ตอนที่ 66 : ค่ายสัตว์เทพทั้งสี่   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 66 : ค่ายสัตว์เทพทั้งสี่
ต๭นที่ 66 : ค่ายสัตว์เทพทั้งสี่ “อะไรคือค่ายสัตว์เทพทั้งสี่? ค่ายนี้โหดมากเลยใช่ไหม? ตอนนี้เซียวเหย่เป็นยังไงบ้าง?” ฉันร้อนใจจนเหงื่อออกเต็มหน้า พอเห็นเซียวเถิงยืนยันว่าเป็นค่ายกลนั้นจริงๆ จึงรัวคำถามออกไปมากมาย “พ่อของผมเคยบอกว่า ค่ายสัตว์เทพทั้งสี่ถึงแม้จะนับว่าเป็นค่ายกลระดับพื้นฐานในบรรดาค่ายกลทั้งหมด แต่ก็มีประสิทธิภาพมาก เหมาะกับการใช้กักขังวิญญาณโดยเฉพาะ คุณย่าดูซากสัตว์เหล่านี้สิ แมวขาวเท่ากับเสือขาว นกกระจอกเท่ากับหงส์แดง งูเขียวหางไหม้เท่ากับมังกรทอง เต่าดำเท่ากับเต่าดำ วางอยู่ในทิศทั้งสี่ เปรียบเทียบได้กับเทพทั้งสี่ โชคดีที่ใช้สิ่งของที่เหมือนกันเป็นตัวแทน พลังจึงต่างกันอย่างมาก ด้วยความสามารถของคุณปู่รอง ตอนนี้น่าจะยังไม่มีอันตรายใดๆ” เซียวเถิงกล่าว เมื่อได้ยินเซียวเถิงบอกว่าตอนนี้ยังไม่เป็นอะไร ฉันก็โล่งอกได้ในที่สุด จากนั้นจึงถามออกไปทันที “ในเมื่อเธอรู้จักค่ายกลชนิดนี้เป็นอย่างดี เธอทำลายมันได้ไหม?” “ผมจะลองดู มันเป็นค่ายสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดเล็ก เมื่อดูจากตำแหน่งคนวางค่ายกลอาจจะไม่ได้มีความสามารถมากนัก น่าจะไม่มีปัญหา” เซียวเถิงกล่าว จากนั้นเขาก็บอกให้ตำรวจที่รายล้อมอยู่ออกไปห่างๆ บอกว่าพลังความชอบธรรมที่อยู่ในตำรวจมีมากเกินไป จะมีผลกระทบต่อการทำลายค่าย สุดท้ายก็ให้เพียงฉันกับถงถงคอยยืนช่วยอยู่ข้างๆ หลังจากตำรวจทั้งหมดถอยออกไปแล้ว เซียวเถิงก็หยิบดาบสั้นที่แหลมคมยื่นให้ฉัน เพื่อตัดเส้นผมที่พันรอบต้นไม้ในขณะที่เขาท่องคาถา จากนั้นเมื่อเขาลืมตาขึ้นก็ให้เคลื่อนย้ายซากสัตว์ทั้งสี่ออกไป เพียงเท่านี้ค่ายกลก็จะถูกทำลายลง หลังจากทำลายค่ายกลได้แล้ว ปากถ้ำที่เซียวเหย่หายตัวไปก็จะเผยออกมาให้เห็นเอง ฉันพยักหน้าอย่างหนักแน่น จดจำหน้าที่ที่เซียวเถิงมอบหมายให้ จากนั้นฉันก็ถือดาบสั้นยืนอยู่ข้างต้นไม้ เซียวเถิงเองก็นั่งขัดสมาธิลงตรงหน้างูเขียว วางกระถางธูปลง จุดธูป แล้วให้ถงถงวางถ้วยเหล้าลงตรงหน้าซากสัตว์ทุกตัว รินเหล้าขาวใส่ลงไป เมื่อทุกอย่างถูกจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว เซียวเถิงก็หลับตาลงสีหน้าเคร่งเครียด ปากเริ่มสวดพึมพำ ถงถงเองก็เดินกลับมาอยู่ข้างฉันด้วยสีหน้าตื่นเต้น พอเห็นฉันกำลังจะตัดเส้นผมที่อยู่บนต้นไม้ ก็รีบยับยั้งฉันไว้ก่อน บอกว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา พูดจบเขาก็มองดูความเคลื่อนไหวของเซียวเถิงแล้วอธิบายกับฉันว่า “ขั้นตอนในขณะนี้คือกำลังอัญเชิญให้วิญญาณของสัตว์ทั้งสี่ ‘ดื่มเหล้า’ เพื่อให้ติดต่อสื่อสารกับวิญญาณของสัตว์ทั้งสี่และติดสินบนพวกมันได้ เพราะพวกมันคือสัตว์วิญญาณของค่ายกลนี้ ถ้าพวกมันอารมณ์ดี พูดคุยอย่างราบรื่น การทำลายค่ายสัตว์เทพทั้งสี่ก็จะทำได้อย่างง่ายดาย” “แล้วถ้าเกิดพวกมันไม่คุยดีด้วยล่ะ?” ฉันถามด้วยความตื่นเต้น” “ถ้าไม่คุยดีด้วย...งั้นก็ต้องใช้ไม้แข็งกับพวกมันแล้ว อันที่จริงก็ล้วนเป็นวิญญาณสัตว์ที่เพิ่งสร้างตัวขึ้นมา ต่อให้มีพลังของค่ายกลคอยสนับสนุน ก็น่าจะไม่อันตรายเท่าไร” ถงถงกล่าว พูดจบเขาก็จ้องมองไปที่สถานการณ์ใต้ต้นไม้ จากคาถาของเซียวเถิง จะเห็นควันธูปที่อยู่ตรงหน้าเขาได้แยกออกเป็นเส้นสีขาวสี่ทิศ ลอยไปยังตรงหน้าซากสัตว์ทั้งสี่ เข้าห่อหุ้มรอบตัวพวกมันเอาไว้ จากนั้นพื้นดินด้านล่างพวกมันก็เหมือนเกิดแผ่นดินไหว ถ้วยเหล้าทั้งสี่ใบเกิดสั่นไหวขึ้นมา ถงถงจ้องเขม็ง สีหน้าไม่ค่อยดีนัก ในใจของฉันค่อนข้างตื่นเต้น ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากถามถึงสถานการณ์ ถ้วยเหล้าที่อยู่ตรงหน้าซากแมวขาวก็ล้มคว่ำ เหล้าที่อยู่ภายในหกกระจายเต็มพื้น จากนั้นก็เหมือนเกิดโรคติดต่อ ถ้วยเหล้าที่อยู่ตรงหน้าซากสัตว์อื่นทั้งสามต่างก็คว่ำลงกับพื้นเช่นกัน อวัยวะทุกส่วนบนหน้าของเซียวเถิงบีบเข้าหากันทันทีเหมือนกำลังเจ็บปวดมาก เกิดเม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผาก ปากที่กำลังท่องคาถาหุบลงเล็กน้อยและท่องเร็วขึ้นเรื่อยๆ ในใจฉันรู้สึกหนักอึ้ง ต่อให้ถงถงไม่ได้อธิบาย ฉันก็มองออกถึงสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป วิญญาณสัตว์เหล่านี้ไม่ยอมรับการเจรจาจากเซียวเถิง ขณะที่ฉันกำลังร้อนใจอยู่นั้น จู่ๆ ถงถงก็ผลักฉันแล้วรีบบอกว่า “รีบตัดเส้นผมบนต้นไม้นั้นเร็ว!” ฉันสะดุ้งตกใจ แต่ก็มีการตอบรับอย่างรวดเร็ว เดินไปที่หน้าต้นไม้นั้นทันที ใช้ดาบสั้นตัดเส้นผมที่อยู่บนนั้นอย่างแรง เส้นผมเหล่านั้นมองดูผิวเผินเหมือนอ่อนนุ่ม แต่ความจริงแล้วมันเหนียวแน่นราวกับเส้นลวดเล็กๆ แม้ฉันจะออกแรงทั้งหมดแล้ว แต่ก็ยังตัดออกไปได้เพียงนิดเดียว ใบหน้าของเซียวเถิงเจ็บปวดขึ้นเรื่อยๆ ปากก็ท่องคาถาอย่างรวดเร็วจนฟังไม่ชัดเจน เหงื่อไหลโทรมทั่วใบหน้าจนทำให้เสื้อผ้าเปียกชื้นไปหมด ถงถงเห็นดังนั้นก็อดร้อนใจไม่ได้จึงรีบเข้ามาช่วย มือน้อยที่เย็นเฉียบจับมือของฉันเอาไว้ พยายามนวดเส้นผมเหล่านั้นอย่างสุดความสามารถ เมื่อได้ความช่วยเหลือจากถงถง ประสิทธิภาพของฉันก็เพิ่มขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง ไม่นานก็ตัดเส้นผมออกมาขนาดกว้างเท่ากับตัวคน ขณะนั้นเองเสียงของเซียวเถิงก็เร่งจังหวะจนถึงที่สุด เหมือนกับกำลังจะต้านทานเอาไว้ไม่อยู่แล้ว ขณะที่กำลังเปิดโพรงให้มีขนาดใหญ่ขึ้นอีกนิดนั้น จู่ๆ เซียวเถิงก็ตะโกนขึ้นมาว่า ‘เรียบร้อย’! สิ้นเสียงตะโกน เขาก็กระอักเลือดออกมาจากปาก ลืมตาขึ้นมา “รีบเคลื่อนย้ายซากศพออกไป!” ถงถงรีบบอก พูดจบเขาก็ปล่อยมือฉัน วิ่งนำฉันไปยังจุดที่ใกล้กับซากเต่าดำมากที่สุด เขาค่อนข้างหวาดกลัวซากศพเหล่านั้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อมาถึงยังหน้าซากเต่าดำก็ไม่ยอมลงมือเอง เอาแต่เร่งให้ฉันไปเก็บซากเต่าดำออกมา ฉันยื่นมือเข้าไปทันที จับซากเต่าดำอย่างไม่ลังเล แต่ในขณะที่กำลังได้สัมผัสมันนั้น สีหน้าของฉันก็เปลี่ยนไป เป็นแค่ซากเต่าดำขนาดเท่าฝ่ามือเท่านั้น แต่เหมือนกับหินก้อนใหญ่ที่วางนิ่งอยู่บนพื้น พยายามออกแรงทั้งหมดในตัวฉันก็ยังแบกมันขึ้นมาไม่ไหว! ขณะนั้นเองเซียวเถิงก็เดินโซเซเข้ามาหา หลังจากที่เขากระอักเลือดไปแล้วสีหน้าท่าทางก็แย่ลงไปมาก เขาเดินเข้ามาแล้วถามฉันว่า “เป็นอะไรไป?” “มันไม่ขยับเลย เต่าดำนี้หนักมากจริงๆ!” ฉันรีบบอก พูดจบฉันก็ไม่สนใจจะประลองความแข็งแกร่งกับเต่าดำอีกแล้ว หันมาทางนกกระจอก ใช้สองมือยื่นเข้าไปประคอง แต่นกกระจอกนั้นเหมือนถูกปักอยู่บนพื้นยอย่างไรอย่างนั้นเลย แม้ฉันจะพยายามใช้ทั้งสองมือเคลื่อนย้ายมัน แต่นกกระจอกนั้นไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่นิดเดียว! “จบเห่ ทำลายค่ายไม่ได้ เจ้านายของผมไม่ต้องตายอยู่ในนี้หรอกเหรอ?” ถงถงเป็นกังวลจนแทบบ้า แต่ก็กลัวจะกระทบต่อจิตใจของฉัน จึงพยายามอดกลั้นมาตลอด ตอนนี้เมื่อเห็นภาพแบบนี้ สุดท้ายก็อดทนต่อไปไม่ไหว ร้องไห้ออกมาในที่สุด แต่เขาเป็นผี จะร้องคร่ำครวญเจ็บปวดแค่ไหน แต่บนใบหน้ากลับไม่มีร่องรอยน้ำตาสักหยด ฉันเห็นเขาร้องไห้ก็ยิ่งร้อนใจ เซียวเหย่ ถังเยว่ และเจิ้งเล่อล้วนอยู่ข้างใน พวกเขาถูกขังเอาไว้ เหลือเพียงฉันกับถงถงแล้วจะทำอย่างไร? น้ำตาของฉันเอ่อล้นออกมาจากดวงตาทันที แต่ไม่มีเสียงอะไรออกมาเลย เมื่อเทียบกับถงถงที่ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ข้างๆ เราทั้งสองก็เหมือนจะรวมกันเป็นร่างเดียว เขารับผิดชอบเรื่องเสียง ส่วนฉันก็รับผิดชอบเรื่องน้ำตา แต่ฉันก็ยังไม่ยอมแพ้ เมื่อครู่เซียวเถิงพูดเหมือนง่ายดายและผ่อนคลาย ขอแค่ทำตามขั้นตอนที่เขาพูดก็จะทำลายค่ายกลได้ไม่ใช่หรือ? แล้วมันเกิดปัญหาที่ตรงไหนกันแน่? ฉันยังคงไม่ถอดใจ เคลื่อนย้ายนกกระจอกไม่ได้ ฉันก็ย้ายไปที่แมวขาว เคลื่อนย้ายแมวขาวไม่ได้ ฉันก็เปลี่ยนไปที่งูเขียว ขณะที่ฉันกำลังพยายามเคลื่อนย้ายงูเขียวอย่างบ้าคลั่ง ขณะที่หัวใจฉันกำลังจะสิ้นหวังนั้น ในมือฉันก็เกิดการสั่นไหว งูเขียวขยับเขยื้อนนิดหน่อย! ฉันตกตะลึง ไม่อยากจะเชื่อ แต่งูเขียวขยับเขยื้อนแล้วจริงๆ! ในใจฉันเกิดความยินดี ตะโกนออกมาว่างูเขียวขยับแล้ว! ตะโกนแล้วก็พยายามออกแรงเคลื่อนย้ายงูเขียวต่อไป ฉันแง้มมันออกมาทีละน้อยๆ เหมือนโลหะที่ถูกเชื่อมติดกันเอาไว้ งูเขียวตัวนั้นกระดุกกระดิกอยู่ในมือฉัน สุดท้ายก็มีน้ำหนักเบาขึ้นเรื่อยๆ แล้วฉันก็เคลื่อนย้ายมันออกมาได้ทั้งตัว! ฉันขว้างงูเขียวไปให้เซียวเถิงดู จากนั้นก็รวบรวมพละกำลังลงมือกับแมวขาวอีกครั้ง เมื่อไม่มีงูเขียวรวมอยู่ในค่ายกลแล้วก็เคลื่อนย้ายแมวขาวได้ง่ายดายขึ้นมาก เซียวเถิงเห็นฉันเคลื่อนย้ายแมวขาวได้ สีหน้าที่เคยสิ้นหวังก็กลับฉายแววประหลาดใจขึ้นมาอย่างมาก รีบเดินมาอยู่ข้างๆ ช่วยเคลื่อนย้ายนกกระจอกและเต่าดำออก ขว้างไปอีกทางหนึ่ง หลังจากที่พวกเราเคลื่อนย้ายซากสัตว์ทั้งสี่ออกไปหมดแล้ว ต้นไม้ที่เคยตั้งตรงเกิดเสียงดังครืนออกมาแล้วล้มลงด้านข้าง จากนั้นรากไม้ใต้ดินที่แห้งตายแล้วก็โผล่ขึ้นมาให้เห็น ในรากไม้ถูกเจาะชอนไชจนว่างเปล่ากลายเป็นโพรงมืดขนาดใหญ่ กลุ่มตำรวจที่ยืนรออยู่อีกด้านหนึ่งได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็เข้ามาห้อมล้อมอีกครั้ง เมื่อมองเห็นโพรงใหญ่มืดตื๋อต่างก็ตกใจไปตามๆ กัน จากนั้นก็มีตำรวจหนุ่มคนหนึ่งสงสัยว่าศพของผู้ตายจากอุบัติเหตุรถชนจะถูกซ่อนเอาไว้ในนี้ จึงอาสาจะลงไปค้นหาด้วยตัวเอง ตำรวจมีอายุที่เป็นหัวหน้าทีมต้องมองหาเซียวเถิง เซียวเถิงในตอนนี้หน้าตาซีดเซียวจากการได้รับบาดเจ็บเมื่อครู่ เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะบอกว่า “ศพของผู้ตายน่าจะอยู่ข้างล่างอย่างไม่ต้องสงสัย แต่สถานการณ์ข้างล่างเป็นอย่างไรบ้างผมเองก็ไม่รู้ อาจจะยังมีอันตรายก็ได้” “ไม่เป็นไร ผมมีปืน ถ้าหากศพอยู่ในโพรงใต้ต้นไม้นี้จริง ยังไงเราก็ต้องเอาศพออกมาให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะปิดคดีไม่ได้” ตำรวจหนุ่มกล่าวอย่างกระตือรือร้น เซียวเถิงไอแล้วกระอักเลือดออกมาอีก “ในเมื่อพวกคุณเต็มใจลงไป งั้นก็ตกลง มีพลังหยางในตัวพวกคุณ อย่างน้อยก็น่าจะดีขึ้น” พูดจบเซียวเถิงก็หันมามองฉัน ถามฉันว่ามีสิ่งป้องกันตัวหรือเปล่า ถ้าหากไม่มีก็อย่าตามลงไปเลย รอเขาอยู่ข้างบนดีกว่า เซียวเหย่กับถังเยว่ต่างก็อยู่ข้างล่าง ตอนนี้เซียวเถิงก็ยังได้รับบาดเจ็บ แถมยังดูหนักหนาสาหัสพอสมควร แล้วฉันจะวางใจได้อย่างไร จึงควักป้ายหยกออกมาจากหน้าอกแล้วถามเขาว่าสิ่งนี้ถือเป็นเครื่องป้องกันตัวได้หรือไม่ เซียวเถิงเห็นป้ายหยกอันนี้แล้วก็แสดงความประหลาดใจออกมา สีหน้าของเขาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พยักหน้ายอมรับ ฉันรีบบอกทันทีว่าต้องการตามพวกเขาลงไปด้วย เมื่อยืนยันแน่นอนแล้วว่าจะลงไป เซียวเถิงก็หยิบหินก้อนหนึ่งโยนเข้าไปในโพรงต้นไม้นั้น ครู่หนึ่งก็มีเสียงก้อนหินตกกระทบพื้นดังออกมาจากในโพรง โพรงนั้นลึกมากทีเดียว ไม่นานตำรวจก็หาบันไดเชือกมาได้ วางพาดเอาไว้กลางโพรงต้นไม้ จากนั้นตำรวจหนุ่มสองนายก็เป็นผู้นำขบวนปีนลงไป เซียวเถิงตามไปติดๆ ตามด้วยฉันกับถงถง ปิดท้ายด้วยตำรวจที่ค่อนข้างมีอายุคนนั้น ในโพรงใต้ต้นไม้มืดมาก หนาแน่นไปด้วยพลังหยิน ราวกับความเย็นได้แผ่ออกมาจากผนัง ไม่นานตำรวจที่อยู่ด้านล่างสุดก็บอกว่าในโพรงหนาวมาก แต่ในมือของพวกเขาถือไฟฉายแรงสูงอยู่ ปีนลงไปได้ประมาณสิบนาที เราก็ลงไปถึงยังพื้นด้านล่างแล้ว ฉันเพิ่งสังเกตตอนนี้เอง ความจริงที่นี่ไม่น่าเรียกว่าโพรงต้นไม้แล้ว จากขนาดพื้นที่ด้านล่าง ที่นี่มันเหมือนบ่อน้ำมากกว่า ภายในโพรงถ้ำเหมือนห้องนอน อย่างน้อยๆ ก็มีถึงสิบกว่าตารางเมตร ตอนที่เพิ่งลงมาถึงผนังถ้ำเงางามมาก หากมองไม่ผิด เดิมที่นี่คงเป็นบ่อน้ำมาก่อน แต่ต่อมาปากบ่อถูกปิดตายและปลูกต้นไม้ทับ ถึงได้กลายสภาพเป็นเช่นนี้ เซียวเถิงลงมาแล้วก็มองสำรวจไปรอบๆ และพบว่าที่นี่คือบ่อน้ำเช่นกัน “ไม่แปลกใจเลยว่าเมื่อครู่ทำไมถึงทำลายค่ายไม่ได้ ที่นี่มันเป็นค่ายซ้อนค่ายนั่นเอง” “หมายความว่ายังไง?” ตำรวจมีอายุถาม “บ่อนี้เดิมทีเอาไว้เก็บกักน้ำ น้ำเป็นส่วนหนึ่งของพลังหยิน รูปทรงบ่อทั้งลึกและแคบ ทำให้พลังหยินในน้ำไม่สามารถส่งผ่านออกไปได้ ถึงแม้ที่นี่จะกลายเป็นบ่อน้ำที่แห้งแล้ว แต่พลังหยินที่เคยถูกสะสมไว้ยังคงอยู่ ปากบ่อยังปลูกต้นไหวซู่ทับไว้อีก ต้นไหวซู่ให้ร่มเงาที่กว้างใหญ่ บวกกับด้านล่างเป็นบ่อ จึงเกิดเป็นสำนักหยินขึ้นมา สุดท้ายทั้งสี่ทิศของต้นไม้ยังวางค่ายสัตว์เทพทั้งสี่เอาไว้ แม้จะเป็นแค่แมวหรืองูตายธรรมดา แต่เมื่อมีแรงสนับสนุนจากสำนักหยินด้วยแล้ว ความสามารถของค่ายสัตว์เทพทั้งสี่ก็ย่อมไม่ธรรมดา ดูท่าครั้งนี้คนที่วางค่ายเอาไว้จะพุ่งเป้ามาที่คุณปู่รองโดยเฉพาะเลย!” 
已经是最新一章了
加载中