ตอนที่ 62 ความบังเอิญ   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 62 ความบังเอิญ
ต๭นที่ 62 ความบังเอิญ “ฉันไม่เก่งจริง ไม่พูดหรอก ฮ่าๆๆ” โถมเข้าไปในอ้อมกอดเขา เดิมทีเขาโกรธฉันจนแทบทนไม่ได้แล้ว แต่เมื่อเห็นฉันหน้าแตกยับเยินขนาดนี้แถมยังถูกฉันเย้าแหย่อีก ก็ตวัดมือโอบฉันแล้วดุด่า “หน้าไม่อาย” ฉันเองก็ไม่โกรธ ยังคงคลอเคลียอยู่ในอ้อมกอดของเขา แต่เมื่อคิดว่าหากซื้อบ้านหลังไปแล้ว พวกเราก็จะต้องแบกรับภาระหนี้สินกันเต็มตัว ฉันรู้สึกไม่ยินดีจึงพูดขึ้นอย่างจริงจัง “ในเมื่อคุณรู้ว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านผีสิง แถมยังตกลงซื้อกับเขาที่ราคาสี่ล้านห้าแสน ไม่รู้สึกว่าขาดทุนเหรอ เขากำลังต้มพวกเราชัดๆ” “ก็ยังไม่แน่ว่าใครจะต้มใคร” เซียวเหย่หัวเราะ พูดจบเขาก็เดินโอบฉันไปยืนข้างๆ ผู้จัดการทั่วไป แล้วบอกว่าเราปรึกษากันเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้พร้อมจะเซ็นสัญญาโอนกรรมสิทธิ์ ผู้จัดการทั่วไปพยักหน้าหงึกๆ ทันที ขนาดตัวยังสั่นไปด้วยเลย ฉันรู้สึกว่าสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นดีใจของเขาอย่างชัดเจน รู้ทั้งรู้ว่ากำลังทำร้ายคนอื่น แต่ยังดีอกดีใจถึงขนาดนี้ ไม่มีสามัญสำนึกเลยแม้แต่นิดเดียว ฉันมองเขาด้วยสายเย็นชา ในใจเกิดความรู้สึกรังเกียจ โชคดีที่ตอนนี้เขายังอยู่ในอาการดีอกดีใจ เลยไม่ทันสังเกตถึงอากัปกิริยาของฉัน เซียวเหย่โอบฉันเดินไปพร้อมกับผู้จัดการทั่วไปกลับมายังฝ่ายขาย แล้วทำการเซ็นสัญญาซื้อขายบ้าน เพียงแต่ว่าพอถึงเวลาที่จะต้องรูดบัตรเครดิต เซียวเหย่ก็พูดขึ้นว่าเราจะไม่รูดบัตร จะชำระด้วยเงินสด เซียวเหย่ทำให้ฉันมึนงงอีกแล้ว ไม่รู้เลยว่าเขากำลังคิดทำอะไรแผลงๆ อยู่ แต่เมื่อครู่เขาบอกว่าก็ยังไม่แน่ว่าใครจะต้มใคร ฉันจึงรู้ว่าในใจของเขามีแผนการอยู่แล้ว เพียงเสี้ยววินาที ฉันก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ อยากรู้ว่าเซียวเหย่คิดวางแผนอะไรไว้กันแน่ เซียวเหย่ให้ผู้จัดการทั่วไปเรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเข้ามาหลายนายเพื่อไปช่วยเขาขนเงิน ผู้จัดการทั่วไปอึ้งไปชั่วขณะ ถามเซียวเหย่ด้วยความลังเลว่าคงไม่คิดจะจ่ายเงินสดเป็นล้านใช่ไหม? เซียวเหย่ยิ้มแล้วพยักหน้า จากนั้นก็พูดต่อว่า “ไม่ใช่แค่หนึ่งล้าน แต่จะจ่ายด้วยเงินสดทั้งหมดสี่ล้านห้าแสน” ผู้จัดการทั่วไปตาโตทันที แต่เห็นได้ชัดว่าเขายินดีที่จะรับชำระค่าบ้านเป็นจำนวนเต็มทั้งหมด ยังไงบ้านหลังนั้นก็เป็นบ้านผีสิง หากเขารับแค่เงินดาวน์มาก่อน เราอาจจะเข้าไปอยู่ได้ไม่กี่วันก็ตายเสียแล้ว ดังนั้นในตอนนี้เขาจึงมองพวกเราเป็นพระเจ้า ใช้วิทยุสื่อสารเรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเข้ามาห้านาย ตอนนี้ฉันทั้งตื่นเต้นและดีใจ อดใจรอดูละครฉากใหญ่แทบไม่ไหวแล้ว ใครจะคาดคิดว่าเซียวเหย่จะนิ่งสงบเป็นพิเศษ โอบฉันและพาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกับผู้จัดการทั่วไปเดินไปหารถของพวกเรา ท่าทางราวกับหนุ่มหล่อร่ำรวย พอเดินมาถึงข้างๆ ตัวรถ เขาก็เปิดกระโปรงหลังขึ้น เผยให้เห็นธนบัตรหนึ่งร้อยหยวนเป็นมัดๆ ที่อยู่ภายใน ถูกวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย! “เฮ้ย!” ฉันห้ามใจไม่ให้อุทานออกมาไม่ได้จริงๆ ผละจากเซียวเหย่แล้วเดินมายังหน้ากระโปรงหลัง ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เป็นธนบัตรหนึ่งร้อยหยวนจริงๆ สภาพเหมือนใหม่ มัดละหนึ่งแสน ถูกห่อเอาไว้อย่างดี ทั่วกระโปรงหลังรถเต็มไปด้วยธนบัตรหนึ่งร้อยหยวน ฉันกะด้วยสายตาไม่ถูกว่าเงินในกระโปรงหลังรถมีทั้งหมดเท่าไรกันแน่ ที่ตรงนั้นไม่ได้มีเพียงแต่ฉันเท่านั้น รวมถึงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเหล่านั้นต่างก็ตกตะลึง จ้องมองเงินสดพวกนั้นเขม็ง ดวงตาฉายแววดวงไฟลุกโชนและความตื่นเต้นยินดีออกมา การแสดงออกของผู้จัดการทั่วไปคนนั้นค่อนข้างดีกว่านิดหน่อย เขาคงจะเคยผ่านโลกมามาก เมื่อเห็นเงินกองพะเนินอยู่เต็มกระโปรงหลังรถจริงๆ ก็เกิดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า บีบนวดมือด้วยความตื่นเต้น ชี้สั่งให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเหล่านั้นไปขนเงินลงมา หลังจากฉันหายตกใจแล้วจึงได้สติกลับมา รีบวิ่งกลับไปยืนอยู่ข้างเซียวเหย่ทันที โอบกอดเขาไว้แล้วโน้มเข้าไปกระซิบถามที่ข้างหูเขาว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไรกันแน่ ตอนแรกฉันคิดว่าตอนที่เซียวเหย่บอกว่ากำลังจะจ่ายเงินสดนั้น จะพาพวกเขาเข้าไปเบิกเงินที่ตู้เซฟธนาคารโดยวิธีไหน หรือว่าจะพรางตาพวกเขาแล้วพาพวกเขาไปเบิกเงินจากตู้เซฟของตัวเอง คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเตรียมเงินจำนวนมากเอาไว้ในกระโปรงหลังของเราจริงๆ แล้วเงินพวกนี้มันมาจากไหนกัน? “เมื่อครู่ให้เจิ้งเล่อไปขนมาตอนที่เซ็นสัญญา” เซียวเหย่บอก “คุณให้เจิ้งเล่อไปปล้นธนาคารมาเหรอ?” ฉันถามด้วยความตกใจ กุมารน้อยก็มีความสามารถแบบนี้ด้วย “ไม่ใช่สักหน่อย เงินบนโลกมนุษย์มันแปดเปื้อนพลังมนุษย์มากเกินไป ถ้าเผลอไปแตะต้องเข้าล่ะก็จะเผาไหม้วิญญาณเอาได้ ผมเพียงแต่ให้เจิ้งเล่อไปที่ร้านขายโลงศพที่อยู่ในละแวกนี้ ขนเงินกระดาษที่หามาได้ทั้งหมดมาที่นี่ จากนั้นก็ใช้วิชาพรางตา ก็คือเงินที่พวกคุณเห็นกันทั้งหมดนั่นแหละ” ฉันรู้สึกตกใจเล็กน้อย วิชาพรางตา ฟังดูไม่น่าเชื่อถือเท่าไรนัก ตอนเอาไปผ่านเครื่องตรวจธนบัตรปลอมแล้วความจะไม่แตกเหรอ? พอเห็นฉันไม่ค่อยสบายใจ เซียวเหย่ก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง เงินกระดาษนี้ตอนอยู่ในโลกวิญญาณก็เป็นเงินหมุนเวียนทั่วไป มีพลังทรัพย์ติดอยู่ อีกอย่างตอนที่เจิ้งเล่อขนเงินกระดาษออกมาได้แปดเปื้อนพลังหยินมา จึงได้กลายเป็นเงินตราในโลกวิญญาณไปแล้ว เดี๋ยวพอผ่านเครื่องตรวจธนบัตรปลอมในโลกมนุษย์ของพวกคุณ ผมแค่ใช้พลัง หยินปกคลุมเครื่องจักรเอาไว้ก็ปลอดภัยแล้ว” ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายนายก็ขนเงินสดออกมา พอกลับมาถึงฝ่ายขาย พนักงานฝ่ายขายทั้งหมดก็หยุดงานในมือแล้วเข้ามาช่วยกันนับเงิน ตอนที่เงินเหล่านั้นผ่านเครื่องตรวจธนบัตรปลอม ฉันตื่นเต้นจนไม่กล้าหายใจแรง โชคดีที่ในความเป็นจริงเป็นเหมือนที่เซียวเหย่บอกไว้ทุกอย่าง เงินทั้งหมดผ่านเครื่องตรวจธนบัตรปลอมอย่างราบรื่น กว่าเงินทั้งหมดจะผ่านการตรวจสอบเรียบร้อย ก็หมดไปหนึ่งวันเต็มๆ ผู้จัดการทั่วไปดีใจจนหุบปากไม่ลง เอากุญแจคฤหาสน์มอบให้เรา แล้วยังบอกว่าจะเลี้ยงข้าวพวกเราอีกด้วย หมดไปหนึ่งวันเต็มๆ ฉันหิวมาตั้งนานแล้ว เมื่อเห็นเขาชวนกินข้าว ฉันมองไปที่เซียวเหย่ทันที เซียวเหย่เพิ่งซื้อบ้านเสร็จ ท่าทางดูอารมณ์ดีมาก จึงตอบตกลงด้วยความยินดี พวกเราขับรถตามหลังผู้จัดการทั่วไปตรงไปยังโรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่ง เมื่อถึงยังจุดหมาย ฉันก็สังเกตเห็นว่าหน้าทางเข้าโรงแรมนั้นมีคนคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่คนหนึ่ง เป็นสาวศัลยกรรมที่แย่งวิกผมกับฉันที่ศูนย์การค้าเมื่อหลายวันก่อน! เหมือนจะชื่อเหวินเหวินอะไรสักอย่าง เธอได้รับบาดเจ็บสาหัสจนถึงขั้นเดินไม่ได้เลยไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนนี้ถึงได้ยืนอยู่ที่นี่เหมือนไม่ได้เป็นอะไรเลยล่ะ? อีกอย่างฉันยังสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ในตอนนี้เธอก็ยังใส่วิกผมอยู่เหมือนเดิม อันที่ถูกผีเข้าสิงนั่นแหละ ฉันอดไม่ได้ที่จะเรียกให้เซียวเหย่ดู เซียวเหย่เห็นเธอแล้วรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ฉันถามเซียวเหย่ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน คราวก่อนเพื่อนของเหวินเหวินโทรศัพท์มาบอกว่าเธอเกิดเรื่อง มีเพียงเซียวเหย่เข้าไปจัดการเรื่องนี้ ในตอนนั้นฉันกำลังตกอยู่ในอันตราย กว่าเซียวเหย่จะพาฉันกลับมาได้ ฉันก็ไม่ทันได้ถามถึงเรื่องเหวินเหวินกับเขา ตอนนี้ยังเห็นวิกผมอันนั้นอยู่บนศีรษะของเหวินเหวิน น่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก สีหน้าของเซียวเหย่แลดูค่อนข้างซับซ้อน บอกว่าเรื่องนี้คุยกันแค่ไม่กี่ประโยคไม่รู้เรื่องหรอก รอให้กลับถึงบ้านแล้วค่อยเล่าอย่างละเอียดดีกว่า ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ ขณะที่พวกเราคุยกัน รถของผู้จัดการได้จอดลงตรงหน้าเหวินเหวิน เมื่อจอดรถเสร็จแล้ว ฉันเห็นผู้จัดการทั่วไปลงมาจากรถ แล้วเข้ามาสวมกอดกับสาวศัลยกรรมนั่น! “ให้ตายสิ จะบังเอิญอะไรเช่นนี้ พวกเขาคงไม่ใช่คู่รักกันหรอกนะ” เพียงครู่เดียวก็มีความรู้สึกบางอย่างขึ้นมาทันที ก็คือโลกใบนี้กลมจริงๆ นานๆ ทีใบหน้าของเซียวเหย่จะฉายแววประหลาดใจขึ้นมา ดวงตาทั้งสองจ้องมองสาวศัลยกรรมกับผู้จัดการอย่างลึกซึ้ง จอดรถเอาไว้ข้างๆ รถของผู้จัดการทั่วไป แล้วพวกเราก็ลงจากรถ เหวินเหวินพอเห็นเซียวเหย่ก็อึ้งไป ควงผู้จัดการทั่วไปเดินเข้ามาพร้อมกันด้วยแววตาสดใสแล้วเอ่ยทักทาย “ผู้มีพระคุณ! บังเอิญจังเลย คุณก็มากินข้าวที่นี่เหมือนกันเหรอ?” สีหน้าของเซียวเหย่เกิดรอยยิ้มอันแสนขมขื่น เหลือบมองผู้จัดการทั่วไป ผู้จัดการทั่วไปมีปฏิกิริยาโต้ตอบในทันที ถามเหวินเหวินว่า “พวกคุณรู้จักกันเหรอ? บังเอิญจังเลย พวกเขาเป็นลูกค้าของผมในวันนี้ พบหน้ากันครั้งแรกก็ควักเงินซื้อคฤหาสน์เต็มจำนวนเลย! คุณว่ามันเป็นพรหมลิขิตหรือเปล่าที่ดลบันดาลให้พวกเขาเชื่อใจผม? ผมจึงต้องเลี้ยงข้าวพวกเขาสักมื้อ บวกกับความสัมพันธ์ของคุณ วันหลังเราจะได้เป็นเพื่อนกัน” เขาพูดอย่างลื่นไหล แต่ดูท่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเหวินเหวิน พวกเขาน่าจะเป็นคู่รักกันอย่างไม่ต้องสงสัยเลย เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไม ตั้งแต่เห็นเหวินเหวิน สีหน้าของเซียวเหย่เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา ดูผิวเผินเขาแกล้งทำเป็นไม่ใส่ใจอะไร แต่ในความเป็นจริงแล้วคอยตั้งใจมองเหวินเหวินอยู่ ฉันรู้สึกไม่พอใจในทันที ถึงแม้เธอจะทำศัลยกรรมใบหน้ามา ฉันรู้สึกว่าไม่สวยด้วยซ้ำ แต่วิกผมที่เธอใส่ไว้บนศีรษะมันทำให้เธอดูน่ารักขึ้นมาก บวกกับการที่เซียวเหย่ได้เคยพบกับเธอตามลำพังครั้งหนึ่ง และเมื่อครู่ที่ฉันถามเซียวเหย่ถึงเหวินเหวิน เขาก็ตะกุกตะกักไม่บอกอะไรฉัน มันทำให้ฉันอดคิดฟุ้งซ่านไม่ได้เลย เซียวเหย่คงไม่ได้ติดใจวิกผมนั่น แล้วชอบเหวินเหวินเข้าให้แล้วหรอกนะ? เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ความอยากรับประทานอาหารของฉันก็หายไปครึ่งหนึ่ง ส่วนเซียวเหย่ก็พูดคุยกับเหวินเหวินและผู้จัดการทั่วไปตลอดมื้ออาหาร เหมือนลองหยั่งเชิงความสัมพันธ์ของพวกเขา ถึงขนาดแกล้งหยอกเย้าถามพวกเขาว่าตอนนี้พัฒนาไปถึงขั้นไหนแล้ว! นี่ไม่ใช่นิสัยของเซียวเหย่เลย เขาอยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ตอนนี้เขาใส่ใจเรื่องของเหวินเหวินมากขนาดนี้ มันยิ่งทำให้จิตใจของฉันเกิดความอิจฉาขึ้น ตลอดคืนฉันเอาแต่จับตามองเหวินเหวินกับเซียวเหย่ ไม่ได้กินอะไรเข้าไปเท่าไร อยากให้อาหารค่ำมื้อนี้จบไวๆ แล้วกลับบ้านเหลือเกิน ปกติเซียวเหย่เป็นคนละเอียดลออ แต่ตอนนี้กลับไม่ได้สังเกตเห็นถึงสีหน้าท่าทางของฉันเลยแม้แต่น้อย เอาแต่คุยกับเหวินเหวินและผู้จัดการทั่วไป อาหารมื้อเดียวกินกันจนถึงเที่ยงคืน เซียวเหย่ถึงได้ลุกขึ้นยืนอย่างอาลัยอาวรณ์ บอกว่าดึกมากแล้ว เราต้องกลับกันแล้ว ถึงตอนนี้ฉันโกรธจนท้องไส้ปั่นป่วนแล้ว พอเห็นเซียวเหย่ยอมกลับจึงลุกพรวดขึ้นมา แล้วเดินออกไปข้างนอกโดยไม่รอเซียวเหย่ เซียวเหย่อึ้งไป ตอนนี้ถึงได้สังเกตเห็นว่าฉันอารมณ์ไม่ค่อยจะสู้ดีนักจึงรีบเดินตามขึ้นมา ดึงมือฉันเอาไว้แล้วถามว่า “เป็นอะไรไป? ยังกินไม่เสร็จเหรอ?” “ไม่เป็นอะไร” ฉันตอบด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย พูดจบฉันก็ยังตั้งใจสะบัดมือเซียวเหย่ออกแล้วเดินไปยังข้างรถ รอให้เซียวเหย่เปิดล็อคประตูรถแล้วจึงเข้าไปนั่งกับเจิ้งเล่อที่เบาะหลัง เหวินเหวินเดินตามมาข้างหลังพวกเรา มองเซียวเหย่ด้วยสีหน้าเหมือนเป็นแฟนคลับตลอดเวลา พอเห็นฉันเข้าไปนั่งที่เบาะหลังก็รีบวิ่งเข้ามาทันที แล้วยิ้มแย้มถามเซียวเหย่ว่า “ผู้มีพระคุณ ต้าถง (ชื่อผู้จัดการทั่วไป) อยู่คนละทางกับฉัน คุณสะดวกไปส่งฉันสักหน่อยไหมคะ?” เซียวเหย่เหลือบมองฉัน สงสัยจะดูออกว่าฉันอารมณ์ไม่ดีแล้ว ท่าทีของเขาที่มีต่อเหวินเหวินจึงเย็นชาลงทันที “ไม่สะดวกครับ” เหวินเหวินอึ้งไป เหมือนคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ เซียวเหย่จะตอบแบบนี้ เธอพัวพันอยู่กับเซียวเหย่ทั้งคืน โดยใช้เรื่องการตอบแทนบุญคุณมาเป็นข้ออ้างชวนเซียวเหย่ดื่มเหล้าตลอดเวลา คืนนี้เซียวเหย่ก็ให้ความร่วมมือมาโดยตลอด “ผู้มีพระคุณ คุณดูสินี่มันดึกมากแล้ว ผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างฉันกลับบ้านตามลำพังไม่ค่อยสะดวกนัก...” ท่าทางของเหวินเหวินยั่วยวนขึ้นมาก พูดจาด้วยน้ำเสียงออดอ้อน ผู้จัดการทั่วไปที่อยู่ข้างหลังเธอเห็นได้ชัดว่ารั้งเธอไว้ไม่อยู่ เอาแต่พูดว่าไม่เป็นไร เขาไปส่งเหวินเหวินได้ แต่พอเหวินเหวินเห็นเซียวเหย่ เขาก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของเธออีกเลย “คุณให้แฟนของคุณไปส่งสิ ผมจะพาภรรยาของผมกลับบ้าน” เซียวเหย่สีหน้าบูดบึ้ง ความหงุดหงิดระบายขึ้นบนใบหน้า “เขาไม่ได้เป็นแฟนฉัน...” เหวินเหวินยังไม่ยอมแพ้ เหลือบมองฉันอย่างท้าทาย ยังคิดจะมาเล่นลิ้นอะไรกันอีก แต่เธอยังพูดไม่ทันจบ เซียวเหย่ก็ปิดหน้าต่างแล้วสตาร์ทรถออกไปทันที ระหว่างทางกลับเซียวเหย่ไม่พูดแม้แต่คำเดียว เอาแต่ตั้งใจขับรถ ในใจของฉันรู้สึกโกรธเซียวเหย่และจงใจไม่พูดอะไรออกมาเลย เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งฉันถึงได้สังเกตเห็นว่าเซียวเหย่ไม่ได้ขับไปทางคฤหาสน์ของเฝิงต้าและไม่ใช่ทางที่ไปบ้านถังเยว่อีกด้วย สุดท้ายก็จอดลงที่หน้าร้านโจ๊กที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมงร้านหนึ่ง “ไม่ได้จะกลับบ้านเหรอ?” ฉันทนต่อไปอีกไม่ไหวแล้วจึงถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คืนนี้คุณไม่ได้กินข้าวเลย ไม่หิวเหรอ?” เซียวเหย่เหลือบมองฉันด้วยสายตาเย็นชาแล้วถามขึ้นมา 
已经是最新一章了
加载中