฉันพูดไปคือความจริงทั้งหมด ถ้าคุณไม่เชื่อลองถามเจิ้งเล่อดู เขาก็ได้ยินเหมือนกัน” เซียวเหย่ส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ “ผมเชื่อ แค่ไม่อยากให้คุณรู้เรื่องราวของบ้านหลังนี้เท่านั้น” พูดจบเขาก็จับมือฉันเบาๆ แล้วถามว่า “ตอนนี้คุณรู้แล้วว่ามันคือบ้านผีสิง กลัวมั้ย?” กลัว? ฉันอึ้งไป หันหน้าไปมองคฤหาสน์หลังน้อยอันแสนงดงามหลังนี้ มีผีเก่งๆ อย่างเซียวเหย่ผู้นี้อยู่ข้างกายฉัน ต่อให้บ้านหลังนี้บ้านผีสิงแต่ก็เป็นบ้านที่มีผีอยู่ ฉันจะต้องไปกลัวอะไรอีกล่ะ อีกอย่างต่อให้วิญญาณของลูกสาวท่านประธานจะร้ายอีกสักแค่ไหน ก็ไม่สามารถทำอันตรายเซียวเหย่ได้หรอกจริงไหม? แต่สิ่งที่ฉันไม่ทันได้คาดคิดก็คือ เมื่อครู่ตอนที่ฉันได้ถามเขาถึงปัญหาของบ้านหลัง เขาก็ดูท่าทางมีลับลมคมใน พูดว่าจะไม่บอกอะไรกับฉันทั้งนั้น ก็เพราะเขาเกรงว่าฉันจะรู้สึกหวาดกลัวที่บ้านหลังนี้เป็นบ้านผีสิงเท่านั้นน่ะเหรอ? ดูถูกกันไปหน่อยแล้ว! ฉันโกรธเล็กน้อย ยืดอกขึ้นแล้วพูดว่า “มีคุณอยู่ ฉันจะต้องกลัวอะไรอีกล่ะ คุณซื้อแล้วสบายใจก็พอแล้ว” “คุณเชื่อใจผมขนาดนี้เลยเหรอ?” เซียวเหย่เห็นท่าทางของฉันแล้วก็ขบขัน จับแก้มฉันอย่างเอาอกเอาใจ เหมือนพอใจในการตอบสนองของฉันมาก ตาบ้าเซียวเหย่ รู้ทั้งรู้ว่านี่คือบ้านผีสิงแล้วยังไม่บอกฉัน แล้วฉันจะทำให้เขาพอใจได้อย่างไร? แล้วพูดติดตลกต่อว่า “ไม่ใช่เชื่อใจคุณ แต่จะมีใครที่น่ากลัวไปกว่าคุณอีกล่ะ? แค่มีคุณอยู่ ถ้าหากมีผีตัวอื่นจริงๆ ก็คงกลัวคุณจนไม่กล้าออกมาแล้วล่ะ” สิ้นเสียง เซียวเหย่ก็ฟังออกว่าฉันกำลังท้าทายความคิดของเขา เซียวเหย่พูดด้วยน้ำเสียงและสายตาที่เย็นชา “ฉีเซวียน เก่งจริงคุณลองพูดอีกครั้งซิ” 
已经是最新一章了
加载中